ดีเอสไอนัดกองปราบฯ ขอเอกสารหลักฐานคดี “ไอ้คำ” เพื่อดำเนินการต่อ เผยพบหลักฐานเด็ด “วิรพล” เกี่ยวข้องกับการแอบอ้างเครื่องราชฯ ด้าน พศ.ระบุ “เณรคำ” อาบัติปาราชิกแล้ว ทางโลกดำเนินคดีอาญาได้เลย
ผู้สื่อข่าวารายงานว่า หลังศาลอาญา อนุมัติออกหมายจับ นายวิรพล สุขผล หรือ อดีตเณรคำ ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในความผิด 3 ข้อหา คือ ฉ้อโกงประชาชน กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งไม่ใช่ภรรยาตน โดยปราศจากเหตุอันควรในการพรากผู้เยาว์ไปจากบิดามารดา ผู้ปกครอง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ตามมาตรา 14 ศาลรับคำร้องไว้พิจารณา โดยได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศให้ยกเลิกหนังสือเดินทาง และให้ประสานสหรัฐอเมริกาถอนวีซ่าเข้าประเทศ ขณะเดียวกันยังได้ตรวจสอบพบทรัพย์สินรถยนต์ของนายวิรพลเพิ่มเติมอีก 20 คันมูลค่า 29 ล้านบาท
ล่าสุด พ.ต.ท.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินการกับนายวิรพลว่า วันนี้ (19 ก.ค.) เวลา 10.00 น. ดีเอสไอจะมาขอรับสำนวนการสอบสวนทั้งหมดที่กองปราบปรามได้รวบรวมไว้เพื่อนำไปดำเนินการต่อ ทั้งคดีทางการเงิน คดีฉ้อโกง และที่สำคัญมีหลักฐานใหม่ที่เป็นทีเด็ดที่นายวิรพล หรือเณรคำ แอบอ้างเรื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ด้วย
ส่วนทองคำจำนวน 8 ตัน ที่เป็นข่าวว่านายวิรพลมีในครอบครองนั้น กองปราบปรามก็ติดตามอยู่เช่นกัน ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลที่เชื่อได้ว่ามีทองจำนวนมาก แต่อาจจะไม่ถึงจำนวนดังกล่าว
สำหรับการดำเนินการถอนหนังสือเดินทาง และขึ้นแบล็กลิสต์ต่อนายวิรพล สุขผลนั้น แม้เรื่องนี้ดีเอสไอเป็นผู้ดำเนินการ แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็น่าจะเกี่ยวข้อง เพราะมีหน่วยงานต่างประเทศ
ด้านนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหมายจับนายวิรพล หรือเณรคำ แต่ได้ประสานข้อมูล เรื่องทางพระธรรมวินัย ยังประสานคณะสงฆ์ดำเนินการต่อ เพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องสืบข้อเท็จจริง หาพยานหลักฐาน รวมทั้งการดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้รู้เห็นเป็นใจ สุดท้ายจะบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ปัญหาเหล่านี้ลดลง หรือแก้ไขทันท่วงที
นายนพรัตน์กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าอดีตพระเณรคำถือว่าอาบัติปาราชิกแล้ว สามารถดำเนินการในทางโลกได้เต็มที่ รวมทั้งการดำเนินคดีอาญา ทั้งนี้ทาง พศ.ก็ทำหนังสือไปยังกระทรวงการต่างประเทศแล้วว่าให้ถอนหนังสือเดินทาง นอกเหนือจากทางดีเอสไอที่ได้ทำเรื่องไปก่อนหน้า ซึ่งเดินหน้าในการติดตามตัวมาดำเนินคดี ทั้งนี้ ยืนยันว่าไม่ได้มีการประสานสมัชชาสงฆ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะนายวิรพลไม่ได้เป็นพระธรรมทูต โดยเดินทางไปเอง และกฎหมายพระไทยครอบคลุมไปไม่ถึง
