xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พิษจำนำข้าวเจ๊ง ปูเน่าปรี๊ดแตก มนต์ดำนช.ณ ดูไบ เสื่อม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-มหาวิบัติจำนำข้าวยังพ่นพิษลามไม่หยุด แม้จะปรับคณะรัฐมนตรียกใหญ่ พร้อมกับเชือดแพะชื่อ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” สังเวยแล้วก็เชื่อว่าเอาไม่อยู่ เพราะเน่าในกินลึกยากเกินจะเยียวยา ก็ผู้นำทั้งในและเร่ร่อนอยู่นอกประเทศเล่นปล่อยญาติพี่น้องพวกพ้องระเริงลำพองสวาปามมูมมามกันมันปาก แล้วจะให้สังคมเชื่อได้อย่างไรว่าแค่เปลี่ยนรัฐมนตรีพาณิชย์ แล้วมาคุยโวจะขายข้าวให้ได้ 5 ล้านตันภายใน 3 เดือน จากที่เน่าเสื่อมสภาพคาโกดังอยู่กว่า 17-18 ล้านตันข้าวสาร กับตัวเลขเจ๊งยับไม่ต่ำกว่า 2.2 แสนล้านซึ่งคือเงินภาษีประชาชนนั้น มันจะช่วยให้อะไรๆ ดูดีขึ้น

สุดแสนจะสงสารก็แต่นายบุญทรง อดีตรมว.กระทรวงพาณิชย์ ที่ถูกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.กระทรวงการคลัง เสียบซึ่งหน้าตายคาโครงการจำนำข้าว ก่อนที่ “นายกฯ หญิงปูเน่า” นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะฉีกยิ้มทำใจดีสู้ม็อบชาวนา ตกลงกลับลำจำนำข้าวในราคาเดิม ตันละ 15,000 บาท จากที่เพิ่งประกาศลดราคาจำนำลงเหลือตันละ 12,000 บาท เพียงไม่กี่วัน เพื่อต้องการซื้อเวลานับถอยหลังขาลงที่มาเร็วเกินคาดหมาย

กล่าวสำหรับโครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านมาแล้ว 3 ฤดูกาลนั้น ถูกแฉจนพรุนไม่เหลือชิ้นดี จะมีข้อมูลใหม่หรือการยืนยันข้อมูลตอกย้ำกลโกงล่าสุด ก็คงจะมาจากข้าราชการตงฉินที่ทำตัวเป็นก้างตำคอนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อยู่ในเวลานี้ นั่นคือ การไปชี้แจงของนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เพื่อพิจารณาเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 56 ที่ผ่านมา

คราวนี้ นางสาวสุภา แฉหนักๆ เน้นๆ เนื้อๆ อย่างไม่กลัวว่าจะกระเด็นตกจากเก้าอี้ ด้วยอาจไม่เคยคิดเอาดีอย่างนางเบญจา หลุยเจริญ ที่มีโอกาสได้นั่งในตำแหน่งสำคัญๆ หลายตำแหน่งในกระทรวงคลัง ในฐานะที่ช่วยคดีซุกหุ้นภาค 1 และซุกหุ้นภาค 2 จนตระกูลชินวัตรไม่ต้องเสียภาษีจากการขายหุ้นแม้สตางค์แดงเดียว กระทั่งเธอกลายเป็นคนสนิทคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และได้ขึ้นแท่นรัฐมนตรีใหม่ป้ายแดงหมาดๆ

การไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภา ในวันนั้น นางสาวสุภา บอกตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมว่า การรับจำนำข้าวทุกเมล็ด เกิดการทุจริตทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจดทะเบียนเกษตรกร ที่แจ้งตัวเลขเกินความจริง รวมทั้งมีการนำข้าวเปลือกมาเวียนในโครงการ เพราะขั้นตอนการสีแปรข้าว ต้องเก็บที่โรงสีประมาณ 50 วัน เนื่องจากข้าวมีจำนวนมากเกินความสามารถในการสีแปรของโรงสี จึงมีมติให้รับข้าวได้ 50 เท่าของความสามารถของโรงสี

