ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-หลังจากตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลมีเดียมาได้ระยะหนึ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เข้าข่าย “โลกวัชชะ” และถ้าจะว่าไปแล้วบางพฤติกรรมถ้าเป็นไปตามนั้นจริงก็สุ่มเสี่ยงที่จะถึงขั้น “ปาราชิก” ในที่สุดเรื่องราวของพระเกจิชื่อดังแห่งภาคอีสาน จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วทั้งประเทศก็ปรากฏสู่สาธารณชนผ่านสื่อทั้งโทรทัศน์ วิทยุและหนังสือพิมพ์ไม่เว้นแต่ละวัน
แน่นอน พระเกจิชื่อดังที่ตกเป็นข่าวเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว สวมแว่นตาเรย์แบนด์และหิ้วกระเป๋าหลุยส์วิตตอง พร้อมด้วยภาพถ่ายที่ไม่เหมาะสมอีกเป็นกระบุงโกย เช่น ชูสองนิ้วทำหน้าแอ๊บแบ๊วในศูนย์การค้าชื่อดังในต่างประเทศ การโพสต์ท่าถ่ายรูปด้วยอากัปกิริยาไม่เหมาะสมคู่กับรถเบนซ์ป้ายทะเบียนต่างประเทศ ฯลฯ จะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” แห่งวัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ
เป็นหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก คนเดียวกับผู้เขียนหนังสือ “ชาติหน้าไม่ขอเกิด” และ “นิพพานมีจริง!”
กระนั้นก็ดี ถึงแม้ว่าพฤติกรรมและภาพทั้งหลายทั้งปวงที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ ทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่า ทำไมพระสงฆ์ที่มีอายุเพียงแค่ 34 ปีถึงได้รับการเรียกขานนำหน้าชื่อว่า “หลวงปู่” ทำไมพระสงฆ์ที่กล่าวอ้างว่า “มีสมาธิจิตสูงถึงระดับฌาน 8” ถึงได้มีข้าวของเครื่องใช้ราคาแพง รวมถึงเดินทางไปไหนมาไหนด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ราวกับเป็น “เซเลบริตี้” อย่างไรอย่างนั้น
ที่สำคัญที่สุดคือ หลวงปู่เณรคำ “มีดี” อะไรถึงได้มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั้งนักธุรกิจชื่อดัง นายทหารและนายตำรวจระดับสูง แถมยังมีตัวเลขเงินบริจาคที่สูงลิบลิ่วจนน่าตกใจ
**ที่มาแห่งความดัง ของหลวงปู่อายุ 34
ถ้าจะจัดอันดับพระที่ดังที่สุดในยุคนี้ พ.ศ.นี้ คงไม่มีใครปฏิเสธความดังของ “พระวิรพล ฉัตติโก” หรือ “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” แห่งวัดป่าขันติธรรม โดยวัดได้จากกิจนิมนต์ที่มีไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งจากภาคธุรกิจและหน่วยงานราชการ แถมในการนิมนต์หลวงปู่เณรคำไปในกิจการงานใดแต่ละครั้ง ยังมีระเบียบหรือข้อปฏิบัติที่วางเอาไว้อย่างเคร่งครัดถึง 22 ข้อด้วยกันคือ
1. เจ้าภาพต้องมานิมนต์ด้วยตัวเอง
2. ถ้าเป็นวัด เจ้าอาวาสพร้อมกรรมการวัดให้ทำฎีกานิมนต์ มายื่นถวาย และลงนามเจ้าอาวาสพร้อมด้วยคณะกรรมการวัดทุกท่าน
3. ถ้าเป็นองค์กรหรือสมาคมให้ทำฎีกานิมนต์มายื่นถวายและลงนามประธานองค์กร พร้อมด้วยคณะกรรมการทุกท่าน
4. แจ้งกำหนดการให้ชัดเจน เช่น วัน เวลา สถานที่ เบอร์โทรศัพท์
5. จัดทำแผนที่การเดินทางไปสู่บริเวณงานให้ชัดเจน
6. ถ้ามีการเลื่อนการจัดงานหรือขัดข้องให้แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน
7. เจ้าภาพหรือผู้ร่วมงานในพิธีต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย
8. เตรียมที่รับรองหลวงปู่ฯและคณะสงฆ์ให้สะอาดเรียบร้อย
9. เจ้าภาพต้องอำนวยความสะดวกแก่คณะที่ติดตามหลวงปู่
10. นิมนต์แล้วต้องติดตามประสานงานก่อนถึงวันงานอย่างต่อเนื่อง
11. ต้องทำฎีกานิมนต์มายื่นถวายก่อนล่วงหน้า
12. ห้ามนิมนต์ต่อจากงานหนึ่งไปอีกงานหนึ่งในวันนั้น
13. เจ้าภาพต้องเตรียมสถานที่จอดขบวนรถหลวงปู่ฯให้พอเพียง
14. ขณะขบวนรถหลวงปู่ฯเข้าสู่บริเวณงานต้องไม่มีพิธีกรรมใดๆ ทั้งสิ้น
