ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เลือกปฏิบัติให้เห็นกันชัดๆ ในการช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยกลุ่มชาวนายังได้รับโอบอุ้มต่อไปจากนโยบายรับจำนำข้าวในฤดูกาลผลิต 56/57 ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไปบ้าง แต่สำหรับกลุ่มอื่นๆ เช่น ชาวสวนยาง ที่กำลังชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำยังไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใดแถมยังถูกทุบตีถูกหยันว่าเป็นม็อบที่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง เช่นเดียวกับกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวโพดซึ่งกำลังมีปัญหาเช่นเดียวกัน
เคาะกันชัดแล้วสำหรับโครงการรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิตปี 56/57 โดยที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ 26 ส.ค. 56 ได้กำหนดแนวทางรับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลผลิตปี 2556/57 ซึ่งจะใช้วงเงินไม่เกิน 2.7 แสนล้านบาท และกำหนดแนวทางการรับจำนำ คือ 1.รับจำนำข้าวนาปี 2556/57 ตันละ 1.5 หมื่นบาท จำกัดวงเงิน 3.5 แสนบาท/ครัวเรือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2556 และ 2.รับจำนำข้าวนาปรังปี 2557 ตันละ 1.3 หมื่นบาท จำกัดวงเงิน 3 แสนบาท/ครัวเรือน ซึ่งแนวทางนี้ กขช.ได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติเมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีข้าวเข้าสู่โครงการประมาณ 18 ล้านตัน จากเดิมที่รับจำนำประมาณ 21-22 ล้านตัน และประเมินว่า รัฐบาลจะขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวรอบนี้ ประมาณ 8 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาท
สำหรับข้าวเปลือกเหนียว ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมจังหวัด และข้าวเปลือกหอมปทุมธานี กขช. ได้คงราคารับจำนำไว้เท่าเดิม โดยราคาข้าวเปลือกเหนียว เมล็ดยาว ตันละ 1.6 หมื่นบาท และเมล็ดสั้น ตันละ 1.5 หมื่นบาท ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 2 หมื่นบาท ข้าวเปลือกหอมจังหวัด ตันละ 1.8 หมื่นบาท และข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 1.6 หมื่นบาท
มติ กขช.ที่เคาะราคาจำนำข้าวดังกล่าวข้างต้นนั้น ทางสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ซึ่งมีนายวิเชียร พวงลำเจียก เป็นประธาน ทำท่าฮึดฮัดไม่เอาด้วยในตอนแรก โดยขอยืนยันตามข้อเสนอเดิมที่เสนอในที่ประชุม กขช. เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา คือให้ยืนราคารับจำนำข้าว 14,000 บาทต่อตัน ในวงเงิน 400,000 บาท ทั้งในรอบนาปีและนาปรัง ซึ่งเป็นการพิจารณาจากข้อมูลการทำนาจริงของชาวนาเป็นที่ตั้ง เพราะชาวนาทำนาไม่พร้อมกัน และเก็บเกี่ยวไม่พร้อมกัน จึงขอให้ครม.ทบทวนและมีมติเป็นไปตามข้อเสนอของชาวนา พร้อมกับขู่ว่าถ้าไม่ได้อย่างที่ขอกลุ่มชาวนาจะไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ซึ่งไม่ปฏิบัติตามที่ได้มีการประกาศนโยบายต่อรัฐสภา ว่าจะรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคา 15,000 บาท
