ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ชาตินี้คงจะเป็นชาติสุดท้ายของ “นายวิรพล สุขผล” หรือ “พระอาจารย์วิรพล ฉัตติโก” หรือ “หลวงปู่เณรคำ” จริงๆ แต่จะเป็นชาติสุดท้ายได้ไป “นิพพาน” โดยไม่ต้องกลับมาเกิดอีก หรือเวียนว่ายตายเกิดไปอีกสักชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่มีใครทราบได้
แต่ที่แน่ๆ คือชาตินี้สิ่งที่พุทธศาสนิกชนคนไทยได้เห็นก็คือ ตกเป็นข่าวอื้อฉาวเกินกว่าที่จะรับได้ ทั้งเรื่องมีเมีย 8 คน มีลูกชาย 2 คน มีรถยนต์หรูหลายคัน พร้อมเครื่องบินส่วนตัว สร้างบ้านราคาหลายสิบล้านบาทให้พ่อแม่ เมีย และลูกอยู่ รวมทั้งการอวดอุตริเป็น “พระอริยะสงฆ์” ต้มตุ๋นสร้างศรัทธา จนเวลานี้ต้องกบดานซุกหัวอยู่ในต่างประเทศราวกับสัมภเวสี ซึ่งไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ถึงจะได้กลับมาประเทศไทย
กระนั้นก็ดี กว่าที่จะมีวันนี้ได้ต้องบอกว่า ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเพื่ออุปโลกน์สร้างความดังมาอย่างต่อเนื่องจนมีเงินมีทอง มีอำนาจบารมีในระดับที่ไม่ธรรมดา แถมเมื่อเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ปรากฏออกมาไม่เว้นแต่ละวัน กลับไม่มีใครทำอะไรพระรูปนี้ได้ จนหลายคนสงสัยว่า งานนี้เกิดอะไรขึ้นกับวงการสงฆ์ไทย โดยเฉพาะบรรดาเจ้าคณะผู้ปกครองโดยตรงของหลวงปู่เณรคำที่ปัดกันไปปัดกันมา รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ปฏิบัติการอย่างเชื่องช้า จนหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า หลวงปู่เณรคำมี “แบ็ก” ที่ยิ่งใหญ่กว่าสังคมคาดคิด
ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการปรากฏภาพหลวงปู่เณรคำแจกรถยนต์ป้ายแดงให้กับพระชั้นผู้ใหญ่ในภาคอีสานหลายต่อหลายคันด้วยกันหรือไม่นั้น สังคมจะต้องช่วยกันแสวงหาคำตอบ
**ชำแหละทีมสร้างภาพ ปั้นเณรคำเป็น “อริยะ”
อดีตลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดและเคยทำงานอยู่กับหลวงปู่เณรคำ หรือพระวิรพล ฉัตติโก ประธานสง์วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ มานานหลายปี ซึ่งรู้อุปนิสัยใจคอหลวงปู่เณรคำ เป็นอย่างดีรายหนึ่ง ยอมเปิดเผยกับทีมข่าวพิเศษ "ASTVผู้จัดการ" ที่ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ และพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อควานหาความจริงมาตอบปัญหาของสังคมในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ถึงกลยุทธ์ลวงโลก อวดอ้างตนเรียกแรงศรัทธาจากญาติโยมสาธุชนจนเป็นที่รู้จักและมีคนแห่กันไปทำบุญถวายเงินให้แก่หลวงปู่เณรคำ จนร่ำรวย มีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารเกือบ 20 บัญชี มีทั้งรถยนต์หรู มีเครื่องบินใช้ บ้านพักในต่างประเทศ รวมทั้งมีเมียถึง 8 คนว่า ที่หลวงปู่เณรคำ มีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ มีญาติโยมศรัทธาเสื่อมใสมากมาย ซื้อรถยนต์หรู ถวายเงินให้แต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก ก็เพราะแผนการโปรโมต และการประชาสัมพันธ์สร้างภาพตบตาญาติโยมทั้งสิ้น โดยมีทีมกองงานประชาสัมพันธ์ของวัดป่าขันติธรรม เป็นผู้ดำเนินการ มีการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
เริ่มจากการพิมพ์คำเทศนาอวดอ้างตนของหลวงปู่เณรคำ ลงในหนังสือ “ชาติหน้าไม่ขอมาเกิด” และ “นิพพานมีจริง” ซึ่งมีการเรียบเรียงครั้งแรกโดย “เพชรน้ำหนึ่ง” ออกมาวางจำหน่ายควบคู่ไปกับการทำงานของทีมกองงานประชาสัมพันธ์ ที่คอยสร้างเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาประกอบเพื่อสร้างภาพพจน์ให้แก่หลวงปู่เณรคำ
พอหนังสือขายดีก็ได้มีการนำมาพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง และมีการพล็อต เรื่อง แต่งเนื้อหาเพิ่มเติมเข้าไปอีกเพื่อให้ได้เนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ในการสร้างภาพอุปโลกน์หลวงปู่เณรคำ ขึ้นมาให้ดูเหมือนว่าเป็นพระอริยะโดยเนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือทั้ง 2 เล่มตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกและพิมพ์ต่อๆ กันมามาอีกหลายเล่มจะกล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับอภินิหาร และการอวดอ้างตนของหลวงปู่เณรคำ ทั้งสิ้น จนสร้างชื่อเสียงให้กับหลวงปู่เณรคำ โด่งดังขึ้นมา
เช่น มีการแอบอ้างว่า หลวงปู่เณรคำ ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ได้บิณฑบาตด้วยกับพระพุทธเจ้า มีเทพ เทวดามานั่งฟังหลวงปู่เณรคำเทศน์เกือบทุกวัน หากใครได้อ่านแล้วเป็นต้องเคลิ้ม หลงเชื่อว่าเป็นจริงทุกประการ
หนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ถือได้ว่าเป็นตัวชูโรง เรียกศรัทธาจากญาติโยม ทำให้มีคนรู้จักหลวงปู่เณรคำ มากขึ้นตามลำดับ และมีคนสนใจหาอ่านกันมากจนกลายเป็นหนังสือที่มียอดขายดีที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหมดของหลวงปู่เณรคำ ที่พิมพ์ออกมาจนมีการนำไปพิมพ์เผยแพร่ต่อๆ กันอย่างแพร่หลาย รวมทั้งมีการผลิตคำเทศนาอวดอ้างของหลวงปู่เณรคำ ลงในแผ่นซีดีวางจำหน่าย และแจกจ่ายอย่างแพร่หลายด้วย
นอกจากนี้ หลวงปู่เณรคำ ยังเป็นคนที่พูดจาอ่อนหวาน ไพเราะ นุ่มนวล หากใครได้ฟังก็จะเกิดความหลงใหล เกิดความศรัทธา ซึ่งขัดกับวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ ที่ปฏิบัติอยู่ทุกวันอย่างมาก
รวมทั้งเวลาที่ไปเทศน์ ในสถานที่ต่างๆ หลวงปู่เณรคำ ก็มักจะเทศน์อวดอ้างตนอยู่เสมอว่า เช่น อ้างว่า “เวลานั่งสมาธิแล้วเห็นเทวดา มีเทวดามานั่งฟังเทศน์ สามารถพูดคุยสื่อสารกับเทวดาได้ และในครั้งพุทธกาลตนกับเพื่อนรวม 400 คนเคยเกิดเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า โดยเพื่อนของทุกคนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้ไปนิพพานกันหมด เหลือเพียงแต่ตนคนเดียว ที่ยังไม่สำเร็จ จึงได้รับคำสั่งให้มาเกิดในชาตินี้ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายเพื่อให้มาพาญาติโยมไปสู่นิพพาน”
ส่วนการสร้าง “พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก” ภายในบริเวณวัดป่าขันติธรรมนั้น หลวงปู่เณรคำ อ้างกับญาติโยมว่า “เพราะได้พบและพูดคุยกับท้าวสักกะเทวราชและได้รับคำสั่งจากท้าวสักกะเทวราชให้มาสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อให้ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายได้ร่วมกันทำบุญครั้งใหญ่เพื่อจะได้สู่นิพพานในชาตินี้พร้อมกัน”
นอกจากนี้ ยังเทศนาชักชวนให้ญาติโยมร่วมกันบริจาคทองคำ โดยอ้างถึงวัตถุประสงค์การรับบริจาคทองคำจากญาติโยมว่า “ได้พูดคุยกับพระอินทร์ และท้าวสุริยามรรคผู้เป็นมหาราชจอมเทวดาที่สถิตอยู่ในสุคติภูมิโลกสวรรค์ชั้นยามา เกี่ยวกับรูปแบบการสร้างวิหารครอบองค์พระแก้วมรกต รวมไปถึงการอ้างถึงวิมานที่วิจิตรพิสดารงดงามมาก โดยหลวงปู่เณรคำ บอกว่าเป็นที่เคยมาเสวยทิพยสมบัติในชาติก่อนนี้”
แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือ “ดร.สนอง วรอุไร” ซึ่งผู้ที่ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ “หลวงปู่พุทธอิสระ” แห่งวัดอ้อน้อย(ธรรมะอิสระ) จังหวัดนครปฐม
