ผ่าประเด็นร้อน
หากนับจากวันนี้ก็ถือว่าเริ่มนับถอยหลังสำหรับคดีปราสาทพระวิหารที่ทางฝ่ายกัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ว่านอกจากไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารแล้วยังต้องเสีย “พื้นที่โดยรอบปราสาท” ด้วยหรือไม่ และกินอาณาบริเวณไปถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยหรือไม่
คำถามก็คือ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคนไทยยอมรับได้หรือไม่ ยอมรับว่าการเสียดินแดน เสียอธิปไตยเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะหากไปเคลื่อนไหวคัดค้านจะทำให้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาอย่างนั้นหรือไม่
ทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกันได้รับความกระทบกระเทือนหรือไม่ และ สรุปก็คือ เมื่อศาลโลกตัดสินออกมาอย่างไรคนไทยทุกคนก็ต้องก้มหน้ายอมรับอย่างนั้นหรือ!!
นั่นเป็นสารพัดคำถามที่ทั้งมีไปถึงคนไทยทั้งชาติ รวมไปถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ามีความจำเป็นต้องเสี่ยงกับคำพิพากษาของศาลโลกแค่ไหน
เวลานี้หากสังเกตให้ดีจะพบว่า รัฐบาลกำลังโหมสร้างกระแสให้เห็นว่า “สู้เต็มที่” โดยเตรียมยกคณะไปแถลงด้วยวาจาตามกำหนดตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนนี้ตามกำหนดต่อจากฝ่ายกัมพูชาที่แถลงด้วยวาจาก่อนหน้านั้น พร้อมทั้งแสดงให้คนไทยเห็นว่าไม่มีการปิดบัง โดยเตรียมถ่ายทอดทางโทรทัศน์ระหว่างที่ตัวแทนฝ่ายไทยแถลงต่อศาลโลกแบบคำต่อคำโดยตลอด ทุกขั้นตอน
แต่ความหมายก็คือ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทยสู้เต็มที่แล้ว แต่ถ้าแพ้เราก็ต้องยอมรับในคำตัดสินของศาลโลก หากงอแงก็จะไม่มีใครคบ” นี่คือท่าทีที่แสดงออกมาในทำนองเดียวกันตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต และแถมด้วย รองนายกรัฐมนตรี พงศ์เทพ เทพกาญจนา ในฐานะหัวหน้าคณะตัวแทนรัฐบาลไทยสู้คดีในศาลโลกก็พูดในทำนองเดียวกัน
ถ้าหากกระชับประเด็นให้แคบเข้ามาอีกก็มีอยู่สองเรื่องเท่านั้น คือ ทำไมเราต้องยอมรับอำนาจศาลโลก และสอง ถ้าเสียดินแดนเพิ่มแล้วคนไทยยอมรับหรือไม่!!
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาจากข้อเรียกร้องของคนไทยที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้ก็คือ กำลังเรียกร้องให้รัฐบาล “ถอนตัวออกมาทันที ไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก” เพราะ ที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2505 ที่ศาลโลกตัดสินให้ไทยพ่ายแพ้คดีต้องยกปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชา โดยไม่ได้พิพากษาหรือกล่าวถึงเรื่องดินแดนโดยรอบ รวมไปถึงอัตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนตามที่ฝ่ายกัมพูชายกขึ้นมาอ้างแต่อย่างใด และนับจากนั้นเป็นต้นมารัฐบาลทุกยุคก็ไม่เคยต่ออายุปฏิญญารับรองเขตอำนาจศาลโลก
อีกทั้งที่ผ่านมากว่า 50 ปี ไทยก็ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลกอย่างครบถ้วนแล้ว และก้อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นคู่กรณีอย่างกัมพูชา รวมทั้งประเทศมหาอำนาจอื่นๆก็ไม่คัดค้าน เท่ากับยอมรับการกระทำของฝ่ายรัฐบาลไทยมาตลอด เพิ่งมาตื่นตัวยื่นเรื่องให้มีการตีความคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ ถือว่ามีเจตนามิชอบ และหากไทยไปเล่นตามเกมดังกล่าวถือว่ามีเจตนาสมคบคิดเพื่อยกดินแดนให้กับกัมพูชา โดยใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือในการปิดปากคนไทย
ทุกอย่างมีการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพราะก่อนหน้านี้คนในรัฐบาลกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเราต้องยอมรับคำพิพากษาของศาลโลก ไม่เช่นนั้นจะถูกบอยคอต ความหมายก็คือ “ไม่มีใครคบ” ว่างั้นเถอะ ซึ่งไม่จริง เป็นการตบตา เพราะในความเป็นจริงศาลโลกไม่ใช่ศาลยุติธรรมในประเทศที่จะมาตัดสินในเรื่องที่เกี่ยวกับขอบเขตอธิปไตยเหนือดินแดนของประเทศใดก็ตาม หากไม่ได้รับความยินยอมจากประเทศคู่กรณี และที่ผ่านมามีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่ยอมให้ศาลโลกเข้ามาตัดสินข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องดินแดน
สิ่งที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกำลังเคลื่อนไหวอยู่ก็คือ ศาลโลกไม่ต่างจากศาลไทยที่เมื่อตัดสินอะไรออกมาแล้วก็ต้องยอมรับ และเมื่อพิจารณาจากคำพูดของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่ถือว่าเป็นแม่งานหลักในการสู้คดีก็แย้มออกมาล่วงหน้าแล้วว่า “มีแต่เจ๊ากับเจ๊ง” ให้ทำใจล่วงหน้า นั่นคือ ไม่มีทางชนะ ความหมายที่ต้องทำใจล่วงหน้าคือ “ไทยต้องเสียพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติม” ส่วนจะเป็นเท่าใด เฉพาะแค่พื้นที่โดยรอบ หรือรวมไปถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องลุ้น แต่ไม่ว่าจะออกมาแบบไหนไทยก็มีแต่เสียเปรียบ เสี่ยงเสียดินแดนเพิ่มวันยังค่ำ เพียงแต่ว่ามากหรือน้อยเท่านั้น
ดังนั้นนาทีนี้สิ่งที่คนไทยเรียกร้องก็คือ ให้รัฐบาลประกาศทท่าทีอย่างเป็นทางการให้ถอนตัวไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก นั่นคือไม่ว่าศาลโลกตัดสินออกมาแบบไหน กระทบต่ออธิปไตยเราต้องสงวนสิทธิ์ไม่ยอมรับเป็นอันขาด และที่สำคัญอย่าหวังฉวยโอกาสเล่นการเมืองทำลายฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ว่าไปยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่แรกและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องมาตามแก้ไขนั้น ถือว่าคนละเรื่อง เพราะถึงอย่างไรกรณีของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในยุคก่อนหน้านี้ก็ต้องถูกตามเช็กบิลอยู่แล้ว แต่สิ่งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต้องรีบทำทันทีคือ ถอนตัวออกมา ทำไมต้องไปเสี่ยงกับการเสียดินแดน เพราะถ้าไม่ทำถือว่ามีเจตนาขายชาติ
เป็นไปได้ว่าหากรัฐบาลยังนิ่งเฉยเล่นเกมตบตาแบบนี้ต่อไป กรณีเสียดินแดนให้กัมพูชานี่แหละที่จะเป็นปมชนวนทำให้เกิดการต่อต้านกันอย่างขนานใหญ่!!