00 น่าชื่นใจกับคำยืนยันอีกครั้งของ สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำม็อบโค่นระบอบทักษิณ ว่าเป้าหมายของเขาคือ "ปฏิรูปประเทศ"ครั้งใหญ่ เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และแท้จริง โดยประชาชนเท่านั้น นั่นคือให้อำนาจประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งหลักการคร่าวๆ ที่กำหนดคล้ายๆ กับ "พิมพ์เขียว"ประเทศก็คือ ในเบื้องต้นต้องมี "สภาประชาชน" และมี "รัฐบาลของประชาชน" ขึ้นมาก่อน เพื่อร่วมกัน "ออกแบบประเทศไทย" ในอนาคต
00 สิ่งที่น่าชื่นใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ถามย้ำกับมวลชนที่เดินทางมาสนับสนุนที่เวทีศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ที่เพิ่งเข้ามากระทำอารยะขัดขืน เมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ย.ว่าหาก นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา จะยอมรับหรือไม่ ซึ่งก็ได้คำตอบย้ำชัดเจนว่า "ไม่เอา" เพราะเป้าหมายคือ "ปฏิรูป" ครั้งใหญ่ทั้งระบบเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาเปล่า
00 ดังนั้น เมื่อเป้าหมายข้างหน้าชัดเจน แน่นอนว่าทั้งมวลชนและแกนนำก็ต้องมุ่งมั่นเดินไปถึงเป้าหมายดังกล่าวให้สำเร็จให้จงได้ ขณะเดียวกันก็ต้องตระหนักถึงความจริงไว้ด้วยว่า "ระบอบทักษิณ" ไม่ใช่หมู เพราะ"ระดับความชั่ว" ของมันได้ฝังรากลึกมานานนับสิบปีอย่างที่ว่ากันจริงๆ และที่สำคัญเป็นความชั่วที่ "แนบเนียน" เนื่องจาก "สวมรอยประชาธิปไตย" ได้อย่างลงตัว นั่นคือ ชนะเลือกตั้ง มีเสียงข้างมาก มีองค์ประกอบครบ ขณะเดียวกันภายใต้ "ทุนสามานย์" ที่มีอยู่เหลือ เฟือ สามารถซื้อ ส.ส.-ส.ว.แทบทั้งสภา ซื้อข้าราชการ หรือแลกกับการให้ตำแหน่ง มีผลประโยชน์ร่วมกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีบรรดาข้าราชการคอยรับใช้มากมาย อย่างไรก็ดีหากพลังของประชาชนที่รวมกันเป็นหนึ่ง และ "ตื่นรู้" กันเป็นจำนวนมาก ประกาศตัวว่า "ไม่ยอมอีกต่อไป" หรือสุดจะทนแล้ว และออกมาร่วมกันขับไล่อย่างต่อเนื่อง ระบบสามานย์เหล่านี้ก็ต้องพังทลายไปในที่สุด เหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เริ่มหวั่นไหวซวนเซอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งตังหัวหน้าโจรใหญ่ คือ ทักษิณ ชินวัตร ลิ่วล้อในเครือข่าย หรือแม้กระทั่งมวลชนที่ออกมาต่อต้านด้วยกันเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะมีจำนวน "มหาศาล" กันขนาดนี้ และด้วยปริมาณแบบนี้แหละที่ทำให้เป้าหมายที่วางเอาไว้ไม่ไกลเกินเอื้อม แม้ว่าจะยากแสนยากก็ตาม
00 สำหรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เวลานี้ถือว่า "ได้พบสัจจธรรมใหม่" แล้วก็ได้หลังจากได้ประกาศเป้าหมายปฏิรูปออกมาแล้ว ในค่ำคืนที่ผ่านมาก็ไปไกลอีกขั้น นั่นคือ คำประกาศที่ว่า หากทำการ (ปฏิรูป) สำเร็จตัวจะ "วางมือ" ทางการเมือง ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะถือว่านี่คือภารกิจศักดิ์สิทธิ์ และน่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต และหวังว่าจะเดินไปตามเส้นทางนั้น ไม่วอกแวก เพราะมวลชนที่อยู่ข้างหลังแม้ว่าจะหนุนหลังเต็มที่ แต่เมือใดก็ตามที่ดูแล้วอาจออกนอกลู่นอกทาง มันก็มีสิทธิ์ "ถูกเสือขย้ำ"ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ก็มั่นใจว่าคนอย่างเขาที่ผ่านเรื่องราวมามาก น่าจะเห็นทางสว่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว และกำลังเดินไปในทางที่ถูกต้อง
00 หากพิจารณาจากสถานการณ์ความเป็นจริงถือว่าเวลานี้ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลไกสำคัญของระบอบทักษิณ กำลังหมดสภาพลงไปทุกที เพราะบริหารไม่ได้ ตัวนายกฯ ก็ไปไหนไม่ได้ ทุกอย่างเริ่มตีบตัน ดังนั้น เหลือเพียง ช่องทางเดียวสำหรับการดิ้นรน นั่นคือการ "ยุบสภา" เพื่ออ้างว่าคืนอำนาจให้ประชาชน และเชื่อว่าด้วยกลไกที่มีอยู่ และระบอบทักษิณ ที่วางเครือข่ายฝังรากลึก ก็ค่อนข้างแน่ว่าจะได้กลับมาอีก แม้ว่าจะไม่มากมายถล่มทลายเหมือนเก่า แต่ก็ เชื่อว่าชนะอยู่ดี กลับมาเหยียบย่ำหัวใจหนักกว่าเดิมด้วยข้ออ้าง "ความชอบธรรม" จากการเลือกตั้ง ซึ่งหากินได้ตลอด ทั้งที่มันเป็น"แค่เปลือก" ดังนั้นมวลชนที่ตื่นรู้ได้ดักคอเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า "ไม่เอา" ไม่ว่ายุบสภา หรือลาออก ต้องปฏิรูปเท่านั้น
00 อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ พรรคประชาธิปัตย์เวลานี้ยังไม่ตกผลึก ยังทำตัวเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในสภา ด้วยการไปพล่ามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร นาทีนี้ จะมีใครสีกกี่คนที่สนใจฟังการอภิปราย ต่อให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิปรายซักฟอกทีลีลาโวหารเยี่ยมยอดกว่านี้อีกร้อยเท่า "แล้วไงล่ะ" เพราะถึงเวลายกมือก็แพ้วันยังค่ำ มันจะมีความหมายอะไร ตรงกันข้าม ยังเป็นการไปการันตีให้กับมันเสียอีก และหากว่าโหวตแพ้แล้วลาออก ถึงตอนนั้นก็ไม่สง่างามแล้ว ถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปขยายผลว่า "แพ้แล้วพาล" อะไรอีก ทั้งที่สมควรออกมาร่วมมือกับมวลชนข้างนอกสภาตั้งแต่ต้น ร่วมกันผลักดันปฏิรูป ถึงตอนนั้น น่าจะมีพลังมากกว่า เพราะตอนนี้สภาไม่มีความหมายแล้ว ชาวบ้านเขาไม่ให้ราคาแล้ว และคนที่ไปไกลกว่าเพื่อน กลายเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ค้นพบหลังจากร่วมเป็นร่วมตายกับมวลชน เพราะนี่แหละ คือ พลังบริสุทธิ์แท้จริง อยู่ใกล้แล้วมีความสุข !!
00 สิ่งที่น่าชื่นใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณ ถามย้ำกับมวลชนที่เดินทางมาสนับสนุนที่เวทีศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ ที่เพิ่งเข้ามากระทำอารยะขัดขืน เมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ย.ว่าหาก นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา จะยอมรับหรือไม่ ซึ่งก็ได้คำตอบย้ำชัดเจนว่า "ไม่เอา" เพราะเป้าหมายคือ "ปฏิรูป" ครั้งใหญ่ทั้งระบบเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลาเปล่า
00 ดังนั้น เมื่อเป้าหมายข้างหน้าชัดเจน แน่นอนว่าทั้งมวลชนและแกนนำก็ต้องมุ่งมั่นเดินไปถึงเป้าหมายดังกล่าวให้สำเร็จให้จงได้ ขณะเดียวกันก็ต้องตระหนักถึงความจริงไว้ด้วยว่า "ระบอบทักษิณ" ไม่ใช่หมู เพราะ"ระดับความชั่ว" ของมันได้ฝังรากลึกมานานนับสิบปีอย่างที่ว่ากันจริงๆ และที่สำคัญเป็นความชั่วที่ "แนบเนียน" เนื่องจาก "สวมรอยประชาธิปไตย" ได้อย่างลงตัว นั่นคือ ชนะเลือกตั้ง มีเสียงข้างมาก มีองค์ประกอบครบ ขณะเดียวกันภายใต้ "ทุนสามานย์" ที่มีอยู่เหลือ เฟือ สามารถซื้อ ส.ส.-ส.ว.