สภาเปิดฉากประชุม รบ.กู้ 2 ล้านล้าน “กิตติรัตน์” ชี้ เพื่อรับ AEC ดันเป็นศูนย์กลางคมนาคม นายกฯ อ้างรัฐประหารทำประเทศถอยหลัง ย้ำต้องเชื่อมโยงเพื่อนบ้าน ลงทุนขนส่งขนาดใหญ่เชื่อมเศรษฐกิจ-เกษตรด้วยกัน การท่องเที่ยวสบายขึ้น แจงลงทุนขนาดใหญ่ถึงใช้ พ.ร.บ. แทนงบประจำปี มั่นใจไม่กระทบคลัง หนี้สาธารณะคุมอยู่ ยันมีเอกสารแจง พร้อมรายงานผลทุกปี ขณะเดียวกันรับฟังเสียง ปชช.
วันนี้ (28 มี.ค.) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. ... วงเงิน 2 ล้านล้านบาท เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.30 น. โดยมีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ขณะที่คณะรัฐมนตรีได้มาร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
โดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นำเสนอร่าง พ.ร.บ. ว่า หลักการของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ จะให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ มูลค่ารวมกันไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง และการเพิ่มขึ้นของประชากรที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยจะเชื่อมโยงฐานการผลิตกับฐานการส่งออกกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งในภูมิภาค เพื่อให้การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งสำเร็จตามเป้าหมายจึงต้องลงทุนโดยวางแผนเงินทุนระยะยาว ซึ่งต้องวางแผนหาแหล่งเงินทุนที่มีศัยกภาพ รัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อดำเนินการเป็นการเฉพาะนอกเหนือจากแผนกู้เงินในการจัดการหนี้สาธารณะ
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความตั้งใจพัฒนาให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า โดยมีความจำเป็นที่ต้องเสนอการลงทุนขนาดใหญ่ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นไปตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายไว้ หลังจากปัจจัยการเมืองที่มีความขัดแย้งในปี 2549 ทำให้ประเทศมีการพัฒนาถดถอย และไม่ได้รับการยอมรับ มิติในการลงทุนขนาดใหญ่ไม่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ต้นทุนในการขนส่งสูงถึงร้อยละ 15 ทำให้ความสามารถในการแข่งขันถดถอย การขนส่งส่วนใหญ่ใช้ถนนเป็นหลัก ซึ่งขีดความสามารถทางด้านการขนส่งของไทยลดลง ส่วนแนวคิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ตอบโจทย์การลงทุนเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาที่เชื่อมโยงการลงทุนทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า แนวคิดการลงทุนเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเน้นการเชื่อมฐานเศรษฐกิจเดิมต่อยอดกับการเชื่อมฐานเศรษฐกิจใหม่ เท่ากับเป็นการเสริมฐานรายได้ใหม่ที่จะมีการลงทุนกับประเทศไทย ซึ่งจะมีการลงทุนระบบรถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูง ที่เน้นการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูง หรือสินค้าที่ต้องการความรวดเร็วในการขนส่ง รวมถึงการพัฒนาด่านเข้าออกของประเทศให้มีความมั่นคง และทันสมัยรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจตามแนวชายแดน โดยคำนึงถึงการกระจายความเจริญเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนมีความสะดวกมากขึ้น มีการกระจายความเจริญจากหัวเมืองไปยังเมืองรอบนอกเพื่อขยายความเจริญออกไปจากเมืองกรุง พร้อมกับการเชื่อมโยงไปยังเมืองใหญ่ในชนบท
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า แนวคิดในการสร้างความแข็งแรงทางเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืนโดยเชื่อมห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจ เกษตรกรรม การผลิต และการส่งออกเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการลดต้นทุนการผลิต และการส่งออก รวมถึงลดเวลาในการขนส่งสินค้า นอกจากนี้ยังใช้หลักการเชื่อมเมืองไปสู่แหล่งท่องเที่ยว เชื่อมแหล่งท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ไปยังเมืองใกล้เคียง เชื่อมเมืองต่อเมืองของการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางสะดวกและรวดเร็วขึ้น ทำให้ชุมชนมีรายได้มากขึ้น นักท่องเที่ยวอยู่กับเรานานขึ้น ซึ่งแนวคิดทั้งหมดเชื่อมโยงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“หลายคนมีข้อสงสัยว่าทำไมต้องกู้เงินผ่านการออก พ.ร.บ.แทนการใช้งบประมาณประจำปี ซึ่งรัฐบาลเห็นว่า ระบบงบประมาณรายปีไม่สามารถเอื้อต่อการลงทุนขนาดใหญ่เป็นระยะเวลายาวนาน หลายตัวอย่างในอดีต เช่น การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ รัฐบาลเห็นว่าโครงการลงทุนเหล่านี้เป็นโครงการสำหรับประชาชนที่แท้จริง จึงไม่ควรถูกแปรเปลี่ยนในสภาวะการเมืองที่มีความผกผัน” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
นอกจากการลงทุนด้วยเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ยังเสริมด้วยงบประมาณประจำปี และการเชิญชวนเอกชนมาลงทุนด้วย รัฐบาลมีความมั่นใจว่ามีเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย โดยจะเน้นการกู้เงินระยะยาว และใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม เชื่อว่าการกู้เงินระยะยาวจะไม่กระทบกับฐานะทางการคลัง แม้การกู้เงินอาจทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงขึ้น แต่การลงทุนจะทำให้จีดีพีเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะลดลง ในภาพรวมแล้วหนี้สาธารณะจะอยู่ในระดับที่บริหารได้ อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม สามารถรองรับกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดความผันผวนในอนาคตได้ สำหรับความโปร่งใส ขอยืนยันว่า การดำเนินการจะมีความโปร่งใส และเข้มงวดกว่างบประมาณประจำปี โดยจะยึดการดำเนินการตามระเบียบการใช้เงินของสำนักนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้ทำเอกสารประกอบ และบัญชีแนบท้ายที่มีความละเอียดเสนอแล้ว ส่วนการดำเนินโครงการได้ให้สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ดูแลตรวจสอบ โดยสภาฯ สามารถตรวจสอบผ่านคณะกรรมาธิการ ซึ่งจะมีการรายงานผลการดำเนินการทุกปี ประกอบกับการที่จะจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตั้งแต่ระดับชุมชน รวมถึงจัดนิทรรศการเสนอโครงการให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น โดยโครงการจะมีการติดตามตรวจสอบ และดำเนินการตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
“ขอยืนยันอีกครั้งว่า รัฐบาลมีเจตจำนงทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนสามารถเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เพิ่มรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดิฉันไม่อยากให้ถกเถียงว่าใครจะริเริ่ม แต่อยากเห็นประชาชนร่วมกันมีส่วนร่วมในการวางรากฐานเพื่ออนาคตของลูกหลานคนไทยต่อไป” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว