xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สิ่งที่ได้จากศึกพระวิหาร “ปชป.-พท.”ไม่มีใครดีกว่ากัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจากที่ประชาชนคนไทยได้ฟังถ้อยแถลงด้วยวาจาของ “ราชอาณาจักรกัมพูชา” นำโดย “นายฮอ นัมฮง” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และถ้อยแถลงด้วยวาจาของ “นายวีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายแห่ง “ราชอาณาจักรไทย” เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า น่าจะจับประเด็นและสัญญาณบางประการได้ว่า ใครมีโอกาสแพ้ หรือใครมีโอกาสชนะมากกว่ากัน

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากข้อกฎหมายและหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำมาต่อสู้กันในศาลโลก ซึ่งคนไทยทั้งชาติติดตามฟังด้วยหัวใจอันระทึกแล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่า ศึกแห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้ยังถูกลากมาทำสงครามภายในประเทศเพื่อดิสเครดิตทางการเมืองอย่างดุเดือดเลือดพล่านอีกด้วย

แน่นอน ตัวละครเอกของสงครามน้ำเน่าครั้งนี้ จะเป็นใครเสียมิได้ นอกจาก “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคประชาธิปัตย์” โดยทั้งสองฝ่ายต่างเล่นเกมการเมือง สาดสีเข้าใส่กันอย่างน่าสะอิดสะเอียน

กล่าวคือ พรรคประชาธิปัตย์เปิดฉากด้วยการกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยสู้ศึกพระวิหารไม่เต็มที่ เนื่องเพราะมีความสัมพันธ์และมีผลประโยชน์แนบแน่นกับรัฐบาลฮุนเซน ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ตอบโต้กลับว่า ถ้าหากประเทศไทยจะแพ้ ก็เป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ ดังจะเห็นได้จากคำให้สัมภาษณ์ของ “นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ใช้ทนายชุดเดิม” ที่ตั้งโดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองพรรคต่างมีพฤติกรรมซึ่งไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย และถ้าจะว่าไปแล้ว ต่างก็มีส่วนสำคัญถ้าหากประเทศไทยแพ้ศึกปราสาทพระวิหารในเวทีศาลโลก

กล่าวสำหรับพรรคเพื่อไทย พฤติกรรมของพรรคนี้เป็นที่เด่นชัดแล้วว่า มีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับรัฐบาลของนายฮุนเซนแค่ไหน ไม่เช่นนั้นนายฮุนเซนคงไม่อ้าแขนต้อนรับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรด้วยความเต็มอกเต็มใจถึงขนาดแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวของนายฮุนเซน รวมถึงดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา ก่อนที่นักโทษชายทักษิณจะขอลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา

ไม่นับรวมการที่รัฐบาลนายฮุนเซนเปิดประเทศต้อนรับนักโทษชายหนีคดีอย่างเอิกเกริกหลายครั้งหลายครา กระทั่งมีการถ่ายภาพหมู่ร่วมกันของครอบครัวชินวัตรและครอบครัวนายฮุนเซนเอาไว้เป็นหลักฐานแสดงความสัมพันธ์อันแนบแน่น หรือในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีก่อนหน้านี้ขณะที่นักโทษชายทักษิณไปเล่นน้ำที่กัมพูชา คนเสื้อแดงต่างก็พากันยกป้ายเทิดทูนนาย ฮุนเซนกันอย่างโจ๋งครึ่ม

ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทาสในเรือนเบี้ยของนักโทษชายทักษิณ เมื่อเดินทางไปร่วมฟังการแถลงด้วยวาจาที่กรุงเฮกก็ยกมือไหว้นายฮอ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยความนอบน้อม ทั้งๆ ที่ทั้งสองประเทศกำลังขัดแย้งในเรื่องของดินแดนอย่างหนัก แถมยังออกตัวตั้งแต่ไก่โห่ว่า ผลของคดีมีแต่เจ๊งกับเจ๊า

ส่วนบุคคลสำคัญของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกหนึ่งคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยคือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็มีท่าทีไม่ต่างกัน โดยออกมาระบุชัดเจนว่า “เมื่อศาลโลกตัดสินออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับ” เพราะเกรงว่า จะไม่มีใครคบประเทศไทย ประหนึ่งปูผ้าขาวปิดปากประชาชนคนไทยหากศาลโลกมีคำพิพากษาเป็นโทษกับประเทศไทย ทั้งๆ ที่นี่คือเรื่องคอขาดบาดตาย เนื่องจากผลที่เกิดขึ้นคือ ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดนให้กัมพูชา

หรือถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นก็ต้องโยงถึงกรณีที่รัฐบาลหุ่นเชิดสมัคร สุนทรเวช โดยนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปเซ็นลงนามในแถลงการณ์ร่วม(Joint communiqué) ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาซึ่งให้การรับรองรับแผนที่แนบท้ายการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา

แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว ท่าทีของพรรคเพื่อไทยก็มิได้เกินเลยไปจากความคาดหมาย เพราะเป็นที่รับรู้ว่า มีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง และเหตุผลนั่นจะเป็นอะไรเสียไม่ได้นอกจากแผนความร่วมมือของนายฮุนเซนกับนายใหญ่คนเสื้อแดงที่หวังจะเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนทางบกในบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเส้นเขตแดนทางทะเล ซึ่งนำไปสู่ผลประโยชน์ในแหล่งพลังงานจำนวนมหาศาลบริเวณอ่าวไทยที่จะตกเป็นของกัมพูชา ซึ่งนายใหญ่คนเสื้อแดงเชื่อว่า เจรจาต้าอ่วยสะดวกกว่าและแสดงความมุ่งมาดปรารถนาที่จะทำมาหากินร่วมกับกัมพูชาอย่างออกนอกหน้า

ดังนั้น จึงไม่มีใครแปลกใจเมื่อมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์สู้เพื่อเขมรหรือสู้เพื่อแพ้มากกว่าสู้เพื่อชนะ

ตัดฉากกลับมาที่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องบอกว่า มีพฤติกรรมไม่ต่างกัน เพราะขณะที่มีการปล่อยข่าวว่าพรรคเพื่อไทยสู้เพื่อแพ้ ก็มีคำถามย้อนกลับไปเช่นกันว่า แล้วพรรคประชาธิปัตย์กระทำการเพื่อปกป้องแผ่นดินไทยดังที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่

ประการแรก ต้องไม่ลืมว่า ต้นตอแห่งความวุ่นวายทั้งหมดเกิดจากการที่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นไปเซ็นลงนามใน “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ.2543” หรือ MOU43 โดยสาระสำคัญอันเป็นชนักที่ไทยดิ้นไม่ออกก็คือ การยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 กระทั่งเป็นใบเบิกทางที่นำไปสู่การทำ MOU44 และ แถลงการณ์ร่วม(Joint communiqué) ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่ไทยให้การรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกและกัมพูชาใช้เป็นข้ออ้างในการต่อสู้ในศาลโลก

ประการที่สอง ต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้มีความแตกต่างจากพรรคเพื่อไทยในการแสวงหาผลประโยชน์ในแหล่งพลังงานเลยแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่ปรากฏข่าวนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลดอดไปเจรจาต้าอ่วยเรื่องพลังงานเป็นการลับกับ พล.อ.เตีย บันห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชาที่โรงแรมเพนนินซูลา ฮ่องกง

ไม่เช่นนั้นคงไม่ปรากฏข่าว สำนักงานปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลไทยในยุคของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้มีการเจรจาลับเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล กับนายซก อาน รองนายกฯกัมพูชา

แถมในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรียังแต่งตั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานคณะกรรมการร่วมกรอบเจรจาเอ็มโอยู 44 หลังจากที่มีการยกเลิกเอ็มโอยู 44 เป็นเวลา 1 ปี 15 วัน

ที่ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้ทั้งสองฝ่ายจะโจมตีกันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ทั้งสองพรรคกลับมีท่าทีไปในทิศทางเดียวกันคือ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร “ไทยต้องยอมรับมติของศาลโลก” ทั้งๆ ที่ทั้งสองพรรครู้อยู่เต็มอกว่า การสู้ครั้งนี้มีโอการแพ้มากกว่าชนะ เพราะศาลโลกไม่ใช่ศาลที่ให้ความยุติธรรมดังที่ประเทศไทยเคยได้รับบทเรียนมาแล้วในปี พ.ศ.2505 หากแต่เป็นศาลการเมืองที่พร้อมจะเขียนคำพิพากษาตามบงการของมหาอำนาจที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

ที่สำคัญคือ เดิมพันครั้งนี้มิใช่มีเป้าหมายเพียงดินแดนของประเทศไทย หากแต่หมายมั่นปั้นมือแหล่งพลังงานมหึมาในอ่าวไทย ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงานของโลกเลือกแล้วที่จะทำธุรกิจกับกัมพูชามากกว่าไทย

และในความเป็นจริงแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดก็คือไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก

ด้วยเหตุดังกล่าว ถ้าหากไทยแพ้ในการยื่นขอตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารในครั้งนี้ ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องรับผิดชอบร่วมกัน ที่สำคัญคือทั้งสองพรรคจะถูกจารึกเอาไว้ชั่วลูกชั่วหลานว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้ไทยเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 15



3 ภาพที่เพียงแค่เห็นรู้ได้ว่า พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงมีทัศนคติเช่นไทยต่อรัฐบาลนายฮุนเซน
กำลังโหลดความคิดเห็น