15. เจ้าภาพต้องออกมายืนถวายการต้อนรับหลวงปู่ฯและคณะสงฆ์
16. ห้ามเจ้าภาพหรือผู้ร่วมงานเปิดปิดประตูรถของหลวงปู่ฯโดยเด็ดขาด
17. การปูผ้าให้หลวงปู่ฯเหยียบนั้นให้เป็นไปตามความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน อย่างแท้จริง ทั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่ฯและคณะสงฆ์โดยเด็ดขาด
18. ให้เจ้าภาพประกาศห้ามผู้มาร่วมงานนำเงิน,ทองคำ,หนังสือเครื่องมงคล มาวางไว้ระหว่างทางเพื่อให้หลวงปู่ฯและคณะสงฆ์เหยียบโดยเด็ดขาด
19. กรณีแสดงพระธรรมเทศนาต้องจัดที่นั่งให้คณะสงฆ์ติดตามหลวงปู่นั่งข้างธรรมาสน์
20. ก่อนเริ่มพิธีเจ้าภาพต้องแจ้งกำหนดการจัดงานให้หลวงปู่ฯทราบทุกขั้นตอน
21. ขณะที่หลวงปู่ฯประกอบพิธีอยู่ให้ปิดเครื่องมือสื่อสารและสัญญาณรบกวนทุกชนิด
22. พิธีเจิมและประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นขั้นตอนสุดท้าย หลวงปู่ฯเดินทางกลับวัด
นอกจากนี้ หลวงปู่เณรคำยังจัดได้ว่า เป็นพระที่มีสายสัมพันธ์ในระดับที่อาจใช้คำว่า 5 ดาวกับพระเถรานุเถระผู้ทรงสมณศักดิ์และตำแหน่งในทางปกครองของคณะสงฆ์ทั้งในระดับภาคและระดับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตรวจสอบจากเว็บไซต์ของทางวัดก็จะพบว่า หลวงปู่เณรคำมีกิจนิมนต์ที่ข้องเกี่ยวกับพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายรูป
ยกตัวอย่างเช่นมีการเผยแพร่รูปถ่ายหลวงปู่เณรคำได้ทำพิธีถวายรถเก๋งโตโยต้าคัมรี่ ป้ายแดง เลขทะเบียน ก-1945 อุบลราชธานี ให้พระพระธรรมฐิติญาณ เจ้าอาวาสวัดบึงพลาญชัย จ.ร้อยเอ็ด และเจ้าคณะภาค 10 ธรรมยุต ซึ่งเป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง และทางวัดเองก็ยอมรับว่าใช้สอยมาจนถึงปัจจุบันนี้
หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยก็เคยได้รับมอบรถตู้จากหลวงปู่เณรคำจำนวน 1 คันเอาไว้ใช้ด้วยเช่นกัน
แน่นอน ความโดดเด่นที่สุดที่ทุกคนต้องถามก็คือ ทำไมพระหนุ่มอายุแค่ 34 ปีถึงได้รับการเรียกขานว่าหลวงปู่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พระรูปนี้ดัง
เว็บไซต์ http://www.luangpunenkham.com/ ซึ่งเป็นเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของวัดป่าสันติธรรมและหลวงปู่เณรคำได้อธิบายเอาไว้ว่า “เมื่อครั้ง พระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ท่านไปจาริกธุดงค์อยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ พุทธศาสนิกชนพากันไปกราบคารวะนมัสการและได้มองเห็นองค์หลวงปู่ ซึ่งท่านนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในกลดบาง ๆ เป็นพระแก่ชรา แต่พอท่านเปิดกลดออกมาก็กลายเป็นเณรน้อยออกไปบิณฑบาต ขากลับจากบิณฑบาตพุทธศาสนิกชนบางคน ได้มองเห็นองค์หลวงปู่ท่านเป็นพระแก่ชรา อายุราว 80 ถึง 90 ปี ผมหงอก หลังค่อม เหี่ยวย่น หนังยาน บางคนฝันเห็นพระเดชพระคุณท่าน หลวงปู่เณรคำ ไปยืนอยู่บนหัวเตียงเดี๋ยวเป็นเณรน้อยอายุน้อย ๆ เดี๋ยวก็กลายเป็นพระที่แก่ชรามาก”
นั่นคือคำโฆษณาสรรพคุณที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทางวัดจงใจสร้างภาพความเป็นหลวงปู่ให้กับพระหนุ่มอายุแค่ 34 ปี
นอกจากนี้ ถ้าหากหยิบหนังสือที่เขียนโดยหลวงปู่เณรคำที่ชื่อ “ชาติหน้าไม่ขอเกิด” ก็ทำให้เข้าใจสาเหตุแห่งความโด่งดังของหลวงปู่เณรคำได้ชัดเจนขึ้นไปในอีกระดับหนึ่งเนื่องเพราะเกี่ยวกันกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