หลวงปู่พุทธอิสระระบุชัดเจนว่า “สิ่งเหล่านี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าหากไม่มีขบวนการปั้นอรหันต์ ที่กระทำโดย ดร.สนอง วรอุไร และพวก ซึ่งพวกเขามีการแสร้งเข้ามาพยายามเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมพระศาสนาด้วยการเผยแผ่บรรยายธรรมแก่บุคคลทั่วไปในสถานที่ต่างๆ เริ่มต้นจากการไปตีสนิทกับพระผู้มีชื่อเสียง ให้เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของศิษย์ยานุศิษย์ของพระดังนั้น แล้วก็ผันตัวเองเป็นผู้รู้ธรรม จนเป็นที่ยอมรับของบุคคลรอบข้างพระองค์นั้นๆ แม้แต่ฉันเองเขาก็เคยเทียวไปเทียวมาอยู่หลายครั้ง เมื่อสร้างความคุ้นเคยเชื่อมั่นได้แล้ว ก็พยายามพูดอวดตนว่าเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน คนผู้นี้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่แห่งใด ก็จะพยายามพูดกรอกหูผู้อื่นว่า ตนเป็นผู้บรรลุธรรม และเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้มีญาณทัสสนวิสุทธิ เมื่อเห็นว่ามีผู้ศรัทธาได้ที่ก็พยายามยกบุคคลผู้หนึ่งขึ้นเป็นผู้วิเศษ ดั่งคำโปรโมตของพระโสดาบัน และแล้วก็ถึงเวลานำตัวละครสำคัญออกมาเปิดตัว พร้อมกับโต้โผนำอรหันต์ไปโปรโมตออกเดินสาย สร้างความหลงเชื่อในจังหวัดต่างๆ และ ดร.สนอง กับพวกจะได้อะไรในช่วงนั้นก็ไม่อาจคาดเดา แต่รู้แน่นอนว่าตอนจบจะได้ขึ้นศาล”
**สร้างภาพซื้อเบนซ์-เช่า ฮ.-มีรถนำขบวน
การสร้างภาพของหลวงปู่เณรคำ ไม่ได้หยุดแค่การอวดอ้างตนเท่านั้น แต่มีขึ้นทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มพลังศรัทธาให้ดูเข้มขลังมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเดินทาง ไม่ว่าจะไหนทั่วราชอาณาจักรไทยก็จะมีรถตำรวจทางหลวงนำขบวนอย่างยิ่งใหญ่ไม่แตกต่างไปจากขบวนของบุคคลสำคัญในประเทศ โดยจะมีการนำตราประจำองค์หลวงปู่เณรคำ ไปติดไว้ที่ประตูผู้โดยสารข้างรถด้านหลัง ส่วนตรงกันชนด้านหน้าก็จะติดเสาสัญลักษณ์ขององค์หลวงปู่เณรคำ เพื่อทำให้เหมือนรถขบวนบุคคลสำคัญ เพื่อให้ญาติโยมหลงเชื้อ และเข้าใจว่า “ตนเองนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญในประเทศไทย” โดยมีรถในขบวนในแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 15 คัน และมีรถตำรวจเขตทางหลวงวิ่งนำขบวนปิดหัวท้ายขบวนร่วม 4 คันทุกครั้ง โดยมีศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งที่เป็น “ตำรวจ” เป็นผู้ดำเนินการให้ทั้งหมด
โดยรถนำขบวนดังกล่าว เป็นรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า แอคคอร์ด สีน้ำตาล หมายเลข 0019 ทะเบียน กธ 665 กทม.โดยในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ที่หลวงปู่เณรคำ บริจาคให้แก่ตำรวจทางหลวง 3 คัน แต่กลับมีการนำมาใช้ในกิจการของตัวเอง สร้างภาพให้กับตัวเอง วิ่งทั่วราชอาณาจักรไทย จนเกิดเหตุการณ์เกือบจะชนกับรถขบวนจริงของบุคคลสำคัญมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยผู้ที่ขับรถในขบวนทั้งหมดจะเป็นตำรวจทางหลวงนอกราชการ แต่งเครื่องแบบตำรวจทางหลวงเต็มยศ พกอาวุธปืน โดยไม่มีพลเรือนขับแม้แต่คันเดียว
ส่วน “เฮลิคอปเตอร์” ที่บินไปจอดบริเวณลานวัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ตกเป็นภาพข่าวอื้อฉาวก่อนหน้านี้นั้น ก็เป็นการสร้างภาพโดยตัวของหลวงปู่เณรคำเช่นเดียวกัน โดยทุกครั้งที่เดินทางไปที่วัดป่าขันติธรรม หลวงปู่เณรคำ จะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ทุกครั้ง ซึ่งการทำอย่างนี้ก็เพื่อสร้างภาพให้ญาติโยมได้เห็นว่า ตนเองนั้นเป็นผู้มีบารมี และเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวก็เป็นของหลวงปู่ ที่ซื้อมาเอง