แต่หลังจากถูกเกลี้ยกล่อมไม่นาน ในวันถัดมา นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ก็ยอมรับแนวทางการรับจำนำที่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใหม่ โดยอ้างว่า ชาวนาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้า ปีการผลิต 2556-2557 ความชื้น 15% ที่ราคาตันละ 13,000 บาท รับจำนำปีละ 2 ครั้ง และกำหนดวงเงินครัวเรือนละไม่เกิน 300,000 บาท ราคานี้เมื่อหักความชื้นและสิ่งเจือปนชาวนาจะขายข้าวได้ในราคาตันละ 10,000-11,000 บาท หรือมีกำไรเหลือตันละ 1,000 บาท ส่วนอีกทางเลือกหนึ่ง คือ การรับจำนำข้าวที่ตันละ 15,000 บาท เพียงปีละ 1 ครั้ง และจำกัดวงเงินต่อครัวเรือนไม่เกิน 500,000 บาท เป็นแนวทางนี้ไม่คุ้มค่า เพราะชาวนาส่วนใหญ่ปลูกข้าวปีละ 2 ครั้ง
“ชาวนาไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะรัฐบาลระบุว่าไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะรับจำนำข้าวในราคาตันละ 15,000 บาท แบบไม่จำกัดปริมาณอีกต่อไป” นายกสมาคมชาวนาฯ กล่าว ซึ่งนั่นเท่ากับว่ารัฐบาลได้เคลียร์ปัญหากับกลุ่มชาวนาที่อึมครึมให้จบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งกันทั้งสองฝ่าย
ขณะที่การตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าวของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีกระแสข่าวว่าในการประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 56 จะมีการชี้มูลความผิดการทุจริตในโครงการนี้ตามที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบการรับจำนำ และการระบายข้าวระบบจีทูจีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สุดท้ายก็ยังไม่มีการชี้มูลแต่อย่างใด
ป.ป.ช. เพียงแต่แถลงความคืบหน้าในการติดตามเส้นทางการเงินจากเช็ค 1,744 ฉบับ จาก 6 ธนาคาร เพื่อที่จะให้ใครเป็นคนซื้อแคชเชียร์เช็คนี้ โดยเบื้องต้นมีเพียง 3 ธนาคารที่ส่งข้อมูลมาให้ คือ ธนาคารกรุงไทย, แบงก์ ออฟ ไชน่า และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ส่วนที่เหลือยังไม่มีการส่งข้อมูลมา แต่ได้รับการประสานจากธนาคารกรุงเทพ และกสิกรไทย ว่าจะส่งมาให้ภายในกลางเดือนกันยายน 2556 แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ยังไม่ได้รับการประสานมา โดย ป.ป.ช.ได้แจ้งไปแล้วว่าให้ส่งข้อมูลมาภายในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังต้องสอบข้าราชการกระทรวงพาณิชย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการประสานงานการรับจำนำข้าว และสอบถามองค์กรคลังสินค้ากรณีส่งข้าวไปยังที่มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ประเทศจีน รวมถึงสอบผู้ที่เกี่ยวข้องอีกบางส่วนก่อนประชุมพิจารณาชี้มูล
สรุปคือ ลากกันอีกยาว เรื่องที่สังคมจะไปหวังให้ ป.ป.ช.เร่งมือชี้มูล เพื่อสกัดการทุจริตจำนำข้าวในฤดูกาลผลิตปีนี้ที่กำลังจะเริ่มขึ้น คงเข้าทำนองต้องร้องเพลงรอต่อไปเรื่อยๆ
แต่ที่ยังเป็นปัญหาและทำท่าจะบานปลายก็คือ ม็อบชาวสวนยาง ซึ่งกำลังระดมพลกันทั่วประเทศชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้ามาช่วยพยุงราคายางพาราที่ตกต่ำลงอย่างมาก โดยขณะนี้ราคายางแผ่นดิบเหลือเพียงแค่กิโลกรัม ละ 76 บาท ส่วนยางแผ่นรมควันชั้น 3 ราคา 79 บาท น้ำยางสด ณ โรงงาน ราคา 71 บาท และเศษยาง ณ โรงงาน ราคา 69 บาท ขณะที่ข้อเรียกร้องของม็อบชวนสวนยาง ก็คือ ให้รัฐบาลประกันราคายางแผ่น กิโลกรัมละ 120 บาท เศษยางหรือขี้ยาง ราคากิโลกรัมละ 60 บาท และให้ประกันราคาปาล์มน้ำมัน กิโลกรัมละ 3 บาท จากเวลานี้อยู่ที่ 2 บาท เท่านั้น
ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาราคาตกต่ำของชาวสวนยาง ไม่ได้ แตกต่างไปจากชาวนาที่ขอให้พยุงราคาข้าวผ่านโครงการรับจำนำแม้แต่น้อย แต่การสนองตอบต่อปัญหาของเกษตรกรสองกลุ่มนี้กลับต่างราวฟ้ากับเหว ไม่ใช่แค่ไม่ช่วยเหลือเท่านั้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังมองม็อบชาวสวนยางว่าเป็นม็อบการเมือง เพียงเพราะเกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคใต้ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าหน้าที่ถึงขั้นลงมือไล่ทุบไล่ตี ทั้งที่ความจริงแล้วเกษตรกรชาวสวนยางเวลานี้มีอยู่ทั่วประเทศอันเป็นผลมาจากโครงการส่งเสริมปลูกยางล้านไร่ในสมัยรัฐบาลทักษิณนั่นเอง ดังนั้น ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่ภาคใต้แต่เดือดร้อนกันไปหมด จึงไม่แปลกที่ม็อบชาวสวนยางจะประกาศนัดรวมพลทั่วทุกภาค 3 ก.ย.56 นี้ หากยังไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติได้
นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มิอาจทำเหมือนเล่นขายของด้วยการส่งใครก็ไม่รู้อย่าง “นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์” ลงไปเจรจากับเกษตรกรผู้ทำสวนยาง ทั้งๆ ที่นายสุภรณ์ มิได้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือมีอำนาจในการแก้ไขปัญหาประการใด แม้จะอ้างว่าได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีก็ตาม
นี่คือการดูแคลนปัญหาของเกษตรกรผู้ทำสวนยางอย่างไม่น่าให้อภัย
นอกจากนี้ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมว.พาณิชย์ แม่งานโครงการรับจำนำข้าวทำตัวเป็นนกรู้ รีบชิ่งไม่รู้ไม่เกี่ยวโยนเผือกร้อนไปให้กระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบเคลียร์ปัญหาทั้งหมด แล้วนายยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.กระทรวงเกษตรฯ ก็แสดงธาตุแท้ออกมายืนกระต่ายขาเดียว รับไม่ได้กับราคายางที่เกษตรกรเรียกร้อง ถ้าต้องทำเช่นนั้นแล้วรัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนไปอุดหนุน แล้วสต็อกที่ยังค้างอยู่ในโกดังจากการใช้เงิน 3 หมื่นล้านไป พยุงราคารอบที่แล้วที่มีอยู่กว่า 2 แสนตัน จะทำอย่างไร ทั้งที่คำถามนี้นายยุคล น่าจะถามสำหรับการรับจำนำข้าวที่ใช้เงินไปมหาศาลหลายแสนล้าน ขาดทุนกว่า 3 แสนล้าน และมีข้าวเหลือบานเบอะอยู่เต็มล้นโกดังมากมายหลายเท่า