บางช่วงบางตอนของหนังสือเล่มดังกล่าวเขียนเอาไว้ว่า “คืนหนึ่งหลังจากทำสมาธิในท่าเดียวนานหลายชั่วโมง เด็กชายนึกอยากเปลี่ยนอิริยาบถ จึงลุกเดินออกจากกระท่อม โดยยังคงกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ กระทั่งมาถึงริมสระน้ำ เห็นแสงจันทร์สะท้อนผิวน้ำเหลืองอร่ามงามตาให้นึก อยากลงไปเดินเล่นในน้ำเป็นยิ่งนัก ในยามนั้นเด็กชายรู้สึกว่าธาตุทั้ง ๔ ในตัวย่อยสลายเหลือแต่ความบางเบา
“ทุกก้าวที่เดินไปตามผิวดินเหมือนฝ่าเท้าจะไม่แตะพื้น แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร กระทั่งย่ำไปถึงผิวน้ำเหยียบลงไปจึงพบเหตุอัศจรรย์เมื่อฝ่าเท้าไม่จมลงไปในน้ำ แต่สามารถเดินไปบนผิวน้ำได้ ….เหตุการณ์คราวนั้นทำให้วิรพลยิ่งมั่นใจว่า โลกที่เหมาะกับตัวเองคือ โลกแห่งธรรม ซึ่งเป็นหนทางนำไปสู่การดับขันธ์ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดในภพหน้าอีก”
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากลูกศิษย์ให้ข้อมูลด้วยว่า ในการเดินทางไปทำกิจนิมนต์หรือกิจกรรมต่างๆ หลวงปู่เณรคำมักจะหยิบยกเรื่องการเดินบนผิวน้ำมา แสดงเป็นประจำ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากประเด็นดังกล่าวแล้ว จากการตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่ยังพบว่า ความดังของหลวงปู่เณรคำยังมีที่มาจากเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลที่หลายคนบอกกันปากต่อปากว่านำไปใช้แล้วทำมาค้าคล่อง และที่ขาดเสียไม่ได้คือการสร้าง “พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายที่สำคัญให้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญกับหลวงปู่เณรคำ
หลวงปู่เณรคำได้อธิบายเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ท้าวสักกะเทวราช หรือมหาราชองค์อินทร์ จะเป็นผู้ช่วยดลบันดาลให้การก่อสร้างราบรื่น ให้แล้วเสร็จด้วยพลังใจ พลังจิตอันยิ่งใหญ่ ทั้งเทวดา มนุษย์มิตรทั้งหลาย และไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องทุนทรัพย์ เพราะจะมีคนนำมาถวายให้เอง หลังจากนั้นก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ในวันรุ่งขึ้นได้มีผู้ชายคนหนึ่งเดินทางมาหาพร้อมกับถวายถุงกระดาษสีน้ำตาลให้ และเมื่อก้มเปิดดูปรากฏว่าเป็นธนบัตรจำนวนมาก แต่เมื่อเงยหน้า จะ ถามผู้ชายคนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และ 2 วันต่อมาได้รับกิจนิมนต์ไปงานศพของญาติโยม และพบว่าเป็นงานศพของชายผู้นั้น จึงเกิดอัศจรรย์ใจขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเงินที่บรรจุภายในถุงกระดาษที่ได้รับมามีมากถึง 950,000 บาท จึงได้เริ่มที่จะก่อสร้างพระแก้วมรกตที่วัดป่าขันติธรรมทันที โดยตั้งปณิธานว่าจะสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งงบประมาณการก่อสร้างเฉพาะองค์พระแก้วมรกตกว่า 150 ล้านบาท”
**ไขปริศนาเจ็ตประจำองค์ ตำรวจทางหลวงนำขบวนทั่วประเทศ
“ได้เข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์ขันติธรรมตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่พระวิรพลมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ใหม่ๆ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ จากการที่ได้เข้าไปทำบุญฟังเทศน์แล้วก็รู้สึกเลื่อมใสศรัทธา จึงได้เข้าไปทำบุญที่วัดแห่งนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 2546 สามเณรวิรพลก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุหลังจากนั้นเพื่อนที่ไปร่วมทำบุญด้วยกันหลายคนสังเกตเห็นว่า พระวิรพลมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ใช้ของมียี่ห้อราคาแพง รถยนต์นั่งต้องเป็นรถที่มีราคาสูงๆ เวลาฉันข้าวตามปกติพระสายปฏิบัติจะฉันในบาตร แต่ตั้งแต่ไปกราบไหว้ทำบุญมาก็ไม่เคยเห็นฉันในบาตร จึงคิดว่าไม่เหมาะสม”
นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.นิโลบล ทองสุทธิ์ อายุ 50 ปี ชาวบ้านใน ต.เมืองเหนือ อ.เมืองศรีสะเกษ ซึ่งตั้งข้อสังเกตถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของหลวงปู่เณรคำ
และพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปนี่เองในเวลาต่อมาจึงได้ปรากฏภาพหลวงปู่เณรคำที่ไม่เหมาะสมเผยแพร่สู่สายตาของสาธารณชนมากขึ้นเป็นลำดับ
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับกรณีเรื่องเจ็ตประจำองค์นั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ชาวสังคมออนไลน์ได้ส่งต่อคลิปชื่อ เครื่องบินเจ็ตประจำองค์ ๒ ซึ่งเผยแพร่โดยสมาชิกเว็บไซต์ยูทิวบ์ ชื่อ จำรัส ผู้ดี โพสต์เมื่อ วันที่ 7 มกราคม โดยภายในคลิปเป็นภาพคณะสงฆ์จำนวน 3 รูปนั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว หูเสียบหูฟังไอโฟน สวมแว่นตาดำและกระเป๋าหลุยส์วิตตอง โดยเครื่องบินเครื่องดังกล่าวบินลงจอดที่สนามบินอุบลราชธานี จากนั้น ภาพดังกล่าวก็แพร่สะพัดออกไปอย่างกว้างขวางจนมีการร้องเรียนมายังสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)เนื่องเพราะทนไม่ได้ถึงความเลิศหรูเกินพอดีสำหรับสมณสารูป
กระนั้นก็ดี แม้ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เครื่องบินเจ็ตลำดังกล่าวมีใครเป็นเจ้าของหรือลูกศิษย์คนใดเป็นผู้จัดถวาย แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูลในภาพพบว่า หลวงปู่เณรคำเดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตมาจอลงจอดที่สนามบินนานาชาติอุบลราชธานีเมื่อประมาณปลายเดือนธันวาคม2555 ที่ผ่านมาโดยเป็นเครื่องบิน CESSNA รุ่น CITATION CJ4 แบบเช่าเหมาลำของบริษัท เอ็มเจ็ต ต้นทางจากสนามบินดอนเมือง เป็นการขอลงจอดแบบไปกลับภายในวันเดียวและเป็นการขอลงจอดที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ด้านเว็บไซต์ www.flickr.com. ได้เผยแพร่ภาพหลวงปู่เณรคำและพระสงฆ์อีกรูปโดยระบุว่า หลวงปู่เณรคำเดินทางไปชมโรงงานผลิตเครื่องบินเจ็ตที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 3 และ 4 พฤษภาคมโดยได้นั่งเครื่องบินของบริษัทดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายกิจกรรมในการเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินเจ็ทอีกหลายอิริยาบถโดยในภาพประหนึ่งมีบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินเจ็ตมาให้การต้อนรับ พร้อมบรรยายคุณสมบัติของเครื่องบินเจ็ตให้หลวงปู่เณรคำได้รับทราบ
ขณะเดียวกันนอกจากภาพเครื่องบินเจ็คแล้ว ในเวลาต่อมายังปรากฏภาพหลวงปู่เณรคำใช้ เฮลิคอปเตอร์ เดินทางไปประกอบกิจนิมนต์ โดยเป็นภาพขณะกำลังเดินลงจากเฮลิคอปเตอร์และมีประชาชนจำนวนหนึ่งรอรับ และที่น่าสนใจก็คือที่บริเวณประตูของเฮลิคอปเตอร์มีชื่อและภาพสัญลักษณ์ของหลวงปู่เณรคำติดอยู่ รวมถึงภาพหลวงปู่เณรคำใช้ “รถโรลสรอยซ์” ป้ายแดง ทะเบียน 9999 กรุงเทพมหานคร เป็นพาหนะในการเดินทางอีกต่างหาก โดยภาพดังกล่าวขึ้นในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ปะทะตามแนวชายแดนไทยกัมพูชากรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2554 และหลวงปู่เณรคำเดินทางไปยังที่ว่าการอำเภอกันทรลักษณ์ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านที่หลบหนีภัยสงครามอยู่ที่นั่นพร้อมแจกพระเครื่องของหลวงปู่เณรคำให้ชาวบ้านอีกด้วย
แต่ถ้าจะว่าไปแล้วไม่ว่าเครื่องบินเจ็ตลำนี้จะมีใครเป็นเจ้าของหรือใครจัดถวาย หรือเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวเป็นของใคร รถยนต์โรลสรอยซ์ป้ายแดงลูกศิษย์คนใดจัดถวายในการปฏิบัติกิจนิมนต์ ก็มิได้น่าแปลกใจอะไร เพราะเงินระดับสิบล้านหรือร้อยล้านไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับหลวงปู่เณรคำและบรรดาลูกศิษย์กระเป๋าหนักที่พร้อมจะจัดถวายให้อย่างเต็มที่
หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ไม่นานนักหลวงปู่เณรคำเคยตกเป็นข่าวคึกโครมมาแล้วครั้งหนึ่งกับเม็ดเงินก้อนมหึมาในการทอดกฐินปี 2552 เมื่อพุทธศาสนิกชนจากประเทศสหรัฐอเมริกา และชาวไทยจากทั่วประเทศ จำนวนมากได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพทอดถวายมหากฐินทาน โดยเป็นต้นกฐินขนาดใหญ่ สูง 9 เมตร จำนวน 27 ต้น ตั้งเรียงรายอยู่ด้านหน้าขององค์พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก หน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 18 เมตร ซึ่งปรากฏว่าได้มีบรรดาพุทธศาสนิกชนพากันนำเอาเงินชนิดต่าง ๆ พากันมาปักต้นเงินกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม้เสียบเงินธนบัตรชนิดต่าง ๆ ล้นต้นเงินทั้ง 27 ต้น แต่ก็ยังคงมีบรรดาพุทธศาสนิกชนทยอยพากันมาปักต้นเงินกันอย่างต่อเนื่องจนไม้เสียบเงินเบียดเสียดกันเต็มต้นกฐินยักษ์ โดยการใช้เชือกชักรอกนำเอาตะกร้าบรรจุไม้เสียบเงินขึ้นไปปักบนต้นเงิน ซึ่งปรากฏว่า ได้เงินทั้งสิ้น 57,589,141 บาท และทองคำหนัก 11 กก.
ไหนจะบ้านหลังใหญ่โตราวกับคฤหาสน์ของพ่อและแม่หลวงปู่เณรคำซึ่งอยู่ที่บ้านทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี รวมทั้งยังมีการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ขนาด 5 ชั้นเหมือนกับสร้างเป็นโรงแรม ซึ่งชาวบ้านตั้งข้อสงสัยส่าหลวงปู่เณรคำเอาเงินมาจากไหน ถึงได้มาสร้างบ้านหลังใหญ่โต มีกำแพงสูง 4-5 เมตรล้อมรอบบ้านยิ่งกว่าพระราชวัง จนคุณยายแดง จันทร์คุปต์ อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1329/29 ถ.ราชการรถไฟ 1 ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ถึงกับกล่าวว่า พวกเราเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เณรคำ พวกเราไม่ได้มีฐานะร่ำรวยแต่นำเอาเงินที่เก็บหอมรอมริบ 20 บาท 30 บาทไปถวายเพื่อจะได้นำเอาสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปรากฏว่าหลวงปู่เณรคำนำเอาไปใช้ในการที่ไม่เหมาะสม
ส่วนเรื่องรถตำรวจทางหลวงทะเบียน 665 อุบลราชธานี ขับนำขบวนติดตามหลวงปู่เณรคำไปทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศไทยนั้น ก่อนหน้านี้ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า เกิดอะไรขึ้นและทำไมตำรวจทางหลวงถึงให้บริการราวกับเป็นบุคคลสำคัญระดับวีไอพีเช่นนี้
“มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้ามาที่วัดนี้บ่อยมาก และหลวงปู่เณรคำจะมีรถตำรวจทางหลวงนำขบวนตลอดเวลา จึงพากันเชื่อว่า จะต้องมีนายตำรวจ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่หนุนหลังอยู่”ชาวบ้านคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในละแวกวัดป่าสันติธรรมบอกเล่าข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นความไม่ธรรมดาของหลวงปู่เณรคำ
ทว่า ในเวลาต่อมาได้รับการเฉลยจาก “นายภาณุ สุขวัลลิ” โฆษกฝ่ายฆราวาสประจำตัวหลวงปู่เณรคำเฉลยว่า ไม่ได้มาจากการร้องขอของหลวงปู่เณรคำ แต่มาจากการที่ “พล.ต.อ.วิชียร พจน์โพธิ์ศรี” ปลัดกระทรวงคมนาคมและอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอนุมัติให้เพราะเห็นว่าหลวงปู่เณรคำมีกิจนิมนตร์มากและเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ซึ่งในปัจจุบันหากหน่วยงานใดจะนิมนต์จะต้องจอมคิวกันข้ามปี