แต่แท้ที่จริงแล้ว เฮลิคอปเตอร์ลำนี้ไปเช่ามาแล้วให้บริษัทที่ให้เช่าช่วยนำเอาตราสัญลักษณ์ประจำองค์หลวงปู่เณรคำ ไปติดไว้เพื่อสร้างภาพให้ญาติโยมเห็นว่า เป็นของส่วนตัว
นอกจากนี้ ยังมีการปั้นน้ำเป็นตัวโดยอ้างว่ามีผู้บริจาครถยนต์หรู ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ จำนวน 1 คัน มูลค่า 20 ล้านบาทให้ แต่แท้ที่จริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าว หลวงปู่เณรคำ เป็นผู้ไปดาวน์มาเองทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพให้ญาติโยมดูว่า มีคนมาบริจาคถวายรถให้เพื่อเรียกแรงศรัทธาให้มากขึ้น
ส่วน “เครื่องบินเจ็ต” นั้นก็เช่ามาเช่นกัน เพื่อรองรับญาติโยมระดับวีไอพี ที่จะขนเงินมาถวายให้เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นโยมชาวต่างประเทศ เช่น มิสเตอร์อู๋ นักธุรกิจชาวมาเลเชีย และ ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์ เจ้าของบริษัทดอกบัวคู่ แต่สำหรับมิสเตอร์อู๋ นั้น มีความศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ อย่างมาก ถวายเงินให้แต่ละครั้งมากถึง 30 - 50 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้จึงมีการเช่าเครื่องบินเจ็ตไว้รองรับเพราะจัดเป็น “คุณโยมระดับวีไอพี”
สำหรับมิสเตอร์อู๋ ที่มีความศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ มีสาเหตุมาจากภรรยาของเขาป่วยเป็นโรคร้ายแรงและมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โดยหลวงปู่เณรคำ บอกว่าจะช่วยเหลือเพราะมีญาณวิเศษ มีอิทธิฤทธิ์ จนอาการของภรรยามิสเตอร์อู๋ ดีขึ้น หลังจากนั้นนักธุรกิจชาวมาเลเซียคนนี้ก็เกิดความศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ และถวายเงินให้ในแต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก จนทำให้สาธุชนและญาติโยมทั้งหลายที่ทราบข่าวต่างเกิดความเชื่อและศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำ มากขึ้นตามลำดับ
ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตว่าญาติโยมศิษย์เอกใกล้ชิดหลวงปู่เณรคำ นั้นส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนพื้นที่ โดยมากจะอยู่กรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ ภูมิภาคอื่น เช่น ดร.สุนันทา ลีเลิศพันธ์ เจ้าของบริษัทดอกบัวคู่, หม่ำ จ๊กมก และเป็ด เชิญยิ้ม ฯลฯ โดยเฉพาะเจ้าของดอกบัวคู่นั้นถือเป็นโยมอุปัฏฐากรายใหญ่ รถยนต์ยี่ห้อดังซื้อมาถวายก็หลายคันแล้ว
**ทีมกองงาน ปชส.ช่วยปั้นเรื่อง-ดูดทรัพย์
นอกจากการสร้างภาพเทศนาอวดอ้างตนเองว่าเป็นผู้รู้ ผู้เห็น ได้พูดคุยกับเหล่าเทพ เทวดา จนทำให้สาธุชนเกิดความหลงใหล และศรัทธาจนควักเงินถวายให้แก่หลวงปู่เณรคำ อย่างมหาศาลแล้ว “ทีมกองงานประชาสัมพันธ์ของวัดป่าขันติธรรม” ที่มีมืออาชีพเข้ามารับหน้าที่ก็มีความสำคัญต่อความโด่งดังและเพิ่มความศรัทธาให้แก่ตัวหลวงปู่เณรคำ มากยิ่งขึ้นด้วย
โดยทีมกองงานประชาสัมพันธ์นี้จะทำหน้าที่ทุกอย่างในการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่หลวงปู่เณรคำ รวมทั้งประสานงานกับสื่อต่างๆ ทั้งในท้องถิ่น ส่วนกลาง ร่วมทั้งสื่อออนไลน์ โซเชียลเน็ตเวิร์ก ตลอดจนการปล่อยคลิปคำเทศนาชวนเชื่อผ่านเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อเสริม “บารมีจอมปลอม” ความเป็น “พระอริยสงฆ์เทียม” ให้แก่หลวงปู่เณรคำ อาจเรียกได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่สามารถปั้นเรื่อง สร้างความเชื่อถือ เรียกแรงศรัทธาจากญาติโยม เพื่อให้มีสมาชิกมีญาติธรรมเพิ่มมากขึ้นเท่าไรแล้วมีเงินหลังไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นให้ถือเป็นหน้าที่ของทีมกองงานประชาสัมพันธ์นี้ไป