ทำไม นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ถึงไม่ได้ไปเป็นผู้เจรจา ตั้งแต่เกิดปัญหาในช่วงเริ่มต้น แล้ว ฯพณฯบรรหาร ศิลปอาชา ผู้อำนาจตัวจริงหายศีรษะไปไหน ทำไมถึงไม่ใช้มันสมองอันชาญฉลาดแก้ปัญหา หรือกำลังปากมันอยู่กับตำแหน่งประธานที่ประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่นายใหญ่หยิบยื่นให้
หรือทำไมตัวนายกรัฐมนตรีเองถึงไม่ลงไปแก้ปัญหาด้วยตัวเองเล่า
หรือนางสาวยิ่งลักษณ์ถนัดแต่เดินแอ่นระแน้ไปตรวจแถวทหารและเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครเห็นว่าประสบความสำเร็จและช่วยประเทศชาติในเรื่องอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง
แถมนอกจากไม่ได้ใยดีแล้วยังมีฝีปากสำนวนให้คนหมั่นไส้อีกต่างหาก
“ขอกราบเรียนว่า ตามราคาที่ขอมันหนักจริงๆ ตลอดเวลากระทรวงเกษตรฯ ได้ดูแลชาวสวนยางอยู่แล้ว ระยะยาวอยากให้มีตัวแทนมาพูดคุยกับกระทรวงเกษตรฯ ด้วยการนั่งจับเข่าคุยกัน เพราะงบประมาณมีจำกัด”
นี่ยังไม่นับว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับยางพารา ดังที่ให้สัมภาษณ์ว่า “…ต้องกราบขอความเห็นใจว่าเราไม่สามารถผลักราคาให้เท่าราคาตลาดโลกได้ เพราะปริมาณยางพาราของเราเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วก็ยังน้อยอยู่ เราก็ต้องไปอิงตามกลไกจริง” ทั้งที่ความจริงแล้วประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับหนึ่งของโลก โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ รายงานว่า เมื่อปี 2555 ประเทศไทยส่งออกยางธรรมชาติ มีปริมาณรวม 3,647,814,225 กิโลกรัม มูลค่ารวมสูงถึง 336,287,045,194 บาท สูงกว่าการส่งออกข้าวที่มีมูลค่า 142,976,235,578 บาท
เมื่อเรื่องกลายเป็นว่าทั้งนายกรัฐมนตรี ทั้งรมว.พาณิชย์ และรมว.เกษตรฯ ต่างก็โง่หรือแกล้งโง่ปัดสวะให้พ้นตัว นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ (กยน.) จึงเตรียมล้วงเงิน 25,000 ล้านบาท ออกมาสยบม็อบช่วยเกษตรกรในการแปรรูปน้ำยางดิบ เป็นยางแผ่น โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินการในวงเงิน 5,000 ล้านบาท และอีก 10,000 ล้านบาท ให้ธนาคารออมสิน ปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการเพื่อปรับปรุงเครื่องจักร ส่วนอีก 10,000 ล้านบาท จะใช้ลดต้นทุนด้านการผลิต เช่น การจัดโซนนิ่งสินค้าเกษตรอย่างระบบ ดูแลพื้นที่ปลูกยางให้ถูกต้องเพราะมีพื้นที่เพาะปลูกมากเกินความต้องการของตลาด ซึ่งเมื่อพินิจพิจารณาแล้ว เหมือนกับว่านายกิตติรัตน์ กำลังแก้ปัญหาแบบถามไก่ตอบกา ไม่เข้าเป้า ไม่ตรงจุด ไม่ตอบปัญหาความเดือดร้อนของม็อบสวนยางแต่อย่างใด
และนั่นก็เป็นที่มาให้ลูกกะโล่รีบออกมาเชลียร์กันดังขรมไปหมด
โดยนายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายวรชัย เหมะ นายประชา ประสพดี ที่พูดทำนองเดียวกันว่า จะมาเทียบกับการแก้ปัญหาราคาข้าวไม่ได้ เนื่องจากยางพาราไม่ใช่สินค้าพรีเมียมกำหนดราคาตลาดโลกเองไม่ได้ แถมยังโยนว่า ที่มันยุ่งเพราะการเมืองอยู่เบื้องหลัง
การที่ ส.ส.เสื้อแดงบอกว่า ยางพาราไม่ใช่สินค้าพรีเมียมกำหนดราคาตลาดโลกเองไม่ได้ก็บ้องตื้นสิ้นดี เพราะคำถามที่ย้อนกลับไปในทันทีคือ แล้วข้าวประเทศไทยสามารถกำหนดราคาเองได้อย่างนั้นหรือ