**ใครหลับเคียงข้างสีกา ลูกศิษย์อ้างตัดต่อภาพ
กระนั้นก็ดี ภาพที่ถือเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ภาพนั่งเครื่องบินเจ็ต ภาพชูนิ้วลั้ลลาในห้างสรรพสินค้าต่างประเทศ หรือการใช้สินค้าแบรนด์เนม แต่เป็นภาพที่มีพระรูปหนึ่งขณะนอนหลับอยู่ข้างๆ สีกา ซึ่งยังไม่เป็นที่แน่ชัดหรือฟันธงร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นใคร เพียงแต่มีวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน้าละม้ายคล้ายกับพระเกจิชื่อดังในจังหวัดศรีสะเกษเท่านั้น เพราะถ้าหากตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่า พระในภาพเป็นคนๆ เดียวกับพระเกจิชื่อดังโดยที่ไม่ได้มีการตัดต่อภาพ นั่นหมายความว่า พระรูปนั้นกำลังทำผิดพระวินัยอย่างร้ายแรงถึงขั้นปาราชิกกันเลยทีเดียว
มีข้อมูลที่น่าสนใจถึงที่มาที่ไปของภาพดังกล่าวว่า สีกาหรือผู้หญิงที่อยู่ในภาพนั้น มีชื่อเล่นว่า “แพรวา” ซึ่งเป็นอดีตคนรักของพระที่ปรากฏอยู่ในภาพเดียวกัน เพียงแต่ว่า ในระยะหลังฝ่ายชายตีตัวออกห่างเนื่องจากพบผู้หญิงคนใหม่ จึงเป็นที่มาของการปล่อยภาพคู่ออกสู่สาธารณชน โดยว่ากันว่า มีการนำภาพนี้ไปโปรยที่หน้าบ้านในจังหวัดอุบลราชธานีมาแล้ว
ข้อครหาทั้งหลายทั้งปวงก็กระจ่างชัดขึ้นมาในระดับหนึ่ง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน “นายภาณุ สุขวัลลิ” โฆษกฝ่ายฆราวาสประจำตัวหลวงปู่เณรคำได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลในเรื่องภาพต่างๆ โดยยอมรับว่าเป็นภาพเก่าทั้งหมดกล่าวคือภาพเครื่องบินเจ็ทเป็นเครื่องบินของบริษัทบางกอกเจ็ทที่เวลาหลวงปู่เณรคำมีกิจนิมนต์เร่งด่วนจะมีญาติโยมเช่าให้เพื่อใช้เดินทางเป็นประจำ ส่วนเรื่องเฮลิคอปเตอร์ที่มีภาพสัญลักษณ์ของหลวงปู่เณรคำติดอยู่นั้น ก็เป็นเฮลิคอปเตอร์ของทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และมีญาติโยมเช่าให้ใช้เดินทางเวลามีกิจนิมนต์เร่งด่วนเช่นกัน ส่วนที่มีรูปหลวงปู่เณรคำติดอยู่ก็มาจากการที่ญาติโยมนำมาติดเอาไว้เอง
ขณะที่ “พระฐกฤต กันตธัมโม” โฆษกประจำตัวหลวงปู่เณรคำและฝ่ายประชาสัมพันธ์ วัดป่าขันติธรรม ก็ออกมาชี้แจงเช่นกันโดยยอมรับว่าวัดป่าขันติธรรมไม่ได้มีสถานะเป็นวัดจริงเนื่องจากเป็นเจตนาของหลวงปู่เณรคำที่ต้องการสร้างสถานที่แห่งนี้เพื่อสร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลกและเมื่อสร้างเสร็จแล้วไม่ต้องการให้เป็นสมบัติของวัด แต่จะมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน ให้สำนักพระราชวังมาดูแล
นอกจากนี้ เมื่อสร้างพระแก้วมรกตเสร็จแล้ว หลวงปู่เณรคำได้ประกาศเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะ “ขอละสังขาร” รวมทั้งยุบวัดป่าขันติธรรมด้วยให้เหลือไว้เพียงวิหารและพระแก้วมรกต
ขณะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มลูกศิษย์ที่นำโดยนายภัทรเดช โสพรรณพานิชย์ หรือเสี่ยก้าวหน้า ดร.สุขุม วงประสิทธิ อดีตผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพฯ นายวิชัย สุขอัมภา กรรมการบริหาวัดป่าขันติธรรม นายภาณุ สุขวัลลิ โฆษกวัดป่าขันติธรรม และพระครูวรธรรมวิเทศ หรือหลวงพ่อปานขาว ญาณธโร เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณารามในประเทศฝรั่งเศสพร้อมพระลูกวัดและญาติโยมอีกเกือบ 100 คนออกโรงมาตอบโต้
นายภัทรเดชประกาศชัดเจนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นธรรมกับหลวงปู่เณรคำ ซึ่งทั้งเรื่องเครื่องบินเจ็ตหรือเฮลิคอปเตอร์ก็เป็นไปตามที่ได้มีการอธิบายไปบ้างแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องกระเป๋าหลุยส์และการใช้โทรศัพท์ยี่ห้อแพงของหลวงปู่นั้นเป็นสิ่งที่ญาติโยมนำมาถวายให้ทั้งนั้น เนื่องจากญาติโยมคิดว่า การที่นำของที่ดีมาถวายพระก็จะได้สิ่งที่ดีๆ กลับไป หรือรูปรถโรสลอย์ล่าสุดที่มีการนำออกมาเผยแพร่ทางสื่อนั้น เป็นรถของหลวงปู่เณรคำจริง โดยลูกศิษย์ชาวมาเลเซียเป็นผู้ที่ซื้อมาถวายตั้งแต่ปี 2554 และขณะนี้รถก็มีสภาพชำรุดไปมากแล้วเพราะหลวงปู่เณรคำเอาไปขนปูน
