ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ กรณีที่ประชุมวุฒิสภา มีมติไม่ให้ความเห็นชอบให้ นายอุดม มั่งมีดี อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอชื่อมา ด้วยคะแนนเสียง 67 ต่อ 51 คะแนนหลังจากใช้เวลาในการพิจารณารายงานของ คณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง ป.ป.ท.แบบลับ นานกว่า 2 ชั่วโมง
เมื่อวุฒิสภามีมติเสียงข้างมากไม่เห็นด้วย ด้วยคะแนน 67 ต่อ 51 เสียง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่วุฒิสภาตีตกการเลือกบุคคลไปดำรงตำแหน่งตามองค์กร ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการสรรหาใหม่
ทั้งนี้ สำหรับเหตุผลว่ากันว่าที่ประชุมวุฒิสภา เห็นว่า กรรมการป.ป.ท.ถือเป็นกระบวนการตั้งต้นของความยุติธรรม ดังนั้น บุคคลที่จะรับตำแหน่งต้องไม่มีทัศนคติที่เป็นลบ แต่นายอุดมเคยขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดง ได้แสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งนายอุดมมีอายุมากถึง 72 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ไม่เหมาะกับการทำงาน เมื่อเทียบกับบุคคลที่ทำหน้าที่ในองค์กรอิสระอื่น เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่กฎหมายกำหนดให้มีช่วงอายุทำงาน แค่ 70 ปี
และต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็เห็นจะไม่พ้น เหตุผลที่ว่านายอุดม มีทัศนะเป็นลบต่อกระบวนการยุติหรือศาล ซึ่งครั้งหนึ่งยังเคยเดินขึ้นเวทีเสื้อแดงเหมือนเช่นอดีตผู้พิพากษารุ่นพี่ อย่าง "มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ" อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และเนื้อหาการพูดบนเวทีของนายอุดม ตีแสกหน้าวงการตุลาการอย่างจัง จนได้ใจ นช.ทักษิณ ชินวัตร
“รธน.ฉบับนี้ทำลายความเจริญเติบโตอย่างรุนแรง ทำให้พรรคการเมืองที่มาจากประชาชนเกิดความสับสนวุ่นวาย และเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจแก่ผู้พิพากษา ตุลาการที่มีหน้าที่รักษาความยุติธรรม ความเป็นธรรม ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากเกินไป ทำให้ศาลเสี่ยงต่อการขาดความเป็นกลางทางการเมือง ขัดต่อหลักการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสามฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ทำให้ศาลไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ ทำให้ศาลมีปัญหา ทำให้องค์กรศาลตกต่ำ เป็นการผิดเจตนารมณ์หน้าที่ของศาลที่ต้องทำให้ประชาชนร่มเย็นเป็นสุข เกิดนิติรัฐ นิติธรรมที่ดี" นายอุดม เคยกล่าวไว้
อย่างไรก็ตาม การชวดนั่งเก้าอี้แบบไม่คาดฝันรอบนี้ของ อุดม ต้องถือว่าเป็นโชคดีของประชาชน เพราะ ป.ป.ท.มีบทบาทสำคัญ กับการตรวจสอบการทุจริต ตั้งแต่ข้าราชการระดับ 8 ลงไปจนถึงระดับท้องถิ่น ดูอย่าง พ.ต.อ.ดุษฎี อารยะวุฒิ นั่นประไร ขึงขังตรวจสอบงบทุจริต จนถูกเด้งจากเลขาธิการ ป.ป.ท. ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม หลังมีข่าวว่า ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะเครือข่าย “เจ๊ด.” ในเพื่อไทย ไม่พอใจที่พ.ต.อ.ดุษฏีไปตามสอบปมทุจริตบางเรื่องแล้วเจอตอใหญ่
ดังนั้น หากใครยึดองค์กรนี้ เพื่อหวังปล้นเมือง จะทำได้ง่ายมากขึ้น เพราะการทุจริตต้องอาศัยข้าราชการเป็นมือไม้
ขณะเดียวกัน งานเข้าของขบวนการคนเสื้อแดงไม่ได้หมดแค่นั้น อีกรายยังเป็นหัวโจกแดงที่ประชาชนรับรู้ความกร่างซ่าของเขาเป็นอย่างดีก็คือ “เจ๋ง ดอกจิก” นายยศวริศ หรือประมวล ชูกล่อม ที่ปรึกษา รมช.กระทรวงพาณิชย์โดยศาลอาญาพิพากษาสั่งจำคุกเป็นเวลา 3 ปี ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นเบื้องสูง ในการชุมนุม นปช. แต่ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า การที่จำเลยกล่าวถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ทำนองว่า พล.อ.เปรมไม่ยอมให้ยุบสภาและกล่าวต่อว่าอาจมีเหนือกว่านั้นก็ดี พล.อ.เปรมอาจจะไม่มีอะไร แต่จะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรมก็ดี คำว่า “อาจมีเหนือกว่านั้น” และคำว่า “มีอะไรอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม” ซึ่งการที่จำเลยกล่าวปราศรัยในลักษณะให้ผู้ฟังเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม จึงเท่ากับว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ยินยอมให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นยุบสภา โดยสั่งการผ่านทาง พล.อ.เปรม จึงเป็นการใส่ความว่าทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมือง โดยทรงเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายจำเลยและพวก ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าคำปราศรัยของจำเลยไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์นั้นไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และ ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
เรียกว่า หายซ่าไปพักหนึ่ง ที่ถูกจำคุกในคดีก่อการร้าย แต่แล้วจนแล้วจนรอดด้วยกรรมเก่าเยอะเหลือหลาย จึงมาเจอศาลสั่งจำคุกในคดีหมิ่นฯ อีกซ้ำสอง ก็ถือเป็นการรับกรรมความกร่างของตัวเองถึง 2รอบ ใกล้ๆกันเลยทีเดียว
สำหรับทั้ง 2กรณี ทั้งอุดม มั่งมีดี และ เจ๋ง ดอกจิก คงจะทำเอาบรรดาพ่อยกแม่ยกคนเสื้อแดงต้องเสียอารมณ์ไปไม่น้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า บ้านเมืองนี้ยังมีขื่อมีแป ไม่ใช่ประเทศของคนเสื้อแดงฝ่ายเดียว ที่อยากจะทำอะไรก็ได้ และนี่คงเป็นสัญญาณส่งไปถึงคนเสื้อแดงทั้งหลายว่า ขาลงมาแล้วโจกแดงทั้งหลาย อย่าซ่าคับเมืองให้มันมากไปนัก