หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความชื่นชม “ทูตวีรชัย” สู้คดีพระวิหารต่อศาลโลกเข้มแข็ง วอนรัฐบาลสนับสนุนให้กำลังใจ ไม่วายหนุนใช้ “เอ็มโอยู 43” ประกอบต่อสู้กับเขมร
วันนี้ (18 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการแถลงด้วยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศของฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ต้องขอแสดงความชื่นชมท่านทูตวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก และคณะทนาย ที่ได้ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง และเตรียมข้อมูลหลายเรื่องมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกรณีของแผนที่ที่มีการอ้างอิงกลับไปในคำวินิจฉัยเดิม ซึ่งชี้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมาชี้เรื่องเขตแดน เรื่องแผนที่ รวมทั้งลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่พูดถึงความพยายามของทางฝ่ายกัมพูชาที่จะขอให้มีการกลับคำตัดสินกันใหม่ และการรุกคืบผ่านกระบวนการเรื่องมรดกโลก ซึ่งประเด็นก็ค่อนข้างจะครอบคลุม และนำเสนอได้อย่างดี ทั้งนี้อยากจะให้รัฐบาลสนับสนุน ให้กำลังใจในการต่อสู้อย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง เพราะยังไม่จบ ซึ่งก็ต้องเตรียมฟังต่อว่าทางฝ่ายกัมพูชาจะมีการหักล้าง หรือมีการนำเสนอประเด็นอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ และต้องตรวจสอบสิ่งที่กัมพูชาแถลงมาแล้วว่ายังมีประเด็นใดที่จำเป็นจะต้องไปหักล้างเพิ่มเติม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่เราได้นำเสนอไปแล้ว กัมพูชาคงจะเดาออก เช่นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับแผนที่ และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ MOU43 ที่ทางกัมพูชาพยายามพูดไว้ล่วงหน้าว่า ประเด็นเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดี หรือไม่สามารถที่จะนำมาประกอบการพิจารณาได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ผมคิดว่าอยากให้ฝ่ายไทยได้หักล้างให้ชัดเจนไปเลยว่า ทำไมมันเกี่ยวข้อง และสิ่งที่กัมพูชาพยายามสร้างความสับสนขึ้นมา เพื่อที่จะทำให้เห็นว่าศาลต้องรับคดีนี้ ซึ่งตนคิดว่าก็ควรจะเก็บตกให้หมด ไม่ควรประมาทอะไรก็ตามซึ่งเขาหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่เป็นคุณกับเขา เราก็หักล้างเสียให้หมด ซึ่งการนำเสนอในมุมของเราเมื่อวานนี้ก็ทำได้ดี หลายประเด็นก็เป็นการชี้ให้เห็นถึงการที่กัมพูชาพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยม แล้วก็มีการนำเสนอข้อมูลหลายอย่างที่ไม่เป็นจริง แต่อย่างไรก็ตามตนคิดว่า เราก็ต้องไปไล่ดูคำแถลงของเขาอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหักล้างให้มันครบถ้วน อย่างกรณี แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตารางเมตรนั้น สถานะมันไม่ได้รับการยอมรับ มันใช้ไม่ได้อะไรอย่างไร ซึ่งกัมพูชาก็พูดว่าเรื่องประเด็นเทคนิคแผนที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ซึ่งอย่างนี้เราต้องไปพูดให้ชัดว่า ทำไมมันเป็นประเด็นที่ต้องมาประกอบการพิจารณา เพราะเรากำลังจะตีความให้เกิดการปฏิบัติการได้ และกัมพูชายอมรับเองว่ามันปฏิบัติไม่ได้จึงมาเซ็น MOU43 กับเรา ซึ่งตนคิดว่าประเด็นที่เขาหักล้างไม่ได้ ก็คือ 1.เรื่องแผนที่ และ 2.เรื่อง MOU43 เพราะฉะนั้นเราต้องไปพูดให้ชัดเจนว่าทำไมทั้งการนำเสนอ
“ผมคิดว่าจุดแข็งก็คือการตอกย้ำว่ากัมพูชาพยายามที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เมื่อคราวที่แล้ว แล้วก็เลยพยายามจะมาอ้างว่ามาขอความชัดเจน ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นการขอให้ศาลตัดสินใหม่ในสิ่งที่เขาตัดสินไปแล้ว ก็คือว่าศาลไม่มาตัดสินเรื่องเขตแดน ศาลไม่มารับรองแผนที่ของทางกัมพูชา เพราะฉะนั้นการต่อสู้ก็อยู่ตรงนี้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยืนยันมาว่า MOU43 เป็นเอกสารที่ยืนยันว่าทางกัมพูชาเอง ซึ่งมาเซ็นกับเรายอมรับว่ากระบวนการการจัดทำหลักเขตแดนมันจำเป็น และการยึดเอาแผนที่ 1:200,000 โดยที่จะให้กัมพูชาไปคิดเอาเองตามใจชอบเหมือนกับที่พยายามบอกศาลอยู่ในขณะนี้นั้นไม่ได้ เพราะมันต้องไปยึดตัวสนธิสัญญา เรื่องสันปันน้ำ แล้วมันก็จะต้องมาเกี่ยวข้องกับการจัดทำแผนที่ใหม่ ในทางเทคนิค และประการที่ 2 ก็คือ MOU 43 เป็นตัวที่บอกว่า คนที่มาอยู่ในพื้นที่จะมาอ้างว่าเป็นความชอบธรรม ครอบครองที่ไปแล้วเป็นของประเทศนั้นประเทศนี้ ไม่ได้ จนกว่าจะจัดทำหลักเขตแดน และแผนที่กันใหม่ให้เรียบร้อย และสำคัญก็เป็นหลักฐานอ้างอิงในการใช้การประท้วง อ้างสิทธิ์ของเราได้ ฉะนั้นตนคิดว่าอันนี้คือประโยชน์จากตัวบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ซึ่งหากศาลไม่รับตีความตามที่กัมพูชาร้องขอ ก็ต้องกลับมาที่ตัว MOU43
