ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกว่า ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งสำหรับคำปราศรัยผ่านสไกป์ครั้งล่าสุดของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ผ่านการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556
เพราะเป็นการสไกป์ที่สะท้อนอกุศลจิตที่แท้จริงของอดีตนายกรัฐมนตรีที่คอรัปชั่นโกงบ้านกินเมืองจนถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทออกมาได้อย่างหมดเปลือกว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคิดเยี่ยงไรต่อ 3 อำนาจสูงสุดของราชอาณาจักรไทยคือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจตุลาการ รวมถึงสถาบันเบื้องสูง
ในการสไกป์เนื่องในโอกาสที่คนเสื้อแดงฉลองครบรอบการก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 นักโทษชายหนีคดีทักษิณประกาศรายชื่อศัตรูของเขาออกมาอย่างชัดเจน โดยแทบจะมิต้องตีความหรือแปลความหมายให้ยุ่งยากแต่ประการใด
ศัตรูหมายเลขหนึ่งที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณระบุเอาไว้ก็คือ ศาล ทั้งศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญ
“ในสมัยก่อนศาลสูงจะเป็นที่เคารพมาก เพราะคำพิพากษาจะใช้ในการปฏิบัติของศาลล่าง แต่วันนี้ศาลสูงบางคนไปละเมิดหลักการของกฎหมาย ไปพิพากษา จนศาลชั้นต้นหัวเราะเยาะ บางคนทำให้วิชาทางนิติศาสตร์สอนในมหาวิทยาลัยไม่ได้ เพราะความเอนเอียงทางการเมืองเท่านั้น เงื่อนไขแรกคือเราจะต้องลดความเกลียดชัง อคติ”
“เราต้องช่วยกันรักษาประชาธิปไตย ต่อต้านผู้ที่จะมาล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สิ่งที่เราต้องการคือขอให้เห็นหัวประชาชนบ้าง ไม่ใช่อยากให้มาก็มา อยากให้ไปก็เตะออกไป การใช้องค์การอิสระ ศาลพร่ำเพรื่อ ไม่มีผลดีกับใครเลย ทั้งคนสั่งและความน่าเชื่อถือของประเทศ วันนี้ตนไม่กลับบ้านไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอให้ประเทศไทยกลับไปเป็นระบบที่ดี อย่าทำแบบที่ผ่านมาเลย มันช้ำไปหมดแล้ว และคนไทยฆ่ากันมันไม่ใช่เรื่องดี ขอเถอะครับ อย่าทำเพื่อตอบสนองอารมณ์และจิตวิปริตของใคร ถ้าจิตวิปริตไม่กล้าฆ่าคนถึงขนาดนี้”
เรียกว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ นช.ทักษิณ ก็ไม่เคยหลุดพ้นจิตใต้สำนึกที่ในใจมีแต่ความอคติที่ถูกตัดสินจำคุกและยึดทรัพย์จนต้องหนีระหกระเหินอยู่ไม่เป็นหลักแหล่งดังเช่นปัจจุบัน เพราะเมื่อพิจารณาถ้อยคำแล้ว นช.ทักษิณ พุ่งเป้าโจมตีศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เป็นความเคียดแค้น เนื่องจากในวันนี้นักโทษชายทักษิณสามารถยึดครองอำนาจอธิปไตยของชาติชนิดสั่งซ้ายหันขวาหันได้แล้วถึง 2 อำนาจคืออำนาจบริหารผ่านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรผู้เป็นน้องสาว และอำนาจนิติบัญญัติผ่านบรรดาข้าทาสในเรือนเบี้ยทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่พร้อมปฏิบัติการตามคำสั่ง เหลือเพียงอำนาจตุลาการเท่านั้นที่ยังไม่สามารถจัดการได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคงข่มขู่ศาลด้วยการอ้างอำนาจประชาชนว่า พร้อมจะลุกฮือขึ้นมาปฏิบัติการตอบโต้ในทุกรูปแบบเหมือนเช่นที่เคยกระทำมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
สิ่งที่ต้องวิเคราะห์คือ นักโทษชายทักษิณมีเป้าหมายเช่นไร