สำหรับที่มีภาพหลวงปู่นอนกับคนลักษณะคล้ายผู้หญิงตนเองยืนยันว่า ภาพดังกล่าวเป็นภาพที่ตัดต่อขึ้นมาเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว โดยลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่หวังดีกับตัวหลวงปู่และหวังทำลายชื่อเสียงของหลวงปู่ หลังจากลูกศิษย์คนนี้เคยมาขอเงินหลวงปู่เป็นเลข 7 หลัก แต่ทางหลวงปู่ไม่ให้จึงเกิดมิจฉาทิฐิ เช่นเดียวกับการที่มีการไปถ่ายที่บ้านหลวงปู่และบอกว่าตึก 5 ชั้นที่เห็นนั้นเป็นบ้านโยมพ่อแม่ของหลวงปู่นั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะตึกดังกล่าวเป็นมูลนิธิหลวงปู่เณรคำใช้เป็นศูนย์รวมในการดูแลสาขาต่างๆ ของวัด ส่วนบ้านของโยมพ่อแม่ของหลวงปู่นั้นอยู่ติดๆ กัน และตึกดังกล่าวก็เป็นเงินที่ญาติโยมคนหนึ่งบริจาคสร้างให้กับมูลนิธิ
ทว่า เรื่องการตั้งใจให้เป็นแค่ที่พักสงฆ์ก็ถูกตอกกลับจาก นายวิรอด ไชยพรรณนา ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดศรีสะเกษว่า ก่อนหน้านี้ประมาณปี 2545 ทางวัดป่าขันติธรรมได้มายื่นเรื่องขอสร้างวัด แต่เนื่องจากไม่ได้มีการดำเนินการสร้างวัดต่อจนแล้วเสร็จ จนกระทั่งครบกำหนดตามระเบียบ 5 ปี เอกสารในการยื่นเรื่องขอสร้างวัดป่าขันติธรรมจึงถือว่าหมดอายุ
ซึ่งในหลักความจริงของการตรวจสอบนั้น หากขึ้นทะเบียนว่าเป็นวัดจะมีการตรวจสอบที่ง่ายกว่า
“ต้องยอมรับว่าการที่มีการจัดตั้งสำนักสงฆ์ของวัดป่าขันติธรรมมีช่องว่างที่จะให้ทำการตรวจสอบได้น้อย เป็นส่วนที่ทำให้หน่วยงานราชการตรวจสอบได้ยาก”
นอกจากนี้ นายวิรอดยังกล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่อ้างว่าหลวงปู่เณรคำที่ไม่ต้องการสร้างวัดเนื่องจากต้องการสร้างสถานที่แห่งนี้เพื่อสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก และเมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ไม่ต้องการให้เป็นสมบัติของวัด แต่จะมอบให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน หลังจากนั้นหลวงปู่เณรคำได้บอกไว้ว่าจะขอละสังขาร รวมทั้งยุบวัดป่าขันติธรรมด้วย ให้เหลือไว้เพียงวิหารและพระแก้วมรกตจำลองนั้น เป็นการตอบเพื่อหลีกเลี่ยงคำถามจากสังคมทั่วไปที่มีการสอบถามว่าเพราะเหตุใดจึงไม่ตั้งเป็นวัดให้ถูกต้อง
ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่ามหากาพย์เรื่องหลวงปู่เณรคำจะยังไม่จบง่ายๆ เพราะมีเงื่อนงำที่ต้องการคำตอบในแทบจะทุกประเด็น ที่สำคัญคือ สุดท้ายแล้วผู้ที่จะตอบคำถามทั้งหลายทั้งปวงได้ดีที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้นตัวหลวงปู่เณรคำเอง ซึ่งคงต้องรอต่อไป เนื่องเพราะจากเดิมที่จะเดินทางกลับจากฝรั่งเศสในวันที่ 19 มิถุนายน ก็มีการเลื่อนกำหนดการออกไปโดยให้เหตุผลว่า ญาติโยมที่นั่นนิมนต์ให้อยู่ต่อ และคาดว่าจะกลับมาถึงประเทศไทยได้ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
ล้อมกรอบ//
เส้นทางจาริกที่ยังอึมครึมของหลวงปู่เณรคำ
