xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โลภ 50 ปี 5 ล้านล้านบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เป็นที่เชี่อกันว่า การกู้เงินครั้งมโหฬาร 2,000,000 ล้านบาท ครั้งนี้

....จะสร้างความร่ำรวยให้กับนักการเมืองพรรคเพื่อไทย จำนวนมาก

โดยเฉพาะการ “กินหัวคิว” จากการจ้างเอกชนรับเหมางาน

ที่สำคัญคนกู้เงินเหล่านี้ ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ถึงอีก 50 ปี ข้างหน้า

เพราะแก่ตายกันเกือบทั้งสภา...ยังใช้หนี้ไม่หมด

ทั้งทักษิณ ชินวัตร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กิตติรัตน์ ณ ระนอง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ....ฯลฯ

อีก 50 ปี คนไทยต้องใช้หนี้ทั้งหมด 5,000,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินต้น 2,000,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3,000,000 ล้านบาท

เงินจำนวนดังกล่าว จะถูกนำมาใช้ในโครงการภายใต้แผนงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศนั้น 3 ยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้

1. ยุทธศาสตร์ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าทางถนนสู่การขนส่งที่มีต้นทุนต่ำกว่า วงเงิน 354,560 ล้านบาท
1.1) แผนงานพัฒนาและปรับปรุงโครงข่ายทางรถไฟที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นโครงข่ายการขนส่งหลักของประเทศ
1.2) แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการชนส่งสินค้าทางลำน้ำและชายฝั่ง
1.3) แผนงานพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบเพื่อเชื่อมโยงกันฐานการผลิตและฐานการส่งออกที่สำคัญของประเทศ

2. ยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางและขนส่งไปสู่ศูนย์กลางของภูมิภาคทั่วประเทศและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงิน 1,042,376 ล้านบาท
2.1) แผนงานพัฒนาประตูการค้าหลักและประตูการค้าชายแดน
2.2) แผนงานพัฒนาโครงข่ายเชื่อมต่อภูมิภาค

3. ยุทธศาสตร์พัฒนาและปรับปรุงระบบขนส่งเพื่อยกระดับความคล่องตัว วงเงิน 593,801 ล้านบาท
3.1) แผนพัฒนาระบบขนส่งในเขตเมือง
3.2) แผนงานพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจหลักภายในประเทศ

นอกจากนั้น ยังมีแผนงานการส่งเสริมหรือสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศตามยุทธศาสตร์ วงเงิน 9,261 ล้านบาท

ทั้งนี้ในการจัดสรร “งบประมาณรายจ่ายประจำปี” เพื่อชำระหนี้เงินกู้ตาม พ.ร.บ.ให้แล้วเสร็จภายใน 50 ปี

จะเริ่มจัดสรรภายในปีที่ 11 นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งกำหนดวงเงินขั้นต่ำชำระหนี้แบบขั้นบันได โดยปีที่ 11-20 ไม่ต่ำกว่า 1% ของ 2 ล้านล้านบาท ปีที่ 21-30 ไม่ต่ำกว่า 2% ของ 2 ล้านล้านบาท ปีที่ 31-40 ไม่ต่ำกว่า 3% ของ 2 ล้านล้านบาท และปีที่ 41-50 ไม่ต่ำกว่า 4% ของ 2 ล้านล้านบาท

แปลไทยเป็นไทยก็คือ เอาเงินคนอื่นมาชำระหนี้แทน
 รัฐบาลอภิสิทธิ์ ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 วงเงิน 4 แสนล้านบาท เพื่อต่อสู้วิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นปลายปี 2551-2552

แต่ถูกสมุนพรรคเพื่อไทยโจมตีว่า ดีแต่กู้

ที่สำคัญ นสพ.มติชน นำไปขยายความในทำนองเดียวกัน

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กู้ 2,000,000 บาท บวกดอกเบี้ยอีก 3,000,000 ล้านบาท มติชน กลับสรรเสริญเยินยอไปเสียฉิบ

กลายเป็น...สันดานของสื่อบางฉบับไปโดยปริยาย

ก่อนหน้านี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ กู้เงินในรูปของ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้วยเหตุผลเร่งด่วนที่ไม่ต้องการให้มหาอุทกภัยสร้างความเสียหายซ้ำรอยเดิม แต่ล่าสุดกลับพบว่า งบดังกล่าวกลับเบิกจ่ายไป 1,550 ล้านบาทเท่านั้น

ยังมีการออก พ.ร.ก.ที่ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) 3 แสนล้านบาท และนำไปปล่อยกู้ให้สถาบันการเงินเพื่อปล่อยกู้ให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม และ พ.ร.ก.จัดตั้งกองทุนประกันภัย 5 หมื่นล้านบาท

มิหนำซ้ำยังโยกหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านบาท ไปอยู่กับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลกู้ได้เต็มที่

ด้วยข้ออ้างงว่า หนี้สาธารณะไม่ถึง 50 %

วันที่ 28 มี.ค.56 วันแรกของการประชุมสภาผู้แทน นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ..... (พ.ร.บ.กู้เงิน) จำนวน 2 ล้านล้านบาท ได้เริ่มขึ้น

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าประชุมสภาฯครั้งแรกในรอบปี บอกในที่ประชุมว่า “ทำไมการลงทุนดังกล่าวไม่ออกตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปกติ เพราะบทเรียนที่ผ่านมา ทำให้พบว่าโครงการใหญ่หลายโครงการถูกระงับ หรือเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ขาดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่วนการระบุไว้ในกฎหมายงบประมาณประจำปีไม่เอื้อต่อการลงทุนขนาดใหญ่ และใช้เวลายาวนาน และเมื่อการลงทุนไม่ต่อเนื่องทำให้ชาวต่างชาติที่จะมาลงทุนไม่มีความเชื่อมั่น”

“จะมีการดำเนินการตรวจสอบได้อย่างโปร่งใส และเข้มงวดกว่าโครงการที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.งบประมาณประจำปี หรือ ตามกฎหมายกู้เงินที่ผ่านมา เพราะได้กำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 , ระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการอีอ๊อกชั่น รวมถึงระเบียบที่เจ้าของโครงการจะดำเนินการ รวมถึงการประกาศราคากลางไว้ในทีโออาร์จัดซื้อจัดจ้างเพื่อความโปร่งใส ขณะเดียวกันรัฐบาลได้บัญชีแนบท้าย และเอกสารประกอบการชี้แจงที่ชัดเจนอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน”ยิ่งลักษณ์อ่านเอกสาธยายแบบไม่ใช้สมองพูดอีกเหมือนเดิม (ใช้ปากอย่างเดียว)

ข้อกังวลเรื่องการ “ฉ้อโกง” ตามนิสัยของนักการเมืองนอกประเทศ ถูกอธิบายแบบยอมรับด้วยคำพูดของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง

กิตติรัตน์ อธิบายการโกงเค้กก้อนนี้แบบขอไปทีว่า “วงเงิน 2 ล้านล้านบาท จะเป็นมูลค่าโครงการที่ดำเนินการทั้งหมด และไม่สามารถกู้เกินส่วนนี้ได้ ส่วนความกังวลว่าจะเกิดการคอรัปชั่นนั้น หากเป็นความหมายภาษาไทย คือบังหลวง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ฉ้อราษฎร์คือไถเงินคน แต่กรณีนี้คือบังหลวง ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้าง คำนวณราคากลาง เป็นที่ยอมรับกันใหม่แล้ว ต่างจากอดีตที่ไม่ชัดเจน รวมทั้งกรมบัญชีกลางได้มีมาตรฐานใหม่ในการเปิดเผยราคากลาง”

“เราคอรัปชั่นกันมานานแล้ว ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญขนาดจะปิดรูอะไรต่างๆ ได้ มันอาจมีกระบวนการอีกอันที่อยู่ฟากเอกชน คือว่าฮั้วกัน แล้วอาจมีกระบวนการอื่นอีก เช่น คนหน้าใหม่เข้ามา ไม่รู้หรือว่าไม่ใช่ที่ของคุณ คุณสร้างเสร็จ ผมตรวจรับงานช้าๆ ให้คุณเจ๊ง ขาดทุนไป จะได้เข็ด มันก็เป็นเรื่องที่ต้องตามกันต่อ” นายกิตติรัตน์กล่าว

กิตติรัตน์ ยังตอบคนเรื่องกับข้อสงสัยว่า “การชำระเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทในระยะเวลา 50 ปี แต่อยากให้อยากให้มองว่าสิ่งก่อสร้างจากเงินกู้ครั้งนี้จะอยู่ยาวไปอีกนานนับศตวรรษ อีกทั้งการกู้เงินยังเป็นการพิจารณาอย่างรอบคอบในกรอบวินัยการเงินการคลัง ?ซึ่งหากจะชำระเกินกู้ให้เร็วกว่าที่คำนวณก็แค่ชำระเงินต้นเพิ่มขึ้นซึ่งจะต้องคำนวณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ?

ที่สำคัญ กิตติรัตน์ ยอมรับว่า “การกู้เงิน2 ล้านล้านบาทจะมีดอกเบี้ย 3 ล้านล้านบาทเพราะเป็นการกู้ยาว 50 ปี แต่เนื่องจากเห็นว่าในประเทศไทยยังมีสภาพคล่องอีกมาก ดังนั้นการกู้เงินจะกู้จากภายในประเทศเกือบทั้งหมด เพื่อให้ดอกเบี้ยเกิดจากเงินกู้เกิดประโยชน์กับภายในประเทศ โดยหนี้ต่างประเทศขณะนี้อยู่ที่ 3-4 % ต่อจีดีพี เท่านั้น และยืนยันว่าการจัดงบประมาณจะลดการขาดดุลและเข้าสู่เป้าหมายการจัดงบสมดุลในที่สุด”

เขายืนยันเรื่องหนี้สาธารณะว่า “จะอยู่ในวินัยการคลัง หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะไม่สูงเกินกว่ากรอบ 60% แม้จะเกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็ยังอยู่ในกรอบนี้ โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ จะคอยรายงาน ความคืบหน้าการลงทุน ควบคู่ไปกับจีดีพี”

แต่ข้อมูลตรงกันข้ามจากฝ่ายค้าน กลับแสดงถึง “ข้อมูลใต้โต๊ะ” ของรัฐบาล

“การลงทุนในโครงการเหล่านี้ทำได้โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายฉบับนี้ เพราะการกู้เงินครั้งนี้เป็นก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็ไม่ได้อยู่แค่เรื่องของการคมนาคมเพราะด้านโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมของเราอยู่ในลำดับที่ 40 กว่าของโลก แต่องค์ประกอบอื่นเช่น ด้านสาธารณสุขนั้นเราอยู่ลำดับที่ 70 กว่า และด้านการศึกษาเราอยู่ในลำดับที่เกือบ 90 ซึ่งการพัฒนาประเทศนั้นองค์รวมทุกด้านต้องสอดคล้องกันด้วย” อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อธิบายถึงความจำเป็นของเงินกู้

“ทั้งนี้ เงินจำนวน 2 ล้านล้านบาทนั้น ไม่จำเป็นต้องกู้เพียงอย่างเดียว กฎหมายเกี่ยวกับการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนพึ่งจะผ่านการแก้ไขของสภาฯ ไปไม่นาน ถ้าใช้กฎหมายฉบับนี้ตัวเลขการลงทุนก็จะไม่สูงขนาดนี้”

เขายังบอกอีกว่า "สมัยที่พวกผมเป็นรัฐบาล พวกท่านคัดค้านการกู้เงิน บอกว่าสร้างหนี้ให้ประเทศ กู้มาโกง เก่งแต่กู้ รัฐบาลไปหาเสียงว่าจะไม่กู้ ขึ้นป้ายหาเสียงทั่วประเทศว่าจะล้างหนี้ให้ประเทศ ทุกโครงการที่หาเสียงไว้มีวิธีบริหารจัดการโดยที่ไม่ต้องกู้ แล้วทำไมวันนี้ท่านถึงต้องกู้เงิน วันที่พวกผมออกจากตำแหน่งรัฐบาล หนี้สาธารณะลดลงเหลือเพียง41% แต่วันนี้ยังไม่มีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะก็อยู่ที่ 45%แล้ว และที่บอกว่าจะใช้หนี้ภายใน 50 ปี รวมเป็นเงิน 5 ล้านล้านบาท โดยเป็นดอกเบี้ย 3 ล้านล้านบาทนั้น ท่านคำนวณบนฐานของดอกเบี้ยที่ต่ำอย่างทุกวันนี้ไปอีก 50 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ดอกเบี้ยจะต่ำอย่างนี้ไปอีกถึง 50 ปี ดังนั้นจะไม่ใช่แค่ใช้หนี้ชาติหน้า แต่ต้องเป็นชาติโน้น"

สรุปอีกครั้ก็คือ หลายชาติทีเดียว กว่า หนี้จะหมด !!





กำลังโหลดความคิดเห็น