คำตอบคือ กำหนดราคาไม่ได้เหมือนกัน แต่ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึงเลือกช่วยแต่ข้าว
การที่นายยุคล ลิ้มแหลมทอง บอกว่า การซื้อยางราคาสูงกว่าตลาดที่ 120 บาท ไม่สามารถดึงราคาตลาดโลกขึ้นมาได้ และบอกว่ายางที่ซื้อมาเก็บในสต็อกขายไม่ได้เพราะต่างชาติรู้ว่าเราจะขายเมื่อไหร่ เขาจะทุบราคาทันที ก็มีคำถามว่า แล้วได้ข้าวที่รัฐบาลละเลงงบไปกว่า 700,000 ล้านบาทเพื่อซื้อข้าวเกวียนละ 15,000 บาทนั้นช่วยดึงราคาตลาดโลกได้หรือไม่ ที่สำคัญคือข้าวที่เก็บกองเอาไว้ในโกดังก็ขายไม่ได้เช่นกัน เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกยอมซื้อ นอกจากรัฐบาลจะยอมขายในราคาขาดทุน
กล่าวสำหรับนายยุคล ลิ้มแหลมทอง ต้องบอกว่า ม็อบสวนยางเกิดมาเกือบอาทิตย์แต่ประชาชนเพิ่งจะเห็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ บากหน้ามาร่วมประชุมกับชาวสวนยางเมื่อวันที่ 28 ส.ค.56 แถมยังเป็นการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลอีกต่างหาก ไม่เคยสนใจใยดีที่จะลงไปในพื้นที่
ซ้ำร้ายผลการเจรจากับตัวแทนเกษตรกรชาวสวยยาง 4 ภาคก็เหลวไม่เป็นท่าหลังผ่านการหารือร่วมกันนานกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อตัวแทนกลุ่มเกษตรชาวสวนยางส่วนหนึ่ง ได้ลุกออกจากที่ประชุม ด้วยความไม่พอใจ โดย นายวีระศักดิ์ สินธุวงศ์ ในฐานะประชาสัมพันธ์เครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เกษตรกรชาวสวนยางพยายามที่จะหาทางออกร่วมกันโดยเน้นการพูดคุยบนโต๊ะประชุม มากกว่าการเคลื่อนไหวบนท้องถนน ตัวแทนของกลุ่มเกษตรกรได้มายื่นข้อเสนอ เพื่อให้รัฐบาลประกันราคายางที่กิโลกรัมละ 92 บาท และปล่อยให้ราคายางเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก
นายวีรศักดิ์ ยังสอนมวยรัฐบาลโดยยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการแทรกแซงราคา ตามที่ นายยุคล เข้าใจ เนื่องจากค่าเงินบาทที่ตกลงมา เป็นปัจจัยให้ราคายางสูงขึ้น อีกทั้งราคายางในตลาดเซี่ยงไฮ้ ราคากลางอยู่ที่กิโลกรัมละ 110 บาท ซึ่งหากรัฐบาลปล่อยให้เป็นไปตามกลไกราคาตลาด เมื่อรัฐบาลประกาศออกไปว่าจะประกันราคาตามที่ตกลง ราคายางปัจจุบันเดิมอยู่ที่ กิโลกรัมละประมาณ 70 บาท อาจขยับราคาขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 80 กว่าบาท โดยรัฐบาลก็ช่วยชดเชยเพิ่มในส่วนต่างที่ขาดประมาณกิโลกรัมละ 5 บาท ต่อปริมาณยางที่ผลิตในประเทศได้ทั้งปีประมาณ 3 ล้านตัน ซึ่งรัฐบาลสามารถนำงบประมาณจากงบกลางเพื่อกรณีฉุกเฉิน ที่เคยใช้กับกรณีภัยพิบัติต่างๆ มาจ่ายก่อน จะเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 1 หมื่น 5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า การแทรกแซงราคากับการประกันราคาเป็นคนละอย่างกัน รัฐบาลอาจไม่เข้าใจ เพราะ นายยุคล รองนายกรัฐมนตรี อาจเครียด การพูดคุยในวันนี้เหมือนกับเกษตรกรเรียกร้อง แต่รัฐบาลทำให้เหมือนการพูดคนละเรื่อง ดังนั้นพวกเราจึงต้องกลับบ้านไปเตรียมความพร้อม ในวันที่ 3 ก.ย.นี้ ยืนยันว่ามติการชุมนุมปิดประเทศยังเหมือนเดิม และคาดว่าจะมีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น อาจกลายเป็นปัญหาเหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว และ เรื่องดังกล่าวนี้เป็นความเดือดร้อนของเกษตรจริงๆ ไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลังอย่างเเน่นอน เนื่องจากประธานเครือข่ายแต่ละภาคมาจากการเลือกตั้งของกลุ่มเกษตรกรในภาคนั้นๆ เอง ไม่มีใครมาชี้นำได้
วันนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังทำเรื่องง่ายๆ ให้เป็นเรื่องยากและวุ่นวาย เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว การแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำก็ใช้เงินไม่ได้มาก เท่าไหร่หากเทียบกับโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด
ถ้ารัฐบาลยอมเสียเงินเป็นแสนๆ ล้านให้ชาวนาได้ แล้วทำไมถึงยอมให้คนทำสวนยางไม่ได้ และถ้าจะมีเกษตรกรผู้ประกอบการชีพอื่นมาเรียกร้องบ้าง รัฐบาลก็ต้องช่วยเหลือและดูเบาไม่ได้ เพราะต้องไม่ลืมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงมาจากปัญหาของนโยบายประชานิยมที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำตามคำสั่งของนักโทษชายหนีคดีเพื่อตกเขียวประชาชน
ถ้ารัฐบาลยอมเสียเงินหลายล้านบาทให้นายบรรหาร นั่งเป็นประธานปฏิรูปประเทศได้โดยที่แทบไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ แล้วทำไมรัฐบาลถึงจะช่วยชาวสวนยางไม่ได้
ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เกิดคำว่าสองมาตรฐานย้อนกลับมาทิ่มแทงรัฐบาลเองเหมือนเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่ส่งเสริมให้ปลูกสวนยางทั่วประเทศก็มิใช่ใครอื่น หากแต่คือรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มิใช่หรือ
ฟังความเห็นจาก ผศ.ดร. อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้แนะว่า รัฐบาลควรแทรกแซงราคาโดยเร็วที่สุด โดยแทรกแซงราคาส่วนต่างพร้อมแก้ปัญหาราคายางพาราในระยะยาว เน้นพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกยางพาราหนาแน่น ทั้งภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือและร่วมมือกับภาคเอกชนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมให้รับกับมาเลเซียเพื่อพัฒนายางให้มีราคาสูงขึ้นด้วย
ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยเหลือเกษตรกรทุกกลุ่ม รัฐบาลก็ไม่มีทางออกอื่นนอกจากยุบสภาและลาออกไปจากอำนาจการบริหารประเทศเสียนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
เว้นเสียแต่ว่า ไม่มีเงินและไม่มียางอายเท่านั้น
ท้ายที่สุด การแก้ไขปัญหาผลิตผลทางการเกษตรแบบเลือกปฏิบัติของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ จะจุดชนวนสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มเกษตรกรอื่นๆ ที่ไม่ได้รับเหลียวแลอย่างทั่วถึงจนลุกลามบานปลายใหญ่โต ผสมโรงกับม็อบการเมืองซึ่งนัดชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีที่กำลังเริ่มคุกรุ่น กระทั่งทำให้รัฐบาลมีอันเป็นไปก่อนเวลาหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป