ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ยังคงไม่สิ้นอิทธิฤทธิ์สำหรับ “สมีคำ” นายวิรพล สุขผล” หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ผู้ร่ำรวยเงินทองและทรัพย์ฤศงคารอันได้มาจากการต้มตุ๋น หลอกลวงประชาชนแม้จะถูกยึดทรัพย์และดำเนินคดีจนต้องระเหเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศ
อวิชชาล่าสุดที่เครือข่ายสมีคำโฮลดิ้งดิ้นรนเพื่อต่อสู้คดีดำเนินการผ่าน “ศิษย์รัก” จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก “ดอกเตอร์สุขุม วงประสิทธิ” และ “เริงศักดิ์ กำธร” ก็คือการว่าจ้าง “ทีมทนายความ” มาแก้ต่างความผิดของตนเอง แถมยังคุยโวโอ้อวดด้วยว่า หนึ่งในทีมทนายนั้นเป็นทนายความระดับฮอลลีวูดกันเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันก็เปิดตัว “น้องชาย” เพื่อลบข้อกล่าวหาหนักที่ศาลอาญาอนุมัติหมายจับในคดีใหญ่ชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ที่มีโทษติดคุกติดตะรางตั้งแต่ 4-20 ปี ซึ่งสังคมมีข้อสงสัยอย่างหนักว่า ทำไมศิษย์รักอย่างนายสุขุมถึงเพิ่งตื่นหรือเพิ่งคิดจะนำตัวน้องชายสมีคำมายืนยันความบริสุทธิ์ของผู้เป็นพี่ชายทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อหานี้ถือเป็นประเด็นแรกๆ ที่สมีคำถูกตีแผ่ความฉาวโฉ่เลยก็ว่าได้
สำหรับประเด็นเรื่องการว่าจ้างทีมทนายนั้น นายสุขุมเปิดเผยว่า ได้รวบรวมทนายฝีมือดีเป็นที่รู้จักของสังคมประมาณ 6 คนประกอบด้วย นายเสวก ทินกุล อดีต สสร.จังหวัดนครพนม นายสันติพงษ์ นิมิตดี นายสมพงษ์ โรหิตาภิรมย์ พ.ต.ต.สมพัฒน์ โรหิตาภิรมย์และ พ.ท.จักรกฤษณ์ เส็งชา และที่สำคัญคือนายเลน เชลเมน ทนายความชื่อดังของฮอลลีวูดที่มีผลงานสร้างชื่อเสียงมากมายก็จะมาร่วมเป็นทนายความโดยพุ่งเป้าไปที่เรื่องการเพิกถอนพาสปอร์ตและการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ตรงนี้ ชัดเจนว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สมีคำจำต้องเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อมาสู้คดีเพราะผลพวงของการถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางจากกรมการกงศุล กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งหมายจับจากกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ถูกส่งผ่านไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อเพิกถอนวีซ่าและส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เนื่องจากทำให้การใช้ชีวิตเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศยากลำบากมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การที่สมีคำถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สมีคำกับพวกเพิ่มเติม 60 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 60 ล้านบาทหลังจากที่กองปราบปรามได้อายัดไปก่อนหน้านี้ก็ยิ่งทำให้สมีคำมีเงินทองจับจ่ายใช้สอยในต่างประเทศไม่คล่องมือเหมือนที่ผ่านมา
ที่น่าตลกก็คือ ทีมทนายของนายสุขุมก็ทำท่าว่าจะมีสภาพไม่ต่างจากสมีคำ โดยนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบกับสภาทนายความ พบว่า ทีมทนายความทั้ง 6 คนที่ ลูกศิษย์เณรคำกล่าวอ้างนั้น มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่เป็นทนายความ