จากการตรวจสอบบัญชีรายชื่อญาติธรรมจากทะเบียนรายชื่อที่ทางวัดป่าขันติธรรม จัดทำไว้ พบว่ามีอยู่ทั่วประเทศไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย บุคคล “ตระกูลดัง-ตระกูลใหญ่” ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสังคมก็มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนญาติธรรมนี้ด้วย ซึ่งแต่ละรายนั้นจะมีการถวายเงินในแต่ละครั้งเป็นจำนวนหลักแสนขึ้น
รวมทั้งมีการประชาสัมพันธ์สร้างภาพให้แก่หลวงปู่เณรคำ เพื่อญาติโยมเกิดความหลงเชื่อ และศรัทธาในตัวหลวงปู่เณรคำว่าเป็นผู้มีบารมีเป็นพระอริยสงฆ์" จึงมีญาติโยมมาร่วมทำบุญกันเป็นจำนวนมาก เช่น มีการอุปโลกน์ปรับแต่งตัวเลขยอดทอดผ้าป่าสามัคคีจาก 2 ล้านบาทเป็น 10 ล้านบาท หรือยอดทอดกฐินในแต่ละครั้งจาก 10 ล้านบาทแต่งตัวเลขเป็น 100 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้คนหลงเชื่อในบุญบารมีของหลวงปู่เณรคำ
**ตบตาเรียกศรัทธาผุดวัดกว่า 200 สาขา
เช่นเดียวกับการสร้างวัดสาขา หรือสำนักสงฆ์สาขาวัดป่าขันติธรรม ซึ่งมีการอุปโลกน์ตัวเลขขึ้นมาเช่นกัน จนมีการเข้าใจว่าหลวงปู่เณรคำ มีบารมี สามารถสร้างวัดสาขาได้มากกว่า 200 สาขา แต่ความจริงมีเพียงไม่กี่สาขา โดยแต่ละสาขาจะใช้ชื่อว่า “วัดป่าขันติบารมีสาขาที่... หรือสำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่...”
ทั้งนี้ เป็นเพราะด้วยความชาญฉลาดของหลวงปู่เณรคำ และทีมงานจึงได้มีการสร้างรหัสสาขาขึ้นมาโดยใช้เลข “10” เป็นรหัสนำหน้าสาขาภาคกลาง เช่น สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 101 บ้านเขาคีรี ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี หรือใช้เลข “20” เป็นหัวนำหน้าสาขาภาคตะวันออก เช่น สำนักสงฆ์ขันติบารมีสาขาที่ 201 บ้านแสนสุข ต.ทุ่งมหาเจริญ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว เป็นต้น
ทั้งนี้ เพื่อสร้างภาพตบตาญาติโยมให้เข้าใจว่า สาขาของวัดนี้มีมากกว่า 200 สาขาเพื่อจะได้ดึงดูดแรงศรัทธาจากญาติโยมนักแสวงบุญทั้งหลายให้เข้าไปร่วมถวายเงินกันมากๆ
ส่วนภาคอีสาน และภาคเหนือ จะไม่มีรหัส โดยสาขาที่ 1 อยู่ที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี สาขาที่ 2 อยู่ที่บ้านตาเส็ด ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ และสาขาที่ 89 อยู่ที่ อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ซึ่งขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่ นอกจากนั้นยังไม่ใครยืนยันได้ว่าสาขาที่เหลือนั้นอยู่ในพื้นที่ ตำบล อำเภอ และจังหวัดใด
**อีกทีมคอยเคลียร์เรื่องฉาวโฉ่-ใช้เงินปิด
นอกจากการสร้างภาพแต่งแต้มประวัติหลวงปู่เณรคำ ให้ดูดีจนกลายเป็น พระอริยะได้ในพริบตาแล้ว ทีมกองงานประชาสัมพันธ์นี้ยังมีหน้าที่คอยเข้าไปเคลียร์ปัญหาต่างๆ ที่อาจจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ไปในทางเสื่อมเสียเสื่อมศรัทธาของหลวงปู่เณรคำ ด้วย โดยจะเข้าไปเคลียร์ทันทีที่ปัญหาเกิด ซึ่งการเคลียร์ปัญหาทุกครั้งทุกเรื่องก็มักจะจบลงด้วย “เงิน” ทั้งสิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องฉาว เน่าเหม็นของหลวงปู่ ถูกเผยแพร่ออกไปสู่สายตาบรรดาลูกศิษย์ทั้งเก่า ใหม่ และที่กำลังจะถูกหลอกให้มาเป็นลูกศิษย์ หรือเหยื่อรายต่อไป