แทบทั้งสภา ซื้อข้าราชการ หรือแลกกับการให้ตำแหน่ง มีผลประโยชน์ร่วมกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีบรรดาข้าราชการคอยรับใช้มากมาย อย่างไรก็ดีหากพลังของประชาชนที่รวมกันเป็นหนึ่ง และ "ตื่นรู้" กันเป็นจำนวนมาก ประกาศตัวว่า "ไม่ยอมอีกต่อไป" หรือสุดจะทนแล้ว และออกมาร่วมกันขับไล่อย่างต่อเนื่อง ระบบสามานย์เหล่านี้ก็ต้องพังทลายไปในที่สุด เหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เริ่มหวั่นไหวซวนเซอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งตังหัวหน้าโจรใหญ่ คือ ทักษิณ ชินวัตร ลิ่วล้อในเครือข่าย หรือแม้กระทั่งมวลชนที่ออกมาต่อต้านด้วยกันเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะมีจำนวน "มหาศาล" กันขนาดนี้ และด้วยปริมาณแบบนี้แหละที่ทำให้เป้าหมายที่วางเอาไว้ไม่ไกลเกินเอื้อม แม้ว่าจะยากแสนยากก็ตาม
00 สำหรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เวลานี้ถือว่า "ได้พบสัจจธรรมใหม่" แล้วก็ได้หลังจากได้ประกาศเป้าหมายปฏิรูปออกมาแล้ว ในค่ำคืนที่ผ่านมาก็ไปไกลอีกขั้น นั่นคือ คำประกาศที่ว่า หากทำการ (ปฏิรูป) สำเร็จตัวจะ "วางมือ" ทางการเมือง ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้น เพราะถือว่านี่คือภารกิจศักดิ์สิทธิ์ และน่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต และหวังว่าจะเดินไปตามเส้นทางนั้น ไม่วอกแวก เพราะมวลชนที่อยู่ข้างหลังแม้ว่าจะหนุนหลังเต็มที่ แต่เมือใดก็ตามที่ดูแล้วอาจออกนอกลู่นอกทาง มันก็มีสิทธิ์ "ถูกเสือขย้ำ"ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ก็มั่นใจว่าคนอย่างเขาที่ผ่านเรื่องราวมามาก น่าจะเห็นทางสว่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว และกำลังเดินไปในทางที่ถูกต้อง
00 หากพิจารณาจากสถานการณ์ความเป็นจริงถือว่าเวลานี้ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลไกสำคัญของระบอบทักษิณ กำลังหมดสภาพลงไปทุกที เพราะบริหารไม่ได้ ตัวนายกฯ ก็ไปไหนไม่ได้ ทุกอย่างเริ่มตีบตัน ดังนั้น เหลือเพียง ช่องทางเดียวสำหรับการดิ้นรน นั่นคือการ "ยุบสภา" เพื่ออ้างว่าคืนอำนาจให้ประชาชน และเชื่อว่าด้วยกลไกที่มีอยู่ และระบอบทักษิณ ที่วางเครือข่ายฝังรากลึก ก็ค่อนข้างแน่ว่าจะได้กลับมาอีก แม้ว่าจะไม่มากมายถล่มทลายเหมือนเก่า แต่ก็ เชื่อว่าชนะอยู่ดี กลับมาเหยียบย่ำหัวใจหนักกว่าเดิมด้วยข้ออ้าง "ความชอบธรรม" จากการเลือกตั้ง ซึ่งหากินได้ตลอด ทั้งที่มันเป็น"แค่เปลือก" ดังนั้นมวลชนที่ตื่นรู้ได้ดักคอเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า "ไม่เอา" ไม่ว่ายุบสภา หรือลาออก ต้องปฏิรูปเท่านั้น
00 อย่างไรก็ดี สิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ พรรคประชาธิปัตย์เวลานี้ยังไม่ตกผลึก ยังทำตัวเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในสภา ด้วยการไปพล่ามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร นาทีนี้ จะมีใครสีกกี่คนที่สนใจฟังการอภิปราย ต่อให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิปรายซักฟอกทีลีลาโวหารเยี่ยมยอดกว่านี้อีกร้อยเท่า "แล้วไงล่ะ" เพราะถึงเวลายกมือก็แพ้วันยังค่ำ มันจะมีความหมายอะไร ตรงกันข้าม ยังเป็นการไปการันตีให้กับมันเสียอีก และหากว่าโหวตแพ้แล้วลาออก ถึงตอนนั้นก็ไม่สง่างามแล้ว ถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปขยายผลว่า "แพ้แล้วพาล" อะไรอีก ทั้งที่สมควรออกมาร่วมมือกับมวลชนข้างนอกสภาตั้งแต่ต้น ร่วมกันผลักดันปฏิรูป ถึงตอนนั้น น่าจะมีพลังมากกว่า เพราะตอนนี้สภาไม่มีความหมายแล้ว ชาวบ้านเขาไม่ให้ราคาแล้ว และคนที่ไปไกลกว่าเพื่อน กลายเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ค้นพบหลังจากร่วมเป็นร่วมตายกับมวลชน เพราะนี่แหละ คือ พลังบริสุทธิ์แท้จริง อยู่ใกล้แล้วมีความสุข !!