เพราะต้องไม่ลืมว่า ผู้พิพากษาดำเนินงานภายใต้พระปรมาภิไธย และทุกครั้งที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้พิพากษาจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณ พร้อมน้อมนำพระบรมราโชวาทรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปปฏิบัติงาน
ดังนั้น สังคมจึงมีสิทธิตั้งคำถามกลับไปว่า การที่ นช.ทักษิณด่าศาลนั้น มีเจตนากระทบถึงสถาบันเบื้องสูงหรือไม่
ขณะที่ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญ นักโทษชายทักษิณเปิดฉากโจมตีอย่างหนักไม่แพ้กัน
“วันนี้ทั้งรัฐบาล ส.ส. ส.ว. ได้พยายามอย่างยิ่งจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตอนแรกคิดจะแก้ทั้งฉบับ ไม่ยอมก็ไม่ว่ากัน แต่พอมาขอแก้รายมาตราก็ไม่ พวกขัดความความเจริญของประเทศ มาขวาง ขณะที่ศาลก็รับไว้แบบเหนียมๆ รับ 3 ไม่รับ 2 เหมือนเล่นลิเก เลิกเล่นลิเกได้แล้ว เพราะในประชาธิปไตย อำนาจถูกแบ่งไว้แล้วเป็นนิติบัญญัติ ตุลาการ และบริหาร หลักการคือการถ่วงดุล แต่วันนี้กลับมีการก้าวล่วง ซึ่งหากก้าวล่วงมากขึ้น จะเกิดความเสียหายกับประเทศ ในเรื่องความมั่นใจของระบบ ผมขอกราบวิงวอนให้ท่านทั้งหลายรักษาความยุติธรรม เห็นแก่บ้านเมืองเถอะ มิฉะนั้นเราก็ต้องใช้อำนาจของประชาชน เพราะเรามาจากประชาชน เมื่อไรการก้าวล่วงเกิดขึ้นจนเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ประชาชนก็รับไม่ได้ พวกเราในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชน เราก็ไม่รับเช่นกัน”
ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้ว ต้องบอกว่า สิ่งที่ นช.ทักษิณ กำลังเดินเกมเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอย่างสุดตัวและดูเหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณรบให้คนเสื้อแดงนั้น เต็มไปด้วยวาระซ่อนเร้น เพราะการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 คือลิดรอนสิทธิของประชาชนในการปกป้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าทำสำเร็จ จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีทั้งทุนมีทั้งอำนาจ และสามารถตัดเสี้ยนหนามที่ขวางหูขวางตาระบอบทักษิณออกไปด้วย
หรือประเด็นการแก้กฎหมายให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด นายใหญ่จึงต้องวางยุทธศาสตร์ใหม่ โดยให้มี ส.ว.จากการเลือกตั้งเข้าไปทำหน้าที่กลั่นกรององค์กรอิสระแทน ส.ว.ระบบลูกผสมในปัจจุบัน เพื่อที่รัฐบาลจะได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จควบคุมบงการได้ทั้งสองสภาเพราะส่วนหนึ่งย่อมมั่นใจในการเลือกตั้ง
ขณะที่มาตรา 190 เป็นที่ชัดเจนว่ามาตราดังกล่าวถือเป็นการตัดสิทธิประชาชนและตัดสิทธิ ส.ส. ในการตรวจสอบการทำสัญญากับต่างประเทศ ซึ่งอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติ ระหว่างนายใหญ่คนเสื้อแดงกับประเทศต่างๆ
ทั้งนี้ การที่นักโทษชายทักษิณสไกป์ข่มขู่สถาบันศาล ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีวาทกรรมเช่นนี้ เช่นเดียวกับการประกาศว่า จะไปแสวงหาความยุติธรรมจากต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาเขาก็ใช้วิธีนี้ให้เห็นมาแล้วโดยมีนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมเป็นมือเป็นเป็นไม้ในการทำงานให้