ส่วนตัวเลขขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวใน 3 ฤดูกาลผลิต คือ ฤดูกาลผลิตปี 54/55 ฤดูกาลผลิตปี 55 และฤดูกาลผลิตปี 55/56 เบื้องต้นตัวเลขขาดทุน 220,968 ล้านบาท หากรวมการดำเนินการถึงเดือนพ.ค. 56 ที่ผ่านมา ตัวเลขการขาดทุนอาจจะมากกว่าที่ประมาณการจากฝ่ายต่างๆ ที่มีการปิดตัวเลข ณ วันที่ 31 ม.ค. 56 ที่ใช้วงเงินกว่า 4 .96 แสนล้านบาท ซึ่งทางรัฐบาลต้องจ่ายคืนให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)

“การคำนวณตัวเลขต้นทุนการขายข้าว ต้องใช้ราคาขายข้าวต่ำสุด กับสูงสุด จาก 7 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาคำนวณ เนื่องจากที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ไม่ได้แจ้งตัวเลขต้นทุน ซึ่ง อตก. และ อคส. แจ้งบัญชีข้าวสารแปรรูปร้อยละ 24 จากที่ควรจะได้ข้าวร้อยละ 59-61 ทำให้ไม่สามารถคำนวณตัวเลขได้ จึงต้องรอตัวเลขจากหน่วยงานดังกล่าวอีกครั้ง”

ส่วนตัวเลขข้าวค้างสต็อกของรัฐบาล 11 ล้านตัน แต่ อตก.และ อคส. ระบุว่า มีข้าวค้างสต็อก 18 ล้านตัน นางสาวสุภา บอกว่า ที่ผ่านมาได้ทวงถามตัวเลขการขายข้าวแล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงว่าเป็นความลับ และมีผู้ทราบข้อเท็จจริงเพียง 3 คน คือ รมว.พาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เท่านั้น ทำให้ไม่สามารถนำตัวเลขดังกล่าวมาคำนวณปิดบัญชี โดยเฉพาะสัญญาขายข้าว 10 ล้านตัน เป็นสัญญาขายข้าวให้กับส่วนใด

จากการชี้แจงของนางสาวสุภา หมายความว่า ในระบบตรวจสอบและขั้นตอนการจำนำข้าวนั้น นอกจากจะเกิดทุจริตกันทุกขั้นตอนตั้งแต่หัวยันหางแล้ว ยังมีขบวนการปกปิดตัวเลข ปกปิดความจริง แม้แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ก็ยังควานหาข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ได้ แล้วอย่างนี้สังคมจะยังปล่อยให้มีการดำเนินโครงการจำนำข้าวต่อไปได้อย่างไร เม็ดเงินจำนำข้าวที่เอาภาษีประชาชนไปอุ้มหลายแสนล้าน ก็ใช่ว่าจะตกถึงมือชาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียเมื่อไหร่ อย่าลงทุนสร้างภาพไปไกลถึงขนาดว่าจะล้างคอร์รัปชั่นอย่างเอาจริงเอาจังเลย เอาแค่ทุจริตโครงการรับจำนำข้าวโครงการเดียว รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็ไม่มีปัญญาจะทำให้ขาวสะอาดขึ้นได้แม้แต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม

เมื่อมาเจอนางสาวสุภา แฉโดยไม่ไว้หน้ารัฐบาล นายกรัฐมนตรีถึงกับปรี๊ดแตก ปากคอสั่นลั่นให้เอาหลักฐานมาจะจัดการให้ถึงที่สุด อย่าพูดลอยๆ “ให้คุณสุภาพิสูจน์ออกมาเป็นรายละเอียดเลยดีกว่าไหม” …. “ดิฉันพร้อมที่จะดำเนินคดี และพร้อมตรวจสอบให้หมด ขอเป็นอย่างนั้นดีกว่า เพราะจริงๆ เราเองพูดภาพรวมอาจทำให้คนกังวล ถ้าพูดเป็นรายละเอียดเลยว่ามีจุดไหนที่ตรวจสอบแล้วมีประเด็น เราก็พร้อมให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจ ถ้าผิดก็พร้อมดำเนินคดี ตรงนั้นพร้อมอยู่แล้ว” นางสาวยิ่งลักษณ์ โต้กลับ แถมขู่สำทับว่า ตัวเลขขาดทุนที่มีมากกว่า 2.2 แสนล้านนั้น ต้องรอให้คณะกรรมการตรวจสต็อกเป็นผู้สรุปดีกว่า รอดูตัวเลขจริงจากการลงตรวจสต็อก ตรวจโรงสีทุกโรง ที่เห็นด้วยตาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 2 หมื่นนายที่ลงไป จะใช้ข้อมูลนั้นมากกว่า ไม่ใช่ตัวเลขที่เกิดจากการคำนวณ

