ผ่าประเด็นร้อน
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เวลาที่จะมีการแสดงละครในศาลโลกเพื่อตบตาคนไทยกันแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนไทยใน พ.ศ.นี้จะมีความสำนึกแบบไหน จะเฉยๆ ไม่ทุกข์ร้อนหากมีการเสียพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติม เพราะเห็นว่าเป็นพื้นที่แค่ “แมวดิ้นตาย” อย่างที่นีกการเมืองชั่วๆบางคนเคยกล่าวโจมตีคนไทยที่เคลื่อนไหวคัดค้านที่ไทยต้องเข้าไปเสี่ยงในศาลโลก โดยไม่ต้องการให้กระทบกับความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านทำให้การทำมาค้าขายไม่สะดวก
หรือประเภทไม่รู้ร้อนรู้หนาว เสียดินแดนหรือไม่ ไม่สนใจ ขออยู่ไปวันๆ ไม่เป็นไร พื้นที่แค่นี้ขอกันกินกันมากกว่าอย่าขัดแย้งกันเลย ไหนๆ เราจะต้องอยู่กันไปตลอดและกำลังจะเข่าสู่ประชาคมอาเซียนเดี๋ยวจะทำลายบรรยากาศอันไหนยอมได้ก็ยอมไปเถอะ อย่าสร้างปัญหาให้มากนักเลย
หรืออีกพวกหนึ่งที่ตื่นตัวรู้ทัน ยอมไม่ได้ที่ไทยต้องมาเสี่ยงกับการเสียดินแดนเพิ่มเติม ไม่ยอมเสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เพราะนี่คือศักดิ์ศรีของชาติย่อมอยู่เหนือสิ่งใด อีกทั้งที่สำคัญก็คือนี่คือแผนชั่วของฝ่ายรัฐบาลที่มีวาระซ่อนเร้นต้องการยกแผ่นดินให้ฝ่ายกัมพูชาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวของบางคน ซึ่งใยจำนวนนั้นก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังมีธุรกิจและความสัมพันธ์แบบทับซ้อนกับตัวผู้นำของกัมพูชา เท่านั้น
เวลานี้สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้การอุปถัมภ์ของ ทักษิณ ชินวัตร กำลังพยายามแสดงให้คนไทยได้เห็นก็คือการแสดงละครในศาลโลก ว่า “สู้เต็มที่” แต่เมื่อศาลโลกตัดสินออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ แต่ถ้าไม่ยอมรับศาลโลกเราก็จะถูกบอยคอตไม่มีใครคบ เป็นการสื่อความหมายออกมาแบบนี้อยู่ตลาดเวลา
ล่าสุดตัวแทนฝ่ายไทย ทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ได้เดินทางไปที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ตั้งศาลโลกเพื่อร่วมทีมสู้คดีในศาลโลกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่แทนที่จะสร้างความมั่นใจ ความรู้สึกยิ่งกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เพราะคนพวกนี้ไม่ต่างจาก “ขี้ข้า” ทักษิณ ชินวัตร และที่ผ่านมามีท่าทีให้คนไทยยอมรับความสูญเสีย ให้ยอมรับการตัดสินของศาลโลกไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร และได้ส่งสัญญาณมาล่วงหน้าแล้วว่า “มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง” รวมไปถึงการยอมรับอธิปไตยเหนือปราสาทแบบไม่มีข้อโต้แย้ง เมื่อครั้งที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ขึ้นเขาพระวิหารไปกินข้าวเหนียวไก่ย่างกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อให้ฝ่ายโน้นมีการถ่ายรูปอ้างอิงในเชิงสัญลักษณ์ ให้ชาวโลกได้รับรู้กันไปล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ เราไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยงในศาลโลกตั้งแต่แรก แม้ว่าฝ่ายกัมพูชายื่นเรื่องให้ตีความคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 ว่านอกเหนือจากปราสาทพระวิหารแล้วยังครอบคลุมไปถึงพื้นที่โดยรอบด้วยหรือไม่ ซึ่งเขามีแต่เสมอตัวกับชนะ ไม่มีเจ๊งเด็ดขาด หากว่าไปแล้วนี่คือแผนที่เขาต้องการให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเป็นไปอย่างครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่า และที่ผ่านมารัฐบาลไทยที่เป็น “หุ่นเชิด” ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มี นพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ไปสมรู้ร่วมคิดยอมลงนามในแถลงการณ์ร่วมยอมให้ฝ่ายกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งที่ผ่านมาทั้งศาลปกครองและปปช.ก็ได้ชี้ความผิดออกมาแล้ว
สิ่งที่ต้องทำความเข่้าใจก็คือ เราไม่อาจปฏิเสธอำนาจศาลโลกได้เลยหรือ คำตอบก็คือไม่จริง เพราะศาลโลกไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่มย่ามในเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง และที่สำคัญหากประเทศคู่กรณีไม่ยอมรับแล้วศาลโลกจะเข้ามาแส่ไม่ได้เป็นอันขาด
ขณะเดียวกัน “ศาลโลก” ไม่ใช่ศาลยุติธรรมในประเทศที่มีผลบังคับว่าเมื่อมีคำตัดสินออกมาแล้วทุกฝ่ายต้องยอมรับ
ดังนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าจนมาถึงรัฐบาลปัจจุบันก็คือล้วนมีเจตนายกแผ่นดินให้กับฝ่ายกัมพูชา หากพูดให้แคบลงมาก็คือ ต้องการยกพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยสมบูรณ์ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการค้า ธุรกิจสัมปทานของคนในรัฐบาลบางคนเท่านั้น ซึ่งนาทีนี้รับรู้กันไปแล้วว่าเป็นใคร มีครอบครัวไหนบ้างที่ได้ประโยชน์จากการเสียดินแดนโดยใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือในครั้งนี้
สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อไปนับจากนี้ก็ต้องถามคนไทยว่า จะยอมรับหรือไม่หากศาลโลกตัดสินให้พื้นที่ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา จะนิ่งเฉย เพราะเกรงว่าจะกระทบกับความสัมพันธ์ทางการค้า และความเป็นเพื่อนบ้านระหว่างกันหรือไม่ และหากมีการเคลื่อนไหวคัดค้านก็จะกลายเป็นว่าทำลายบรรยากาศ ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่กำลังไปด้วยดีหรือไม่
นาทีนี้ขึ้นอยู่กับคนไทยว่าจะเลือกแบบไหน!!