งานนี้ เรียกว่า ฮากันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
ส่วนประเด็นเรื่องการชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี สมีคำแก้เกมด้วยการให้นายสุขุมเปิดตัว “นายสุริ สุขผล” อายุ 31ปี น้องชายของสมีคำออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา โดยนายสุริยืนยันว่า คนที่นอนในรูปกับผู้หญิงเป็นรูปของตนเองและผู้หญิงที่ออกมาอ้างตัวเป็นภรรยาพี่ชายคือคนที่อยู่ในรูปดังกล่าว นั้นความจริงแล้วคือภรรยาและลูกของตนเอง ดังนั้น จึงพร้อมให้ตรวจ DNA เพื่อยืนยันความจริง
“ผมเป็นบุตรคนที่ 5 และเป็นน้องชายหลวงปู่เณรคำ หลังจากที่หลวงปู่บวชได้ 3-4 ปี ผมก็ได้บวชตามและคนมักทักว่าหน้าตาเหมือนหลวงปู่ ในขณะที่บวชผมเคยทำความผิดโดยหนีเที่ยวผู้หญิงทั้งที่ขายบริการและเที่ยวกับผู้หญิงที่เป็นแฟนกันตามประสาวัยรุ่น ผมเองได้มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงเหล่านั้นหลายคน ที่มาของรูปที่เป็นข่าว ยืนยันว่าเป็นรูปของตนเอง เหตุเกิดเพราะความเมาและมีคนแอบถ่ายไว้เพื่อแบล็กเมล์ ภาพดังกล่าวเป็นภาพสมัยที่บวชอยู่ที่ศรีสะเกษเป็นภาพถ่ายในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง”นายสุริให้การ
คำถามที่เกิดขึ้นจากกรณีที่มีการเปิดตัวนายสุริมีอยู่ว่า ในความเป็นจริง ข้อกล่าวหาในเรื่องนี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่มานานนับเดือน แต่ทำไมเครือข่ายสมีคำโฮลดิ้งถึงเพิ่งเปิดตัวออกมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะถ้านำน้องชายออกมาและให้ตรวจ DNA ตั้งแต่ต้นและผลเป็นไปตามที่กล่าวอ้าง ทุกอย่างก็จะจบและไม่สามารถทำอะไรสมีคำได้ ซึ่งประเด็นนี้นายสุริตอบว่า เหตุที่ไม่ออกมาแสดงตัวทันทีหลังจากที่เกิดเป็นข่าว เพราะมีครอบครัว จึงกลัวว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อครอบครัว อย่างไรก็ตาม พร้อมให้มีการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ
แต่ที่ฮาไม่หวาดไม่ไหวอยู่ตรงที่ก่อนหน้านี้ นายสุขุมเองมิใช่หรือที่บอกว่าเป็นภาพดังกล่าวเป็นภาพตัดต่อ แต่เมื่อมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าไม่ใช่การตัดต่อ ถึงค่อยแก้เกมเป็นการนำน้องชายมาเปิดตัวแทน
ที่สำคัญคือ ไม่ว่าสมีคำโฮลดิ้งจะอ้างอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ทำให้ดีเอสไอหวั่นไหวแต่ประการใด โดย พ.ต.อ.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ มั่นใจว่า มิได้เป็นไปตามที่ลูกศิษย์และน้องชายสมีคำแก้เกม พร้อมระบุด้วยว่า พ่อของหญิงสาวที่มีความสัมพันธ์กับสมีคำยืนยันว่า บุตรสาวมีความสัมพันธ์กับสมีคำ ไม่ใช่น้องชายพระตามที่ลูกศิษย์ยกมาเป็นประเด็นโต้แย้ง