แต่ถ้าเป็นปัญหาร้ายแรงเกินความสามารถที่ทีมกองงานประชาสัมพันธ์นี้ไม่สามารถเข้าไปเคลียร์ได้ ก็จะมีอีกทีมงานหนึ่งเข้ามาเสริมเพื่อช่วยทีมกองงานประชาสัมพันธ์ในการเข้าไปเคลียร์ปัญหาทั้งหมดจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้งนี้ ก็เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เรื่องราวบานปลายขยายวงกว้างออกไปนั่นเอง
โดยทีมนี้จะใช้ทั้งอำนาจ และอิทธิพลของตนเองที่มีอยู่เข้าไปเคลียร์ เข้าไปแก้ เข้าไปจัดการตามความถนัด แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยเงินเช่นเดียวกัน เช่น เมื่อประมาณปี 2545 “ปู่” ไปเปิดที่พักสงฆ์อยู่บริเวณริมห้วยสำราญ ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ได้รู้จักกับสาวสวยบ้านโนนจานวัย 25 ปี ที่นำเอาข้าวไปถวายมีนามย่อว่า “ญ” จนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง กระทั่งมีพยานรักออกมา 1 คนเป็นชายตั้งชื่อว่า “น้อง น.” โดย “ปู่”ได้ส่งเสียเงินค่าเลี้ยงดูให้เดือนละ 20,000 บาทโดยมีหมวด “ก” นายตำรวจทางหลวงในจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้รับผิดชอบส่งเงินให้ สำหรับสาว “ญ” ขณะนี้มีสามีใหม่แล้ว
กรณีนี้เคยเกิดปัญหาฝ่ายหญิงเรียกร้องเงินค่าเลี้ยงดูเพิ่ม แต่ “ปู่” ไม่ยอมให้ ฝ่ายหญิงจึงขู่จะเปิดโปงจึงถูก “ปู่” และพวกข่มขู่ฆ่า ฝ่ายหญิงต้องหนีตายไปหาพี่ชายซึ่งเป็นตำรวจอยู่ที่ กทม.ก่อนพาเข้าแจ้งความที่กองปราบปรามเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2553 เพราะหวาดผวาไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทั้งตัวเองและครอบครัว
ต่อมากองปราบปรามได้มีหนังสือ ที่ ตช 0026.22/4348 กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม ถนนพหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2553 เรื่อง ขอเชิญให้มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง ส่งถึงพระดังที่วัด อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เรียกให้ไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 20 ธันวาคม 2553 จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา
งานนี้ “ปู่” และทีมงานนักปั้นต้องใช้อิทธิพลบารมีและลูกศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเข้าเคลียร์ให้เรื่องเงียบหายเข้ากลีบเมฆโดยได้จ่ายให้ “ญ” 1 ล้านบาทแลกกับการถอนแจ้งความ ส่วนตำรวจโกยกันไปกี่มากน้อยไม่มีใครสามารถระบุได้ชัดเจน
ขณะที่ภาพลักษณ์ของหลวงปู่ ยังคงดูดีตลอดและยังเป็น “อริยะ” ในสายตาของสาธุชนญาติโยมผู้มีศรัทธาแต่เบาปัญญา ทุ่มเทควักเงินถวายให้อย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะไปเทศนาที่ไหนผู้คนจะต้องหลั่งไหลเข้าแถวเรียงรายควักเงินถวายไม่หยุด ใครมีสร้อยคอทองคำ แหวนเพชรก็จะถอดให้หมด จนบางครั้งลูกศิษย์ต้องเอากระสอบใส่เงินขนกลับวัดกันเลยทีเดียว แล้วให้เจ้าหน้าที่ธนาคารเอารถมาขนเงินไปเข้าบัญชีของตัวเอง
**เปิดสาแหรก “สายอุ้ม” ไขปริศนาทำไมเจ้าคณะผู้ปกครองนิ่งเฉย
คำถามสุดท้ายและเป็นคำถามที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ทำไมเมื่อเกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ของหลวงปู่เณรคำปรากฏออกมาไม่เว้นแต่ละวัน กลับไม่มีใครทำอะไรพระรูปนี้ได้ จนหลายคนสงสัยว่า งานนี้เกิดอะไรขึ้นกับวงการสงฆ์ไทย โดยเฉพาะบรรดาเจ้าคณะผู้ปกครองโดยตรงของหลวงปู่เณรคำที่ปัดกันไปปัดกันมา รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ปฏิบัติการอย่างเชื่องช้า จนหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า หลวงปู่เณรคำมี “แบ็ก” ที่ยิ่งใหญ่กว่าสังคมคาดคิดหรือไม่
