ผ่าประเด็นร้อน
วันที่ 6 ธันวาคมเป็นต้นไป ต้องถือว่าเป็นช่วงดีเดย์ “เผด็จศึก” ระบอบทักษิณ และรัฐบาลทรราช หลังจากพักรบ พักศึกกันชั่วคราวในวันมหามงคล ดังนั้นเมื่อฟังจากหัวขบวนจากฝ่ายต่อต้านที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ประกาศชัดแล้วว่าต้องเดินหน้าลุยแตกหักกันไปเลย
แน่นอนว่าในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้มีการผ่อนแรง สะสมพลังไปบ้างในช่วงเวลานี้ ดังนั้นในช่วงเวลาต่อไปก็ถึงจังหวะที่ต้องรุกครั้งใหญ่กันอีกรอบ เพราะจากการประกาศจากแกนนำทุกเวที โดยเฉพาะจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ย้ำว่าจะยังปักหลักสู้ต่อไปจนกว่าได้รับชัยชนะตามเป้าหมาย ซึ่งเมื่อพิจารณาจากมวลชน เมื่อค่ำวันที่ 5 ธันวาคมที่หลั่งไหลออกมาร่วมที่ถนนราชดำเนิน และที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ รวมไปถึงเวทีอื่นๆ ก็ถือว่า “น่าชื่นใจ”
นั่นหมายความว่ามวลชนยังเหนียวแน่น ยังดำรงเป้าหมายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว ขณะเดียวกันกลุ่มมวลชนแนวร่วมที่เข้ามาร่วมหัวจมท้ายกันตั้งแต่เดิมก็ยังอยู่ครบ ทำให้พลังในการขับเคลื่อนไปข้างหน้ายังหนักแน่น เพราะเวลานี้ถือว่าพวกเขามีความคิดที่ “ตกผลึก” เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางหวั่นไหวไปทางอื่น โดยเฉพาะหากตัว “คนนำ” อย่างสุเทพ ยังมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เนื่องจากเป้าหมายการปฏิรูปดังกล่าวเป็น “สาธารณะ” ไม่ใช่การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง หรือทำเพื่อพรรคการเมืองใด หรือประโยชน์ทางการเมืองของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง
ที่สำคัญการประกาศ “หลุดพ้น” จากการเมืองในสภา ออกมาจากพ้นพรรคประชาธิปัตย์อย่างเด็ดขาด และสู้ไปพร้อมกับมวลชนของสุเทพ ดังที่ประกาศเอาไว้แล้วว่า “ผมค้นพบความสุขแล้ว” ทำให้ภาพของเขาพลิกจากภาพลบ “จากภาพมารมาเป็นเทพ” อย่างสมบูรณ์ในชั่วข้ามคืนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ก็ต้องยอมรับความจริงเช่นเดียวกันว่าแม้ว่าในปัจจุบันกระแสมวลมหาประชาชนจะออกมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างไรเมื่อสู้กับ “ทรราชหน้าด้าน” ที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ใช้คราบประชาธิปไตยอำพราง มีสื่อมวลชน มีกลไกตำรวจที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์เกาะเกี่ยวกันเอาไว้ พยายามขัดขวางกันทุกวิถีทาง ทำให้การโค่นล้มยังทำได้ไม่สำเร็จ แม้ว่าทั้งตัวนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หมดความชอบธรรมไปนานแล้ว ยังแข็งขืนดื้อด้านต่อไป
แต่ถึงแม้ว่าจะพยายามยื้อไปสักเพียงใด เชื่อว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะถือว่าเธอไม่สามารถบริหารได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่คาดหมายว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้าเธอจะต้อง “ยุบสภา” โดยอ้างว่าให้ประชาชนตัดสิน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยสภาพของทุนสามานย์ และรัฐตำรวจ กลไกราชการที่มีอยู่ เครือข่ยทรราชพวกนี้ก็จะได้กลับมาอีกรอบเหมือนเดิม
ขณะเดียวกัน มีการประเมินว่าสาเหตุที่ยังรีรอยังไม่ยุบสภาในเวลานี้เนื่องจากยังต้องรอเงื่อนไขเวลาทำให้บรรดาพวกสมาชิกบ้านเลขที่ 109 ที่เพิ่งพ้นโทษกลับเข้ามาลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทยทันตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ เพราะเที่ยวนี้ในสมาชิกบ้านเลขที่ 109 ดังกล่าวมีหุ่นเชิดในครอบครัวที่อาจเปลี่ยนหน้ามาใหม่ เช่น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่เป็น “น้องเขย” ของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง การประวิงเวลาแบบนี้ก็หวังฟลุกเพื่อให้ม็อบอ่อนแรงลง ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เชื่อว่าอาจเป็นครั้งสุดท้ายได้ยื้อในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปให้นานที่สุดได้อีกเฮือกหนึ่ง แต่เมื่อประเมินตามกระแสแล้วความมุ่งมั่นและความร้อนแรงของผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตรงกันข้ามมีแต่ขยายวงออกไปเรื่อยๆ แต่บังเอิญว่ามีช่วงของวันมหามงคลมาคั่นรายการเสียก่อน ทำให้หยุดนิ่งเพื่อร่วมใจกันถวายพระพร
ดังนั้น เมื่อถึงวันดีเดย์เผด็จศึกตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคมเป็นต้นไป เชื่อว่ามวลมหาประชาชนจะหลั่งไหลออกมากันเต็มท้องถนนอีกรอบ
ขณะเดียวกันก็มีกระแสบีบคันกดดันให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจน นั่นคือต้องออกมายืนข้างมวลชน หยุดเป็น “เครื่องมือ” ให้กับระบอบทักษิณอีกต่อไป และหยุดเชื่อมั่นในระบบ “รัฐสภาโจร” เสียที เพราะนาทีนี้ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว ชาวบ้านเขาไม่ให้ความเชื่อถือ แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังเดินหน้าสนับสนุนและยังทำตัวสร้างความชอบธรรมในทางอ้อมแบบนี้ก็ต้องถือว่า ไม่มีความจริงใจ และอาจถูกมองว่ายืนอยู่ตรงข้ามกับมวลชนที่ออกมายืนหยัดอยู่ในขณะนี้ เพราะท่าทีของพวกเขาจะกลายเป็นตัวเร่งให้ “กระแสกระเพื่อม” ได้อย่างแรงอีกครั้ง อีกทั้งยังเป็นแรงกดดันให้กองทัพ และบรรดาข้าราชการที่ยังลังเลได้ออกมาเลือกข้างได้เร็วขึ้น
แต่หากพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ชวน หลีกภัย ยังยืนหยัดอยู่ในระบบรัฐสภาอย่างที่เป็นอยู่ก็คงได้เห็นกัน เพราะถึงตอนนั้นก็คงช่วยไม่ได้ที่จะถูกมองว่ายืนกันละฝั่งกับมวลชน และคราวนี้ปฏิเสธไม่ได้ก็คือมวลชนที่ออกมาเป็น “มวลชนจากภาคใต้” และในกรุงเทพมหานครไม่น้อย ที่สำคัญเป็นมวลชน “ตื่นรู้” ที่สั่งสมประสบการณ์ต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้แต่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ยังต้องยอม และสลัดหัวโขนลงมาสู้แบบร่วมเป็นร่วมตาย
ดังนั้นถ้าพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจสถานการณ์ดีก็คงจะอ่านออกได้ไม่ยาก!!