ในเว็บไซต์ http://www.luangpunenkham.com/ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของวัดป่าขันติธรรม ได้สาธยายประวัติของหลวงปู่เณรคำเอาไว้โดยสังเขปว่า “หลวงปู่เณรคำ มีนามเดิมว่า วิรพล สุขผล ถือกำเนิดที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2522 เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายรัตน์ สุขผล และนางสุดใจ สุขผล มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เป็นผู้ชายหมด ครั้นอายุได้ 15 ปี ได้ออกบวชเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2537 ที่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีหลวงปู่โชติ อาภัคโค เป็นอุปัชฌาย์ บรรพชาเสร็จแล้ว ได้ไปจำพรรษาที่วัดป่าดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ระยะหนึ่ง ซึ่งได้รับการอบรมธรรมะจากหลวงปู่สมบูรณ์ ขันติโก อย่างนานัปการ
“จากนั้นเดินทางจาริกธุดงค์ ปักกลดอยู่ถ้ำภูตึก บ้านคุ้มปากมูล อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี คนเดียวนานถึง 3 เดือน ต่อจากนั้นก็ลงจากถ้ำภูตึกไป และ จาริกธุดงค์ไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าเริ่มเห็นสิ่งอัศจรรย์เยอะแยะมากมายเกิดขึ้น ระหว่างการธุดงค์ ได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ที่วัดอรัญบรรพต ต่อจากนั้นไปที่วัดหินหมากเป้ง กราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ชั้นสูง จากนั้นเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปถึง เชียงใหม่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี แล้วกลับมาที่วัดป่าดอนธาตุอีก แล้วจึงมายังกาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2542 ได้ญัตติอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดทางหลวงป่าดอนธาตุ แล้วจึงเดินทางมายัง จ.ศรีสะเกษ ที่ซึ่งได้รับอาราธนานิมนต์ให้อยู่ในชาติสุดท้ายแห่งการเกิดนี้”
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าบางช่วงบางตอนมิได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง เช่น การกล่าวอ้างว่าได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี แต่โดยข้อเท็จจริงกลับได้รับคำยืนยันจากพระระพีพล ปณฑิโต พระวัดภูเขาแก้วว่า หลวงปู่เณรคำไม่เคยบวชที่วัดแห่งนี้ โดยวัดที่หลวงปู่เณรคำบวชน่าจะเป็นวัดศรีนวล บ้านอ่างศิลา อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดภูเขาแก้ว และมีพระครูพิพัฒน์สังฆกร เจ้าอาวาสวัดศรีนวลเป็นพระอุปัชฌาย์
ขณะเดียวกันเมื่อได้ตรวจสอบประวัติไปยังพระสายกรรมฐานวัดป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดพระธรรมวิสุทธิมงคลหรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด ก็ได้รับคำยืนยันว่า หลวงปู่เณรคำไม่ใช่สายวัดป่าหลวงปู่วัดแน่นอนและขอยืนยันว่า ทางคณะสงฆ์วัดป่าไม่เคยรู้จัก ที่สำคัญคือแนวปฏิบัติของหลวงปู่เณรคำแตกต่างจากปฏิปทาของพระสายวัดป่าแน่นอน เพราะว่าพระสายกรรมฐานต้องมักน้อย สันโดษ เคารพต่อพระวินัย
นอกจากนั้นในประวัติยังบอกเล่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เอาไว้มากมาย เช่น ในระหว่างธุดงค์ตามริมแม่น้ำโขง ทุกจุดที่เราปักกลดนี้จะมีเทวดามาต้อนรับมากมายนะ มาฟังธรรมตลอดเส้นทาง หรือถ้าเราไปเจอห้วย เจอแม่น้ำที่มันเป็นปากแม่น้ำลงมาถึงแม่น้ำโขงเราก็ลอยข้ามไป บางทีฟลุกๆ ก็เดินข้ามได้ กระโดดข้ามเลย เออ. อัศจรรย์ดี เด็ดหัวหญ้าโยนลงน้ำกลายเป็นเรือ กระโดดขึ้นเรือแล้วก็ไหลไปเลย ฯลฯ
ปัจจุบันหลวงปู่เณรคำเป็นประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมและประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และมีวัดสาขาอยู่ทั่วประเทศร่วมสองร้อยสาขา และมีที่ต่างประเทศคือสาขาเลคเอลซินอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
อนึ่ง เมื่อปี 2553 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้มอบปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนาให้หลวงปู่เณรคำอีกด้วย