xs
xsm
sm
md
lg

“สมศักดิ์ เจียมฯ” อวดฉลาด ยัดเยียด 4.6 ตร.กม.ใส่พานให้เขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
“สมศักดิ์ เจียมฯ” สู่รู้ สวน “คำนูณ” ศาลตีความแผนที่ผนวก 1 ตั้งแต่ปี 2505 แล้ว จวก “คนรักชาติ” เคลื่อนไหวโง่ ย้ำปมเขตแดนจบไปพร้อมตัวปราสาทแล้ว ชี้ 50 ปีไทยไม่รื้อฟื้นเหตุได้ประโยชน์ โมเมอ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนได้ ฟันธงศาลโลกตัดสินอย่างเก่งไทยเสมอตัว แนะเดินหน้าเขตพัฒนาร่วม “สอด” เข้าไปเอาผลประโยชน์ในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ 16 เม.ย. นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ขยายปมร้อนเขาวิหาร หลังจากนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ซึ่งเข้าร่วมฟังการให้การโดยวาจาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ต่อสายแสดงความคิดเห็น “คำนูณ” ชี้ไทยสาหัส เขมรถล่มหนัก บี้ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ดังนี้..

“นายคำนูณกล่าวว่า .... บทปฏิบัติการตามคำพิพากษาปี 2505 ทั้ง 3 ข้อไม่ได้บอกว่าเส้นเขตแดนตามแผนที่ในภาคผนวกที่ 1 เป็นเส้นเขตแดนที่ถูกต้อง โดยมีแค่สามข้อคือ 1.ปราสาทพระวิหารอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา 2.ให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และ 3.ให้ไทยคืนวัตถุโบราณ ....”

“นายคำนูณกล่าวอีกว่า ถึงแม้ว่าศาลอาจจะตีความเพียง 2 ประเด็น คือเรื่อง อาณาบริเวณของปราสาทพระวิหาร และเรื่องการถอนทหาร โดยไม่ได้ตีความเรื่องแผนที่...”

ใครบอกครับว่า ปี 2505 “ศาล... ไม่ได้ตีความเรื่องแผนที่”??

ถ้างั้น จู่ๆ ศาลตัดสินให้พื้นทีประสาทเป็นของกัมพูชาได้ยังไงครับ? ศาลอาศัยอะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินแบบนั้นครับ?

(ผมเคยตั้งคำถามต่อเทพมนตรีตรงๆ เลย ปรากฏว่าตอบไม่ได้ เอาเข้าจริง คนเหล่านี้ไม่เคยอ่านตัวคำตัดสินจริงๆ)

ในคำพิพากษา 2505 น่ะ แม้ส่วนที่เป็นคำพิพากษาตัวคดีโดยตรง จะมีแค่ว่า ให้พื้นที่ปราสาทเป็นของกัมพูชา ไม่ได้มีเรื่องแผนที่ (เพราะฝ่ายกัมพูชายืนเรื่องที่หลังไม่ทัน ตอนแรกยื่นไปแค่เรื่องพื้นที่ปราสาท)

แต่ในคำพิพากษาเลย ศาลก็เริ่มต้นจากการวินิจฉัยก่อนว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องพื้นที่ตัวปราสาท ซึ่งข้อสรุปของศาลคือ ให้ใช้ตาม แผนที่ผนวก 1

หมายความว่า ปี 2505 น่ะ ศาลได้ “ตีความเรื่องแผนที่"” ไปแล้ว(โว้ย)ครับ

ผมจึงบอกวา ที่ผ่านมา 40-50 ปี ที่ไม่มีรัฐบาลไทยชุดไหนหลาย 10 รัฐบาล คิดจะรื้อฟื้นเรืองนี้ขึ้นมา ก็เพราะรู้ว่า มันมีการวินิจฉัย “ตีความ” ไปแล้ว (และอย่าลืมว่า รัฐบาลหลายสิบชุดที่ว่า รวมถึง รบ.ฝ่ายเจ้า รบ.ทหาร รบ.ประชาธิปัตย์ ฯลฯ ตั้งแต่ก่อนทีประเทศไทยจะรู้จักชื่อ “ทักษิณ” นาน)

ที่พวกคนที่อยากจะ “รักชาติ” แบบ “ความรู้สึกช้า” (ตอนนั้นเกิดไม่ทัน และขี้เกียจเกินกว่าจะศึกษาประวัติศาสตร์) จุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ จึงเป็น “ความโง่” (ขออภัยที่ต้องใช้คำนี้ แต่เป็นเรื่อง “ความโง่” จริงๆ)

คือประเด็น เขตแดนจริงๆ มัน “จบ” ไปพร้อมเรื่องพื้นที่ปราสาทแล้ว เพราะตอนตัดสินเรื่องพื้นที่ปราสาท เขาวินิจฉัยตีความแผนที่ไปแล้ว (จึงยกพื้นที่ปราสาทให้เป็นของกัมพูชา ไม่งั้น จู่ๆ ตัดสินยกให้ได้ไง)

ที่ผ่านมาการปล่อยให้เรื่องนี้มัน “คลุมเครือ” ไม่จุดประเด็นขึ้นมาน่ะ เป็นประโยชน์กับฝ่ายไทย ทำให้ไทยสามารถ "โมเม" หรือ "ตีขลุม" เรื่อง "ไม่เคยตัดสินเรื่องเชตแดน/แผนที่" ได้ และอ้างความเป็น "พื้นที่ทับซ้อน" ได้ แล้วทำไม ครั้งนี้ กัมพูชา เลยได้ที จากการก่อกระแสเรื่องนี้ ยื่นเรื่องให้ศาลตีความยืนยันเสียเลย เพราะจริงๆ กัมพูชา ไม่มีทางแพ้ คือ ศาลไม่มีทางกลับการวินิจฉัยเรื่องแผนที่ได้เลย เพราะถ้ากลับคำวินิจฉัยส่วนนั้น ก็แปลว่า ต้องกลับคำตัดสินเรื่องยกพื้นที่ปราสาทให้กัมพูชาด้วย ซึ่งทำไม่ได้ เพราะมันหมดอายุความไปแล้ว