ทั้งนี้ กรณีนายสุริน้องชายของสมีคำที่ออกมายอมรับแทนพี่นั้น ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกสังคมออนไลน์ โดยในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ชาวเน็ตได้ออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยการตั้งกระทู้ใช้ชื่อประเด็นว่า “จับผิดภาพเณรคำนอนกับสีกา” ถูกตั้งโดย “สุภาพบุรุษตัดต่อ” ซึ่งมีคนเข้ามาแสดงกันอย่างล้มหลาม และหนึ่งในนั้นมีชาวเน็ตที่ใช้ชื่ออ้างอิงว่า gamem13 ได้โพสต์ภาพชายที่นอนกับหญิงสาวเทียบกับเณรคำ ซึ่งภาพดังกล่าวได้มีการจับภาพใบหูที่มีลักษณะเหมือนกัน ตำแหน่งไฝเดียวกัน ลักษณะจมูกมีรูปทรงเหมือน หลังจากนั้นได้มีการนำภาพของ นายสุริ น้องเณรคำ มาเทียบกับบุคคลในภาพที่นอนกับหญิงสาว ปรากฏว่ามีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นโดยบอกว่า ใบหูไม่เหมือนกัน ตำแหน่งไฝไม่มี โดยใบหูของน้องชายเณรคำนั้นมีลักษณะยาวกว่าในภาพที่มีลักษณะงุ้มเข้า เข้าข่ายคล้ายกับของ เณรคำ มากกว่า
ขณะที่เว็บไซต์แมเนเจอร์ออนไลน์(www.manager.co.th) ที่มีคนจับผิดเอาไว้เช่นกัน อาทิ ความคิดเห็นเห็นที่ 230 ที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า “แล้วไฝข้างซ้ายมันหายไปไหน” หรือความเห็นที่ 285 ที่บอกว่า “สุขุม ไหนบอกว่าตัดต่อไง แล้วตอนนี้ บอกว่าน้องมันทำ” เช่นเดียวกับความเห็นที่ 276 ที่บอกว่า “ทีแรกก็ว่าภาพตัดต่อ แต่พอพิสูจน์ว่าเป็นภาพจริง .. ก็เอาน้องมาโกนหัวโกนคิ้วรับสมอ้างถ้าตรวจดีเอ็นเอแล้วผลออกมาว่าน้องมันมีสายพันธุ์ใกล้ชิดกับเด็ก แต่ไม่ใช่พ่อของเด็ก.. มันจะแถยังไงต่ออีก”
ขณะที่นายสุริแถในวันที่นายสุขุมพาไปร้องขอความเป็นธรรมที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อถูกถามว่าทำไมคนในภาพนี้มีจุดแต้มดำบนใบหน้า แต่ใบหน้าของนายสุริมีความเกลี้ยงเกลา ไม่มีรอยดำใดๆ ด้วยคำตอบว่า “เป็นสิว รอยสิวครับ”
งานนี้ ทำท่าว่า นอกจากจะช่วยพี่ไม่ได้แล้ว นายสุริผู้เป็นน้องชายอาจจะต้องติดคุกติดตะรางไปพร้อมๆ กันด้วยในข้อหาให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานสอบสวน ซึ่งแนวโน้มก็เป็นไปในทิศทางนั้นเมื่อ “พ.อ.ชัชนันท์ เมธีธรรมาภรณ์” รอง ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ระบุชัดเจนว่า จากการตรวจสอบรูปภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มี 6 จุดที่ยืนยันได้ว่ารูปนายวิรพลนอนกับหญิงสาวเป็นภาพที่ตรงกับเณรคำจริง คือ รูปคาง ใบหู จมูก และไฝ ซึ่งไม่ตรงกับน้องนายวิรพลเลย โดยหลังจากนี้หากพิสูจน์ได้ว่าน้องขายของนายวิรพล ให้การเท็จก็จะโดนดำเนินคดีด้วย ซึ่งจะมีการออกหมายเรียกพ่อ แม่ และน้องชายของอดีตเณรคำ หรือนายวิรพล สุขผล เพื่อตรวจดีเอ็นเอต่อไป
นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี พ.อ.ชัชนันท์ ยังเปิดเผยด้วยว่า พบพยานที่ใกล้ชิดนายวิรพล ยืนยันได้ว่า น้องเอซึ่งมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับเณรคำจนมีลูกด้วยกัน เป็นเรื่องจริงเพราะพยานเป็นผู้ส่งเสียเลี้ยงดู ส่วนน้องบี ที่นายวิรพลสร้างบ้านให้ 2 ล้านบาท ก็เป็นเรื่องจริงเพราะพยานเคยได้เข้าไปยังบ้านดังกล่าว
เช่นเดียวกับ “นางสาว ญ.”(นามสมมติ) ที่ออกมาเปิดเผยว่าเป็นเมียของสมีคำซึ่งยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักนายสุริ รวมทั้งไม่เคยมีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว และไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกันเลย ดังนั้น จึงได้ปรึกษาทนายความเพื่อให้ดำเนินการฟ้องร้องนายสุริแล้วในฐานะที่ทำให้ได้รับความเสียหายมาก
“หลวงปู่เณรคำไม่เป็นลูกผู้ชายพอที่ให้น้องชายออกมารับแทน หากเป็นลูกผู้ชาย เขาจะต้องออกมารับในจุดนี้”เมียสมีคำประกาศกร้าว
นอกจากนั้น กรณี “เสี่ยกัง” หรือนายศุภราช วิริยพันธ์ เจ้าของร้านแสงเจริญซาวด์แอนด์เทเลคอม ร้านประดับยนต์ชื่อดังในจังหวัดอุบลราชธานีที่ถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง) อายัดทรัพย์หลังจากพบว่าทำธุรกรรมร่วมกับสมีคำมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท หรือพูดง่ายๆ ว่า อาจเป็นหนึ่งในเครือข่ายสมีคำโฮลดิ้ง ก็ดูเหมือนจะมิได้ให้การที่เป็นคุณกับสมีคำแต่ประการใด แถมเสี่ยกังยังแก้เกมด้วยการเข้าแจ้งความดำเนินคดีสมีคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษในข้อหาฉ้อโกง พร้อมยืนยันว่า ตนเองก็คือผู้เสียหาย ซึ่งนั่นเท่ากับว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ดีเอสไอจะกันไว้เป็นพยานเพราะคาดว่าน่าจะทำให้ได้ข้อมูลเบื้องลึกอันเป็นที่มาที่ไปของรถยนต์จำนวนมากที่อยู่ในครอบครองของสมีคำได้
“เริ่มรู้จักกับนายวิรพลเมื่อประมาณปี 2549 โดยนายวิรพลนำรถตู้ยี่ห้อโตโยต้าประกอบนอกจำรึ่นไม่ได้มาให้ติดตั้งเครื่องเสียงที่ร้าน หลังจากนั้นก็มีการติดต่อกั้นมาโดยตลอด เพราะถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ซึ่งมาสั่งให้จัดหารถยนต์ทั้งใหม่และมือสองมอบให้บุคคลต่างๆ โดยนายวิรพลจะจ่ายเงินค่ารถ ค่าเครื่องเสียง ค่าประดับยนต์แบบผ่อนเป็นงวดๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาติดขัดทางการเงิน กระทั่งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2555 นายวิรพลมาขอยืมเงินจำนวน 5,040,000 บาท เพื่อจ่ายเป็นค่างวดรถเบนซ์ที่บริษัทจำหน่ายรถกำลังให้ทนายยื่นฟ้อง ด้วยความเชื่อถือจึงออกเช็คสั่งจ่ายให้ไปจำนวน 10 ฉบับ หลังจากนั้นวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 นายวิรพลได้มาขอยืมเงินอีก 4,000,000 บาท โดยบอกจะนำเงินไปซื้อพลอยและมรกตมาประดับองค์พระแก้วมรกตจำลอง และให้ดอกเบี้ยร้อยละ 2 บาทต่อเดือน นัดชำระคืนภายในต้นเดือนมีนาคม”
“นอกจากนี้ยังชวนให้เป็นเจ้าภาพสร้างอาคารครอบพระแก้วมรกต จึงบริจาคเงินช่วยค่าทำเสาตัวอาคารไป 350,000 บาท หลังจากนั้นนายวิรพลไม่เคยติดต่อมาเลย จนถึงเดือนมีนาคมพยายามติดต่อทวงถามเงินที่ยืมไปทั้งหมด ก็อ้างว่ายังต้องใช้จ่ายเงินซื้อพลอยมรกตมาติดองค์พระ จึงยังไม่มีเงินสดอยู่ในมือ เมื่อผมทวงถามหนักเข้าวันที่ 7 มีนาคม นายวิรพลได้โอนเงินมาให้จำนวน 291,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่เคยชำระเงินให้เลย จึงเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอก ได้ไปสั่งอายัดเช็คที่สั่งจ่ายเป็นค่างวดรถให้บริษัทรถเบนซ์ที่เหลืออยู่อีก 3 ใบวกระทั่งเกิดเรื่อง จึงรวบรวมหลักฐานการซื้อขายรถระหว่างผมกับนายวิรพลไปมอบให้ดีเอสไอ”เสี่ยกังยืนยัน
ขณะที่ลูกศิษย์สมีคำคือนายสุขุมก็แก้เกมกลับด้วยการนำตัวนายวิจารณ์ สมเทพ อายุ 47 ปี, นายชาญณรงค์ สมเทพ อายุ 49 ปีเข้าพบ พ.ต.ท.ก้องภพ มาสืบชาติ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.3 บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อนายศุภราช ซึ่งเป็นผู้จัดหารถยนต์ให้กับนายวิรพล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ ในข้อหายักยอกทรัพย์ โดยทำหนังสือร้องทุกข์มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาดำเนินคดี
“เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายศุภราชได้โทรศัพท์มาหานายวิจารณ์ โดยบอกให้ส่งสำเนาบัตรประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านไปให้ เพื่อจะทำเอกสารซื้อขายรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน กค 300 อุบลราชธานี ซึ่งเป็นรถนำเข้าที่ญาติพี่น้องของนายวิจารณ์ ได้จ่ายเงินซื้อรถคันดังกล่าวไปครบแล้วเป็นเงิน 400,000 บาท แต่หลังจากนำรถมาใช้งานแล้ว ยังไม่ได้รับการโอนทะเบียนมาเป็นของผู้ซื้อ ต่อมานายศุภราชกลับมาขับรถยนต์คันดังกล่าวและนำกลับคืนไป อ้างว่ากลัวจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะกำลังตกเป็นข่าวว่ามีส่วนพัวพันกับคดีรถหรูที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เมื่อนายวิจารณ์ได้ปรึกษากับทนายความแล้วจึงประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าว
สำหรับกรณีรถหรูหลายคันที่อยู่ในขบวนของหลวงปู่เณรคำ เวลาเดินทางไปที่ต่างๆ นั้นก็ไม่ใช่รถของหลวงปู่เณรคำ แต่เป็นรถของนายศุภราช ที่ต้องการนำมาโปรโมตโดยอาศัยความมีชื่อเสียงและความเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อหลวงปู่เณรคำ นอกจากนี้ยังใช้รับญาติโยมเพื่ออาศัยเดินทางไปกับขบวนด้วย ส่วนรถที่หลวงปู่เณรคำมีไว้ใช้งานจริงๆ นั้นมีอยู่เพียง 2 คันเท่านั้น ในส่วนของรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าคันนี้ใช้งานมา 4-5 ปีแล้ว นายศุภราชกลับมานำรถไปทั้งที่ได้จ่ายเงินซื้อแล้ว ทางนายวิจารณ์ได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี แต่ญาติมีความประสงค์ที่จะเข้าแจ้งความที่ บก.ป.ด้วย เพราะเชื่อมั่นว่ามีความเป็นกลาง และสามารถให้ความเป็นธรรมในคดีได้”
เมื่อทั้งสองฝ่ายแฉกันไม่ยั้ง คงต้องว่ากันอีกยาวสำหรับเครือข่ายสมีคำโฮลดิ้งที่แตกคอกันอย่างหนักในเวลานี้
และที่แสบที่สุดก็คือ การที่สมีคำเหิมเกริมสร้างตราสัญลักษณ์ประจำตัวของตนเองด้วยการใช้ฉัตร 3 ชั้น เพราะฉัตร 3 ชั้นนั้นได้รับการยืนยันจากพระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชแล้วว่าเป็นสัญลักษณ์ระดับสมเด็จพระสังฆราชและพระราชวงศ์ระดับพระองค์เจ้า โดยปรากฏหลักฐานชัดเจนอยู่บริเวณผ้าทิพย์ซึ่งพาดอยู่ตรงฐานขององค์พระแก้วมรกตจำลอง
เช่นเดียวกับกรณีดอกไม้พระราชทานที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
งานนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ภายใต้การนำทัพของ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” คงต้องกัดไม่ปล่อยเช่นกัน เพราะไหนๆ ละทิ้งงานทางโลกและหันมาทางธรรมโดยทุ่มสุดตัวจนหลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “รับงาน” เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความฉาวโฉ่และความเน่าเฟะของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรหรือไม่ ก็ต้องเดินหน้าให้ “สุดซอย” ไม่เช่นนั้นถ้าแพ้ให้กับสมีคำแล้ว ก็คงไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปมุดอยู่ที่ไหนเป็นแน่แท้
(....แต่คงไม่ใช่ชวาลาของชอบกระมัง)