น่าสงสัยว่า นายกรัฐมนตรี จะกลัวการทำงานที่ตรงไปตรงมาของข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศชาติทำไม เพราะผู้ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลนี้ ก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นข้าราชการที่คนในรัฐบาลนั่นเองแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เพียงแต่ว่าเมื่อสั่งขวาหันซ้ายหันไม่ได้ ก็เลยขัดใจแล้วเฉไฉไปสั่งให้ตำรวจลงตรวจสต็อกข้าว แล้วเลือกที่จะเอาข้อมูลชุดนี้มาไว้ใช้แก้ตัวแทนเสียมากกว่า

อันที่จริงแล้ว การปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ต้องอาศัยข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการรับจำนำอย่างน้อยก็ 7 หน่วยงาน แล้วนำมาตัวเลขมายันกันว่าถูกต้องตรงกันหรือไม่ อย่างที่นางสาวสุภา ปฏิบัตินั้นถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่เช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่ามีข้าวหายไปจากสต็อกตั้งล้านกว่าตัน จนกลายเป็นประเด็นให้นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคลัง เต้นเป็นเจ้าเข้า แล้วส่งนายวราเทพ รัตนากร รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาช่วยกลบเกลื่อนปกปิดความจริงว่า ข้าวไม่ได้หายไปไหนแต่ยังไม่ได้ลงบัญชี ท่ามกลางข้อกังขาว่าแท้จริงแล้วคือ ข้าวล่องหน สต็อกลม จนทำให้ปิดบัญชีไม่ลงมากกว่าไม่ได้ลงบัญชี

แต่เมื่อนายว่าเหล่าขี้ข้าก็พลอย โดยหลังจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกอาการไม่สบอารมณ์อย่างยิ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้น นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกรัฐบาล ได้เสนอหน้าโพสต์ในทวิตเตอร์ส่วนตัว Teerat Ratanasevi เปิดเผยถึงการพูดคุยกับนายกฯ ว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่า ถ้า "สุภา" มีข้อมูลว่ามีการทุจริตข้าวทุกระดับ ให้ส่งหลักฐานเข้ามา พร้อมดำเนินคดีจนถึงที่สุด ปูโต้สุภากล่าวหาลอยๆ “การกล่าวหาลอยๆ เรื่องทุจริตข้าวโดยไม่มีหลักฐาน ทำให้คนรับรู้ข้อมูลคลาดเคลื่อน กระทบต่อเกษตรกรและข้าวไทยทั้งระบบ” นายธีรัตถ์ อ้างถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรี

นี่ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ แต่หลักฐานโทนโท่อยู่ตำตา แตะไปจุดไหนเป็นเจอทุจริต จนน่าสงสัยว่า คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ หูหนวกตาบอดกันไปหมดหรืออย่างไร จึงไม่ได้ยิน มองไม่เห็น ความผิดปกติไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้น หรือพากันปัดสวะให้กับแพะตัวใหม่ นายนิวัตรธำรง บุญทรงไพศาล รมว.กระทรวงพาณิชย์ ที่อาสารับใช้มาแก้ปมร้อน โดยเริ่มต้นจากงานถนัดคือการสร้างภาพ เหมือนกับนายหญิงยิ่งลักษณ์ และนายใหญ่แห่งดูไบ

“แผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว จะต้องมีความโปร่งใส เปิดเผย ป้องกันการทุจริตในทุกขั้นตอน โดยต่อไปจะมีการเช็คปริมาณสต็อก สินค้าคงคลังด้วยระบบออนไลน์ ที่จะต้องรู้ปริมาณสต็อกทุกวัน โดยขณะนี้ได้มีการหารือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดทำระบบออนไลน์ในการเช็คสต็อกข้าวทุกเมล็ดอยู่แล้ว” นายนิวัตรธำรง บอกถึงแผนการแก้ไขปัญหาที่เขาเชื่อว่าเยี่ยมยอดสุดๆ