ขออีกนิดเรื่องเขาพระวิหารนะ

คือบรรดาคนที่อยาก "รักชาติ" จุดกระแสเรื่องนี้ ในไม่กี่ปีนี้น่ะ ไม่เคยศึกษาเรื่องนี้จริงๆ แล้วก็โวยวายๆ ว่า "ศาลไม่เคยตัดสิน ไม่เคยตีความ วินิจฉัยเรื่องเขตแดน ดังน้้น พื้นที 4 ตร.กม.เศษ ถือว่ายังเป็นของเราๆๆ"

พวกนี้ ไม่เคยใช้สมองคิดเลยว่า แล้วปี 2505 น่ะ จู่ๆ ศาลตัดสินให้พื้นที่ปราสาทเป็นของกัมพูชาได้ไง? จูๆ ศาลเกิดบอกว่า "ฉันอยากยกพื้นที่ปราสาทให้กัมพูชา" โดยไม่มีเหตุผลประกอบอะไรเลยหรือ?

ความจริงคือ ในคำตัดสิน 2505 ศาลได้เริ่มจากการวินิจฉัย "ตีความ" เรื่องเขตแดนก่อน โดยวินิจฉัยตีความให้ถือเอาตาม แผนที่ผนวก 1 เป็นเกณฑ์ (พื้นที่ตัวปราสาทอยู่ในส่วนของกัมพูชาตามแผนที่นั้น ศาลจึงยกพื้นที่ปราสาทให้กัมพูชา)

อย่างที่พูดหลายครั้งว่า ที่ไม่มี รบ.ไทยชุดไหน ตลอด 40-50 ปีนี้ คิดจะจุดชนวน รื้อฟื้นเรืองนี้จริงจัง ก็เพราะรู้ว่า ปล่อยไว้แบบนี้ เราสามารถ "โมเม" อ้างได้ว่า พื้นที่ตรงนั้น ยัง "คลุมเครือ" ยัง มีความ "ทับซ้อน" กันอยู่ เพราะศาล "ไม่ได้ตัดสิน" ได้ พูดง่ายๆคือ ปล่อยไว้แบบนี้ เราเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ไม่ "เสีย" อะไรมากไปกว่านี้

งานนี้เป็นเรื่อง "ความโง่" จริงๆ คือการจุดชนวนเรื่องนี้ขึ้นมาน่ะ ฝ่ายไทยมีแต่ อย่างมาก "เสมอตัว" คือ ศาลไม่วินิจฉัยอะไรเพิ่มเติม (อันนี้ไม่นับความเสียหายอื่นๆในเรื่องความสัมพันธ์หรือการค้านะ) หรือ ไม่ก็ยิ่ง "แพ้" หนักกว่าเดิม คือ ศาลยืนยันลงไปเลยว่า วินิจฉัยไปแล้วว่า ให้ใช้ตาม แผนที่ผนวก 1 (เพราะไม่มีทางที่ศาลจะกลับคำตัดสิน ไมให้ใช้ แผนที่ผนวก 1 ได้เลย ถ้ากลับแบบนี้ ก็ต้องยกพื้นที่ปราสาทกลับมาให้ไทย ซึงทำไม่ได้ เพราะหมดอายุความแล้ว)

ปัญหา "ดินแดน" ที่อยู่ติดๆ กัน (ว่าตรงไหนเป็นของใคร) โดยเฉพาะดินแดนที่มันไม่ได้มีทรัพยากรประเภทน้ำมัน อะไร อยู่ (อย่างเขาพระวิหาร) มันกลายเป็นปัญหาเล็ก ทีในระยะยาวแทบไม่มีความหมายอะไร

และอย่างทีบอกว่า หลายสิบปีทีผ่านมา ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว ที่ปล่อยให้เรื่องมัน "คลุมเครือ" ไม่จุดชนวนเรืองนี้ขึ้นมา

ทิศทางที่ฉลาดคือ พยายามทำเรือง JDA (เขตพัฒนาร่วม joint development areas) ซึงเราก็ได้เปรียบอีก เพราะจริงๆ ตามเกณฑ์การตัดสินปี 2505 น่ะ ที่ตรงนั้น ("4.6 ตร.กม." อะไรนั่นน่ะ) มันเป็นของกัมพูชาอยู่แล้ว ทำ JDA นี่ เรายังสามารถ "สอด" เข้าไปเอาผลประโยชน์ตรงนั้นได้ (ไม่ต้องพูดถึงว่า โดยกำลังการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยปัจจุบัน ที่ไกลกว่ากัมพูชาหลายขุม การทำในลักษณะ "ร่วม" อะไร เราก็ได้เปรียบกว่าแน่ๆ)

เรื่องนี้ คนทีต้องบอกว่า "แย่" หรือ "ไม่เอาไหน" มากๆ คือ บรรดาผู้นำ ปชป โดยเฉพาะ อภิสิทธิ์ ซึ่ง ในฐานะ "เด็กโต-จบนอก" ควรรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่ด้วยความเห็นแก่ประโยชน์การเมือง เลย "โหนกระแส" เรื่องนี้ตั้งแต่สมัย รบ.สมัคร

เป็นอะไรที่ "โง่" และ "สายตาสั้น" มากๆ”
กำลังโหลดความคิดเห็น