ที่สำคัญคือยังปรากฏภาพหลวงปู่เณรคำมอบรถยนต์ให้กับพระชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายองค์ด้วยกัน
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า “พระ” ที่ใกล้ชิดกับหลวงปู่เณรคำ รวมถึงเป็นเจ้าคณะผู้ปกครองนั้น มีอยู่หลายรูปด้วยกัน
พระรูปแรกที่ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่เณรคำคุ้นเคยกันดีก็คือ หลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก แห่งวัดป่าดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตามประวัติหลวงปู่เณรคำระบุเอาไว้ว่า เคยมาจำพรรษาที่นี่และได้รับการอบรมธรรมะจากหลวงปู่สมบูรณ์อย่างนานัปการ
ทั้งนี้ ในเว็บไซต์ www.luangpunenkham.com ปรากฏภาพหลวงปู่สมบูรณ์อยู่เป็นจำนวนมาก แถมยังรับกิจนิมนต์โดยเป็นตัวแทนของหลวงปู่เณรคำอีกต่างหาก
ส่วนเมื่อไล่เรียงลำดับการปกครองของคณะสงฆ์ก็พบว่า มีข้อที่ชวนให้สงสัยหลายต่อหลายประการด้วยกัน ไล่ตั้งแต่เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เหมือนดังเช่นที่หลวงปู่พุทธะอิสระแห่งวัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) จังหวัดนครปฐมระบุเอาไว้ว่า
“เรียนท่าน คณะพระสังฆธิการ ผู้มีหน้าที่ดูแลปกครองคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษทราบ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล พวกท่านเป็นเจ้าคณะปกครอง ออกมาให้สัมภาษณ์กล่าวอ้างว่าเข้าไปที่สำนักนี้บ่อยๆ ท่านไม่รู้หรือว่าสำนักนี้มันเถื่อน แถมยังทำผิดเห็นๆ โดยขึ้นป้ายสำนักว่า วัดป่าขันติธรรม เพื่อหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเชื่อว่าเป็นวัด หรือพวกท่านก็รู้เห็นเป็นใจด้วยต่อการแสดงที่ทั้งเถื่อนแต่แสร้งทำถูก นี่เป็นความบกพร่องข้อที่ 1
พวกท่านเข้าๆ ออกๆ ในสำนักเถื่อนนี้เป็นประจำ พวกท่านไม่รู้หรือไงว่าเจ้าสำนักมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เวลาที่มีผู้ถูกถามท่านจึงโยนกันไปกันมาใครเป็นอุปัชฌาย์ ทั้งที่มันเป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน พวกท่านเป็นเจ้าคณะปกครองตามระเบียบคณะสงฆ์ วัดต่างๆในเขตปกครอง จะต้องทำบัญชีแจ้งยอดรายรับรายจ่ายประจำปีให้แก่เจ้าคณะปกครอง พวกท่านเข้าออกสำนักนี้มาเป็นสิบปี ทำไมไม่ทวงถามถึงบัญชีรายรับรายจ่ายที่ต้องส่งตามระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ นี่ถือว่าเป็นความบกพร่องข้อที่ 2
พวกท่านไม่เคยได้รู้ได้เห็น ได้ยิน ต่อพฤติกรรมที่จะละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ ตั้งแต่อาบัติอย่างหนัก อาบัติอย่างกลาง และอาบัติอย่างเบา ของเจ้าสำนักเถื่อนแห่งนี้เลยหรือ หรือว่าลาภสักการะมันปิดตาบังใจพวกท่าน จนทำให้พวกท่านหลงลืมคำสอนของพระบรมศาสดา ว่าภิกษุเมื่อรู้เห็นเพื่อภิกษุด้วยกันละเมิดวินัย จะด้วยเจตนาหรือไม่ ต้องกล่าวตักเตือนด้วยจิตที่หวังดีและเอ็นดู นี้เป็นข้อบกพร่องที่ 3”
สิ่งที่ต้องค้นหาต่อก็คือเจ้าคณะปกครองของหลวงปู่เณรคำเป็นใครบ้าง
ทั้งนี้ ต้องบอกว่ากรณีของหลวงปู่เณรคำนั้นถูกปล่อยปละละเลยมาเป็นเวลานานจนทำให้ในช่วงแรกเกิดความสับสนว่าต้นสังกัดของหลวงปู่เณรคำนั้นอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษหรือจังหวัดอุบลราชธานีกันแน่ แถมเจ้าคณะผู้ปกครองยังโยนกันไปโยนกันมาอีกต่างหาก
กล่าวคือพระราชธรรมโกศล เจ้าคณะธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดใต้องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ระบุว่า พระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ บวชที่วัดศรีนวล อ.พิบูลมังสาหาร จากนั้นได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านดอนธาตุ อำเภอเดียวกัน ก่อนจะออกจากวัดไปอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยตั้งใจจะไปสร้างวัด จึงมาขอเข้าสังกัดอยู่ที่วัดใต้องค์ตื้อเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อไปตั้งสำนักสงฆ์ขันติธรรมที่ อ.กันทรารมย์ได้ระยะหนึ่งก็มาขอย้ายสังกัดไปอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งไม่ทราบว่าหลวงปู่เณรคำได้แจ้งย้ายเข้าอยู่ในสังกัดของคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษหรือไม่ หากไม่แจ้งย้ายเข้าทางนิตินัยถือว่าสังกัดกับคณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานี แต่ทางพฤตินัยถือว่าสังกัดอยู่กับคณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษแล้ว เพราะตั้งแต่ขอย้ายออกไปไม่เคยติดต่อมาเลยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2552 หลวงปู่เณรคำถวายรถแด่พระราชธรรมโกศล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี
ขณะที่พระครูวิสุทธิญาณ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต ก็เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่า พระวิรพลเป็นพระที่มีต้นสังกัดอยู่ที่วัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ไม่ใช่พระสังกัดในคณะสงฆ์ศรีสะเกษ ดังนั้น การสอบสวนก็คงจะว่าไปตามพยานหลักฐาน โดยอาจส่งเรื่องการสอบสวนไปยังคณะสงฆ์ จ.อุบลราชธานี เนื่องจากพระวิรพลถือว่าผ่านเข้ามาอยู่ในเขตพื้นที่คณะสงฆ์ศรีสะเกษเป็นการชั่วคราว และยังไม่มีการย้ายสังกัดมาสังกัดคณะสงฆ์ศรีสะเกษแต่อย่างใด ซึ่งเกี่ยวกับการสอบสวนพระวิรพลนี้กำลังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีการหยุดการสอบสวนแต่อย่างใดพระครูวิสุทธิญาณ เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ ฝ่ายธรรมยุต
ขณะที่เจ้าคณะภาคก็คือ “พระธรรมฐิติญาณ” เจ้าอาวาสวัดบึงพลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 10 ธรรมยุต ซึ่งเป็นเจ้าคณะผู้ปกครองของหลวงปู่เณรคำโดยตรง และหากยังจำกันได้ หลวงปู่เณรคำได้เคยถวายรถเก๋งโตโยต้าคัมรี ป้ายแดง เลขทะเบียน ก-1945 อุบลราชธานีเอาไว้ใช้ และทางวัดเองก็ยอมรับว่าใช้รถคันนี้จนถึงปัจจุบัน
หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็เคยได้รับมอบรถตู้จากหลวงปู่เณรคำมาใช้จำนวน 1 คันเช่นกัน
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า การประชุมกรรมการบริหารคณะสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุต ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังเคยเกิดขึ้นที่วัดป่าขันติธรรม ของหลวงปู่เณรคำอีกต่างหาก
ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการทำให้คดีความของหลวงปู่เณรคำไม่คืบหน้าไปไหนหรือไม่นั้น ไม่มีใครทราบได้ เพราะก็อาจมีความเป็นไปได้ว่า การแจกรถยนต์เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการสร้างบารมีให้หลวงปู่เณรคำ
และนี่คือบทสรุปในตอนจบ “ชาติหน้าไม่ขอมาเกิดอีก” ของหลวงปู่เณรคำที่โด่งดังขึ้นมาได้ก็เพราะแผนโปรโมตที่วางไว้อย่างเป็นระบบเพื่อหวังดูดทรัพย์จากความเบาปัญญาของชาวพุทธที่มีแต่ศรัทธา แต่ไร้ปัญญาพิจารณาฉะนี้แล