ส่วนกรณีนางสาวสุภา นายนิวัตรธำรง ก็ใช้วิธีนิ่มๆ จะเชิญมาพุดคุยชี้แจงให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งความหมายตามนัยก็คือ การกล่อมให้นางสาวสุภา เออออห่อหมกไปกับรัฐบาล ช่วยกันหลอกชาวนา หลอกประชาชน หลอกสังคมให้เชื่อว่าโครงการรับจำนำข้าวประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ไม่มีทุจริตเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น ถ้าหากนางสาวสุภา จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีในภายหลัง ก็อย่าแปลกใจ ตั้งข้อสงสัยได้เลยว่าเป็นเพราะแรงบีบจากรัฐบาลอย่างแน่นอน

ไม่ใช่แค่โม้ว่าจะจัดการกับทุจริต ตรวจสต็อกละเอียดยิบทุกเม็ดเท่านั้น นายนิวัตรธำรง ที่ได้นายยรรยง พวงราช ลูกหม้อกระทรวงพาณิชย์ มาเป็นลูกคู่ในตำแหน่งรมช.กระทรวงพาณิชย์ ยังคุยโวจะระบายข้าวในช่วง 3 เดือนแรก ตั้งแต่เดือนก.ค. - ก.ย. 56 นี้ ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านตัน และทั้งปีให้ได้ 8-8.5 ล้านต้น ทั้งๆ ที่ตัวเลขที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุช่วงเดือนม.ค. - พ.ค. 56 ที่ผ่านมา มียอดส่งออกเพียง 2.5 ล้านตันเท่านั้น สิ่งที่คู่หูแพะตัวใหม่โม้แหลกเป็นเพียงแค่ฝันเฟื่อง

ยิ่งฟังเสียงวิจารณ์จากขาประจำ นายอัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ว่า การส่งออกข้าวที่พ่อค้าเป็นคนซึ่งรัฐบาลให้อำนาจผูกขาด ไม่มีปัญญาส่งออก ข้าวจึงเหลืออยู่ในมือรัฐบาลบานเบอะ พร้อมกับตอกหน้า “... รัฐโง่ที่ไม่สามารถแยกแยะข้าวตามคุณภาพได้ ไม่เหมือนพ่อค้าที่ตรวจตราตลอดเวลา และจุดสำคัญของข้าวไทยที่ต้องสงวนหวงแหนไว้คือคุณภาพข้าว แต่สองปีที่ผ่านมามีการปล่อยปละละเลย...”

เมื่อเพลี่ยงพล้ำเสียขนาดนี้มีหรือที่พรรคฝ่ายค้านจะไม่ฉวยโอกาสขย่มซ้ำ ขุนพลใหญ่น้อยของพรรคประชาธิปัตย์ จึงดาหน้าออกมาตามกระซวก เปิดแผลแฉรายวัน โดยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้รวบรวมประเด็นและตั้งคำถาม 8 ข้อ ให้รัฐบาลตอบต่อสังคม คือ

1.ถ้ายืนยันว่าสภาวะการคลังสามารถรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาทถึง 15 ก.ย. 56 วันที่ 18 มิ.ย. 56 ลดราคาจำนำเหลือ 12,000 บาท จนเกิดความสับสนทำไม 2.นายกฯ ระบุว่าการลดราคาจำนำเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ราคาตลาดโลก และให้เกิดความสมดุลทางการคลัง ภายใน 12 วันที่ผ่านมา มีเงื่อนไขใดเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้กลับมาดำเนินการรับจำนำในราคา 15,000 บาท

3.ทราบว่าการประชุม กขช.นั้นข้าราชการเสนอให้ยืนที่ 12,000 บาท แต่ถูกกดดันจากรองนายกฯ และรมว.คลังและรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ให้จำนำในราคา 15,000 บาท จนถึงวันที่ 15 ก.ย. 56 ทำให้ข้าราชการต้องยอมรับทั้งที่ทราบว่าไม่มีเงินมากพอที่จะทำโครงการต่อได้จริงหรือไม่ 4.การเดินหน้ารับจำนำข้าว 15,000 บาท จะทำให้กรอบวงเงินที่กำหนดไม่เกิน 5 แสนล้านบาท อาจจะเกินกว่ากรอบดังกล่าวทำให้ปิดบัญชีไม่ได้ รัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไร

5.นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ อ้างว่าการระบายข้าวจะดีขึ้นทั้งจากจีทูจี และสินค้าเกษตรล่วงหน้า โดยตั้งเป้าหมายว่าจะขายข้าวได้ 72,000 ล้านบาท แต่จากการตรวจสอบมีแค่จีนประเทศเดียวที่มีสัญญาซื้อขายกับประเทศไทย ส่วนประเทศอื่นไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอิหร่าน ยังไม่มีการทำสัญญาแต่อย่างใด ดังนั้นสมมติฐานที่อ้างว่าจะขายข้าวได้เพียงพอมาจำนำข้าวกับเกษตรกร เป็นแค่ตัวเลขที่ตั้งความหวังและมองโลกในแง่ดีจนเกินไป

6.จากรายงาน กขช.ยืนยันชัดว่ามีสต๊อกข้าวในโกดังไม่น้อยกว่า 20 ล้านตัน คือ ข้าวสารแปรสภาพแล้ว 19 ล้านตัน และข้าวเปลือกที่ยังไม่ได้สีอีก 3 ล้านตัน รวมแล้วจะมีสต๊อกข้าวสูงกว่า 20 ล้านตัน จึงสรุปได้ว่าข้าวยังไม่มีการระบายออกตามที่มีการกล่าวอ้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมรัฐบาลจึงถังแตกและไม่มีเงินเพียงพอที่จะจำนำข้าวในราคา 15,000 บาทในฤดูกาลต่อไป

7.นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ระบุว่าการจำนำข้าวจะมีความยืดหยุ่นได้ยิ่งสร้างความสับสนเพิ่มมากขึ้น เพราะยิ่งกลายเป็นว่าราคาที่รัฐบาลจะรับซื้อจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งจะสร้างความเสียหายไม่ใช่เฉพาะตลาดค้าข้าวในประเทศแต่จะไปถึงต่างประเทศด้วย เพราะจะมีความสับสนต่อนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปมาภายในเวลาแค่ 2 สัปดาห์ ซึ่งจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศด้วย

และ 8.ปัญหาการทุจริตจากโครงการรับจำนำข้าว ทั้งการนำข้าวคุณภาพต่ำมาจำนำ สวมสิทธิ เวียนเทียน แต่รัฐบาลไม่พูดถึงทั้งที่หากเอาจริงกับเรื่องนี้จะมีเงินรับจำนำในราคา 15,000 บาทได้อีกหลายปี สิ่งที่ทำให้โครงการนี้ล้มเหลวสาเหตุหลัก คือ การเข้าไปโกงกินของนักการเมือง โรงสี และพ่อค้า หากรัฐบาลไม่แก้ไขก็คงปฏิเสธคำครหาที่ว่ารัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตด้วยไม่ได้

ฉาวข้ามปีเสียขนาดนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ สมควรเอาเวลาสร้างภาพรณรงค์ปราบโกง มาจัดการขบวนการทุจริตข้าวให้เห็นเป็นรูปธรรม สร้างความโปร่งใสตรวจสอบได้ เปิดหลักฐานตัวเลขสต็อกข้าว สัญญาซื้อขายข้าวทั้งหมด เปิดตัวเลขขาดทุนป่นปี้ไปเท่าไหร่ ที่สำคัญคือกล้าเชือดคนโกงให้เห็นจะจะตั้งแต่ปลายแถวจนถึงหัวแถวโดยไม่ไว้หน้า ถ้ากล้าทำอย่างนั้นถึงจะเรียกเครดิต เรียกคะแนนเสียงกลับคืนมา ไม่อย่างนั้นก็ถึงเวลานับถอยหลังได้

งานนี้แม้แต่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ฐานมวลชนของพรรคเพื่อไทยแท้ๆ ยังออกตัวโดยไม่เกรงกลัวนายใหญ่ ณ ดูไบ ว่า ขอให้รัฐบาลไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นและลุแก่อำนาจ ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ หรือเป็นคนกระทำทุจริตเสียเอง กลุ่มคนเสื้อแดง จะออกมาขับไล่รัฐบาลเอง

อย่างไรก็ขอให้ออกมาไล่จริง อย่าเป็นแค่ราคาคุย หรือสร้างราคาต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีของว่าที่ผู้นำ นปช.คนใหม่ "บิ๊กตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ก็แล้วกัน


นางสาวสุภา ปิยะจิตติ

กำลังโหลดความคิดเห็น