ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจากปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติในฐานะ “ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” อย่างสมศักดิ์ศรีและเต็มความสามารถจนเป็นที่ชื่นชนของคนไทยทั้งชาติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา “พี่แสบ-วีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายฝ่ายไทยคดีปราสาทพระวิหาร ก็เดินทางมาถึงราชอาณาจักรไทยเป็นที่เรียบร้อย
เวลานี้ พี่แสบคือ “ฮีโร่” ของคนไทยทั้งชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
กระนั้นก็ดี แม้พี่แสบและคณะจะทำหน้าที่ได้ดีจนหลายคนเชื่อว่า ไทยมีโอกาสชนะมากกว่าแพ้ แต่ความจริงที่จะเกิดขึ้นจากคำพิพากษาขององค์คณะผู้พิพากษาของศาลโลกอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คนไทยคิด
เพราะมีปัจจัยที่สำคัญที่ชวนให้มิอาจวางใจได้ เพราะศาลโลกมิใช่ศาลสถิตยุติธรรมหากแต่เป็นศาลการเมืองที่มีมหาอำนาจของโลกยืนทะมึนชักใยอยู่เบื้องหลัง
และปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า มีน้ำหนักต่อผลแพ้ชนะมากที่สุดก็คือ the Annex I map หรือ แผนที่ระวางดงรัก หรือ แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
แน่นอน แม้ “อลินา มิรอง” ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ หนึ่งในทีมกฎหมายของไทยจะสามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยการชี้ให้เห็นความเลวร้ายของแผนที่ฉบับดังกล่าวว่า เป็นแผนที่ที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจนและจะวุ่นวายหากใช้แผนที่ฉบับนี้ในการปักปันเขตแดน โดยเปรียบเทียบกับแผนที่ชุดใหม่ซึ่ง “IRBU” หรือหน่วยวิจัยเขตแดนระหว่างประเทศ(International Boundaries Research Unit) เคยทำเปรียบเทียบเอาไว้ และทำให้เห็นปัญหาของแผนที่ระวางดงรักอย่างชัดเจน
แต่ต้องไม่ลืมว่า ราชอาณาจักรไทยยังมีจุดอ่อนที่สำคัญเกี่ยวกับแผนที่ฉบับนี้ เพราะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัยแห่งพรรคประชาธิปัตย์ ได้ไปลงนามยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ในบันทึกข้อตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543 หรือ MOU43
ปรากฏลายเซ็นของคุณชายหมูให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แผนที่ฉบับนี้มีสถานะทางกฎหมาย
แถมในยุคสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ยัง “ดื้อตาใส” ไม่ยอมยกเลิก MOU43 อีกต่างหาก แถมในช่วงที่ทูตวีรชัยต่อสู้กับเฒ่าฮอ นัมฮง พลพรรคแมลงสาบยังตีกินแอบอ้างคุณวิเศษของ MOU43 อีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ความจริงมิใช่เป็นเช่นนั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงจำเป็นต้องจับตา MOU 43 ให้ดี เพราะเป็นประเด็นสำคัญที่ศาลโลกอาจพิจารณาประกอบคำพิพากษาว่าจะรับตีความหรือไม่
และถ้าราชอาณาจักรไทยจะแพ้ ก็มิใช่จากอะไรอื่น หากแต่เป็นเพราะ MOU43ฉบับนี้เอง
ไปที่กิจกรรมดีๆ กันบ้าง ....
เริ่มด้วย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย) จำกัด ที่เดินหน้าสานต่อพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้โครงการโรงเรียนสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติ ครั้งที่ 7 (ปี 2555-2556) จัดค่าย "ฮอนด้ากรีนแคมป์" โดยในปีนี้มีโรงเรียนที่มีศักยภาพและมีความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมโครงการครั้งที่7 รวมทั้งสิ้น 49 โรงเรียน แบ่งออกเป็นระดับประถมศึกษา 31 โรงเรียน และมัธยมศึกษา 18 โรงเรียน เพื่อสนับสนุนให้ทุกโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯนำเกณฑ์มาตรฐานสิ่งแวดล้อมไปประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาโรงเรียนของตนเองสู่การเป็นโรงเรียนที่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ...ร่วมติดตามความก้าวหน้าของโครงการฯ เพิ่มเติมได้ที่ www.hondagreenschool.com
ด้านคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จัดแสดงนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังล้านนาเรื่อง “พระมหาชนก” จากบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผลงานวิทยานิพนธ์ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ในระดับปริญญามหาบัณฑิต สาขาศิลปะไทย ระหว่างวันที่ 22 เมษายน-20 พฤษภาคม 2556 ณ หองศิลป์ PSG Art Gallery คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปกร วังท่าพระ กรุงเทพฯ ....พลาดแล้วจะเสียใจ
และปิดท้ายกันที่บริษัท เค เอส ซี คอมเมอร์เชียล อินเตอร์เนต จำกัด โดยนายประพนธ์ พงษ์ประพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด มอบแกวมัคจำนวน 300 ใบ ที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษ ลวดลายน่ารักสดใสจากภาพวาดฝีมือเด็กๆ ในมูลนิธิให้แก่นางทศสิริ พูลนวล กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิเด็ก เพื่อจำหน่ายและนำรายได้สมทบทุนมูลนิธิ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ...
คอลัมน์// หนังสือน่าอ่าน
พราหมณ์สมอพลือ
หากเอ่ยถึง “พระหูยานกรุสมอพลือ” เชื่อขนมกินได้ว่า บรรดาเซียนพระทั้งประเทศรู้จักเป็นอย่างดีและปรารถนาที่จะได้มาครอบครอง เนื่องเพราะเป็นพระหูยานที่มีเพียงแค่ 27 องค์ แถมยังวิเศษสุดเพราะเป็นพระหูยานจากกรุเดียวที่มี “สนิมแดง” จับอยู่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ ขณะที่พระหูยานกรุอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็น “สนิมเขียว” ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ “ตำบลสมอพลือ” อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี นอกจากจะเป็นที่รู้จักจากความโด่งดังของพระหูยานแล้ว หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ณ ที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดของตระกูลพราหมณ์อันเก่าแก่ ซึ่งมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์สำคัญตั้งแต่เมื่อครั้งแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาเลยทีเดียว
“ทวีโรจน์ กล่ำกล่อมจิตต์” ใช้เวลาศึกษา ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลร่วม 3 ปีถึงจะสามารถเรียบเรียงเป็นหนังสือชื่อ “พราหมณ์สมอพลือ”
“เชื้อตระกูลพราหมณ์สมอพลือ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นนิคมพราหมณ์ที่มีตระกูลสูง เป็นพราหมณ์พิธีในราชสำนักมาแต่โบราณ เป็นพราหมณ์ที่มีบรรดาศักดิ์และราชทินนาม มีหลักฐานบันทึกไว้มาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นับว่าเป็นพราหมณ์ใหญ่ที่มีความสำคัญกับเมืองเพชรบุรี และต่ออาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ....”
“จากการสืบค้นหลักฐานพบว่า พราหมณ์สมอพลือยังมีตำแหน่งบรรดาศักดิ์และราชทินนามต่อเนื่องสืบกันมานับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และพรหมณ์ใหญ่เจ้าพิธีเหล่านี้เป็นต้นตระกูลของชาวสมอพลือหลายตระกูลด้วยกัน ได้แก่ ตระกูลภวังคนันท์ ตระกูลสตะเวทิน ตระกูลวงศ์พราหมณ์ ตระกูลศรีพราหมณ์ เป็นต้น”
นั่นคือส่วนหนึ่งที่ทวีโรจน์บันทึกเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ซึ่งสะท้อนความน่าสนใจของพราหมณ์สมอพลือได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ ในตระกูลพราหมณ์สมอพลือที่ยังคงสืบทอดความเป็นพราหมณ์ใหญ่เจ้าพิธีและเป็นที่นับถือจากพราหมณ์ทุกตระกูล เห็นจะหนีไม่พ้น “ถาวร ภวังคนันทน์” ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น “พระราชครูศิวาจารย์” พราหมณ์ประจำสำนักพระราชวังพิเศษ
นอกจากนั้น ทายาทตระกูลพราหมณ์สมอพลืออีกคนหนึ่ง ที่แค่เอ่ยชื่อก็ต้องร้องอ๋อ นั่นก็คือ “ศาสตราจารย์เจือ สตะเวทิน” นักปราชญ์ราชบัณฑิตสยามที่นักการศึกษารู้จักกันทั้งประเทศ
สำหรับผู้ที่สนหนังสือเล่มนี้ สามารถสอบถามข้อมูลได้โดยตรงที่คุณทวีโรจน์ หมายเลขโทรศัพท์ 081-9177-280 และถ้าอยากจะรู้เรื่องเมืองเพชรให้มากกว่านี้ก็สามารถแวะไปเยี่ยมชมได้ที่ “มิวเซียมเพชรบุรี” ซึ่งคุณทวีโรจน์ได้จัดสร้างขึ้นมาและเปิดให้เข้าไปเยี่ยมชมได้
ลุงอ้วน
managerweekend@yahoo.com