เช่นเดียวกับเหตุการณ์จลาจล 10 เมษายน 2553 ที่นักโทษชายหนีคดีบิดเบือนและโกหกอย่างน่าไม่อายว่า “คนเสื้อแดงมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่กลับได้โลงศพ เรื่องนี้ไม่ควรมาเกิดขึ้นในประเทศไทยเลย หากผู้มีอำนาจไม่มีจิตใจอำมหิต การใช้อำนาจเข่นฆ่าประชาชนไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทย วันนี้เราได้แต่มารำลึกไว้อาลัยและเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องไม่เกิด โดยเฉพาะถ้าเราเป็นรัฐบาล” ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว มิได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
นักโทษชายทักษิณคงลืมไปว่า คนที่ทำให้เกิดความรุนแรงในเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 คือใคร เพราะถ้าคนที่มีจิตวิปริตและอำมหิตที่สุดไม่สั่งการจากต่างประเทศให้ชายชุดดำออกปฏิบัติการสร้างสถานการณ์ฆ่าทหารและมวลชนเสื้อแดงของตนเอง การสูญเสียย่อมจักไม่เกิดขึ้น
ที่สำคัญคือ นี่มิใช่การยัดเยียดข้อหาก่อการร้ายให้กับแกนนำคนเสื้อแดง หากแต่เป็นการดำเนินคดีที่ถูกต้องและตรงไปมาสมกับความผิดที่พวกเขาได้ก่อ เพราะถ้าแกนนำคนเสื้อแดงไม่สั่งการให้นำน้ำมันมาคนละขวดเพื่อเผาบ้านเผา เมือง ก็ย่อมไม่เกิดเหตุการณ์เผาเซ็นทรัลเวิลด์และเผาศาลากลางในหลายจังหวัด
ประจักษ์พยานที่ชัดเจนคือ ผลการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ที่มี “นายคณิต ณ นคร” เป็นประธานได้สรุปยืนยันการดำรงอยู่ของชายชุดดำ ซึ่งใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่ทั้งก่อนและหลังวันที่ 10 เมษายน 2553 โดยปรากฏหลักฐานมีผู้เสียชีวิตเพราะชายชุดดำ 9 คน แยกเป็นทหาร 6 คน ตำรวจ 2 คนและกลุ่มคนรักษ์สีลม 1 คน
ที่สำคัญคือ คอป.ระบุชัดเจนว่า กลุ่มชายชุดดำจับอาวุธยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่นั้นได้รับการสนับสนุนจากการ์ดคนเสื้อแดงหลายครั้ง อาทิ บริเวณแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553, บริเวณสวนลุมพินีช่วงก่อนสลายการชุมนุม, บริเวณถนนราชดำริถึงแยกสารสิน และแยกเฉลิมเผ่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 รวมทั้งบริเวณวัดปทุมวนาราม ก็มีการปรากฏตัวของชายชุดดำ ก่อนที่จะมีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 6 คนในวัดดังกล่าวด้วย
ดังนั้น ความจริงที่นช.ทักษิณควรจะพูดถึงก็คือ การชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบ เพราะเป็นการชุมนุมที่มีอาวุธ แถมมีอาวุธสงคราม กระทั่งทำให้เกิดวินาศกรรมระเบิดถล่มเมืองเกือบแทบทุกวันตามสถานที่สำคัญหลายๆ แห่ง
และสุดท้ายที่จะลืมเสียไม่ได้คือ การประกาศ “สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น” เพราะนั่นหมายความว่าเขาไม่รู้จักคำว่า พอ ไม่รู้จักคำว่าพอเพียง และนั่นหมายความว่า นช.ทักษิณ พร้อมแล้วที่จะเล่นเกมแรงอีกครั้งไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งเป้าหมายปลายทางที่นช.ทักษิณ ต้องการยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงคือล้มรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 พุ่งเป้าล้ม-รื้อ-จัดระเบียบ องค์กรอิสระ สถาบันศาล ที่นช.ทักษิณเครียดแค้นเสียยิ่งกว่าสิ่งใด รวมไปถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งถือเป็นก้างขวางคอนายใหญ่แห่งดูไบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...โทษฐานมาที่ขัดขวางการสถาปนาระบอบทักษิณให้กลืนกินประเทศไทยแบบสะดวกโยธิน