“มาร์ค” เย้ย “แม้ว” จิตวิปริตตัวจริง แนะ รบ.หุบปาก-เดินหน้าสู้คดีพระวิหาร

หน.ปชป.โต้ “ทักษิณ” สไกป์สาวกแดง บอกจิตวิปริตตัวจริงคือรวยไม่รู้จักพอ โกงไม่ยอมรับผิด ยันคดีสลายไพร่แดงว่าไปตามจริง อีกด้านแนะรัฐบาลหุบปากแล้วสู้คดีปราสาทพระวิหาร ชี้คิดแต่เรื่องการเมือง ไม่สนใจเดินหน้ารักษาประเทศ

วันนี้ (11 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตรนายกรัฐมนตรี สไกป์ตำหนิพรรคประชาธิปัตย์ องค์กรอิสระ ว่าเป็นตัวที่ทำให้ไม่เกิดความยุติธรรมนั้น ว่า เป็นความพยายามเล่นมุกเดิมปลุกกระแส บอกว่ามีคนจิตวิปริต ตนก็ว่าคนจิตวิปริตมีจริงๆ ซึ่งเป็นพวกที่รวยแล้วไม่รู้จักพอ พวกที่โกงแล้วไม่ยอมรับผิด ก็จิตวิปริต พวกที่ทำได้กระทั่งเอาผู้สนับสนุนตัวเองมาวางแผน ให้เกิดความรุนแรง จนเกิดการล้มตายก็จิตวิปริตมาก ส่วนการตั้งคดีก่อการร้ายให้ แกนนำ นปช.นั้น ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ปกปิด ปกป้อง เพื่อให้ฆาตกรลอยนวลนั้น ตนไม่เห็นจะมีความเกี่ยวพันอะไรเลย ก็ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ข้อมูล แล้วก็ข้อกฎหมาย เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณากันไป ความจริงปัญหาเรื่องข้อหาการก่อการร้ายนี้มันก็เริ่มต้นจากฝ่ายพรรคพลังประชาชน แล้วก็พรรคเพื่อไทย ซึ่งกล่าวหาทางกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่าพอใช้วิธีการรูปแบบบางรูปแบบเป็นการก่อการร้าย และสุดท้ายกระบวนการยุติธรรมก็จะพิสูจน์ ซึ่งปัญหาของคนจิตวิปริตก็คือว่า เวลาชนะคดีก็ทุกอย่างดี เวลาแพ้คดีก็บอก 2 มาตรฐาน

“ที่มีการเรียกร้องให้ต่อต้านพวกล้มล้างประชาธิปไตยนั้น ผมก็เห็นด้วย ว่าประชาธิปไตยยังไม่สมบูรณ์ ถูกคุกคามโดยปัญหาของนักการเมืองซึ่งไม่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เวลาที่ตัวเองไม่ได้อำนาจ ก็สร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เวลาตัวเองมีอำนาจก็เอาอำนาจนั้นสร้างความร่ำรวยให้กับตนเอง สิ่งที่เป็นคุกคาม ซึ่งตนก็อยากเรียกร้องเหมือนกันว่า ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ย้ำถึงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภา ก็จะนัดประชุมเพื่อลงมติให้ถูกต้องแล้ว ก็เป็นการแก้ปัญหา ซึ่งระหว่างนี้กรรมาธิการทั้ง 3 คณะก็คงทำงานได้ เพราะการตั้งกรรมาธิการตั้งขึ้นในขณะที่องค์ประชุมครบ

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีการต่อสู้คดีและตีความคำตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ ว่า เวลานี้รัฐบาลไม่ควรพูดอะไร รัฐบาลมีหน้าที่ไปต่อสู้คดีให้ชนะ แล้วก็อยู่ในวิสัยที่จะชนะได้ เพราะสิ่งที่ประเทศไทยต้องการพิสูจน์คือสิ่งที่ศาลเคยตัดสินเอาไว้แล้ว ศาลไม่ควรจะไปกลับไปเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของตนเอง ว่าขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตัวเองอยู่ตรงไหน แต่ที่น่าเศร้าคือหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีมหาดไทย คิดแต่เรื่องของการเมืองถึงพยายามมาบอกว่า ชนะแพ้ก็แบ่งกันไปคนละครึ่งทำนองนั้น ซึ่งมันเป็นการแสดงออกถึงความไม่รับผิดชอบ เหตุผลก็ไม่เป็นเหตุผลเพราะว่า 1.บอกว่า ทีมทนายทีมเดิม ตนก็บอกว่าคุณก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าคุณเห็นว่าคุณทำได้ดีกว่านี้ 2.ที่บอกว่ารัฐบาลที่แล้วเป็นคนเอาเรื่องขึ้นไปศาลโลกนั้น รัฐบาลกัมพูชาเอาไปขึ้น แต่ถามว่ารัฐบาลกัมพูชาทำไมเอาไปขึ้น เพราะประเทศไทยขณะนั้นต้องปกป้องอธิปไตย ปกป้องจากการที่รัฐบาลของพรรคพลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย หรือไทยรักไทยไปยอมให้กัมพูชาขึ้นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในนามของกัมพูชาประเทศเดียว ก็เลยทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้น

“เราก็คงต้องฟังดูว่าการต่อสู้จะเป็นอย่างไร เพราะทราบว่าจะมีการถ่ายทอด แต่ว่าเราไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็คงไม่ได้ เพราะว่าไปวิพากษ์วิจารณ์มันก็จะไม่เป็นผลดี เพราะฉะนั้นการต่อสู้คดีนี้ เมื่อเราเป็นหน้าที่ของรัฐบาล รัฐบาลก็รู้ว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่สามารถที่จะมาเปิดเผย ปรึกษากับใครต่อใครได้ว่าจะไปต่อสู้อย่างไร รัฐบาลก็ต้องไปทำหน้าที่แล้วก็ต้องรับผิดชอบก็เท่านั้นเอง แต่ก็มีหลายเรื่องที่ผมเห็นว่าทำแล้วไม่เป็นผลดีกับเรา เช่น การให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศ แล้วก็มีการกระทำบางอย่างเช่นที่รัฐมนตรีกลาโหมไปรับคำเชิญเดินทางไปที่ปราสาทพระวิหาร หลายเรื่องนี้ผมคิดว่าทำไปแล้วมีแต่เสียเปรียบ”

เมื่อถามว่า เหมือนกับรัฐบาลแบไต๋ว่าหากแพ้คดีพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องรับผิดชอบด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็คิดอย่างนี้ คิดแต่เรื่องการเมือง ไม่ได้มีความสนใจ ความรับผิดชอบในการที่จะเดินหน้ารักษาผลประโยชน์ของประเทศเลย และพฤติกรรมบางอย่างของคนในรัฐบาล ก็กลายเงื่อนไข หรือหลักฐานให้ฝ่ายกัมพูชานำไปอ้างได้ ตรงนี้จะไปเรียกให้คนอื่นรับผิดชอบได้ยังไง