“ถาวร” เผยทีมกฎหมาย ปชป.มีมติให้ “มาร์ค-เทพเทือก” ฟ้อง “ธาริต” พร้อมพวก 4 คน ทำผิดอาญาฐานเป็นเจ้าหน้าที่กลั่นแกล้ง ยัดเยียดข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยเจตนาและเล็งเห็นผล ชี้ผิดทั้ง ม.157 ม.200 และ ม.309 ส่วน “เฉลิม” รอด เหตุหลักฐานสาวไม่ถึง เย้ยจุดจบ “ธาริต” ติดคุกหัวโตตามรอย “3 หนา กกต.”
นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานฝ่ายกฏหมายพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยหลังหารือร่วมกับทีมทนายความและฝ่ายกฎหมายของพรรคนานกว่า 2 ชั่วโมง ในการพิจารณาเพื่อดำเนินคดีต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณียัดเยียดข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยเจตนาและเล็งเห็นผลจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เพื่อควบคุมความไม่สงบในการชุมนุมของคนเสื้อแดงในระหว่างเดือน เม.ย.-พ.ค. ปี 2553 ว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปว่าจะยื่นฟ้องนายธาริตและพนักงานสอบสวนของดีเอสไอรวม 4 คน โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นโจทก์ที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นโจทก์ที่ 2 ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา และจะไม่ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.เพราะต้องการให้ศาลได้พิจารณาคดีนี้โดยเร็ว
โดยเห็นว่าดีเอสไอปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กลั่นแกล้ง ยัดเยียดข้อหาให้บุคคลทั้งสองว่าเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล เพราะมาตรา 17 ใน พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินได้คุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติและเจ้าหน้าที่รัฐผู้ที่ออกคำสั่งในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ซึ่งในการออกคำสั่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลแพ่งมีคำวินิจฉัย 2 ครั้งยืนยันว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นไปด้วยความไม่สงบ ผิดกฎหมาย มีอาวุธและส่งผลให้เจ้าหน้าที่รัฐถูกยิงเสียชีวิต จนเกิดวิกฤตในบ้านเมือง ดังนั้น รัฐบาลในเวลานั้นซึ่งมีหน้าที่ต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองก็มีอำนาจในการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐออกไปรักษาความสงบเรียบร้อยตามที่ได้ออกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
นายถาวรกล่าวว่า นอกจากนี้ นายธาริตและพวกรวม 4 คน มีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในฐานะบุคคลธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ทั้งสองได้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลความสงบ แต่ดีเอสไอจงใจที่จะหลีกเลี่ยงเพื่อให้อำนาจในการดำเนินคดีอยู่กับตัวเองแทนที่จะส่งไปให้ ป.ป.ช. จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาต่อบุคคลที่ไม่ได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 และยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ทำให้บุคคลทั้งสองสูญเสียเสรีภาพขณะที่ถูกเชิญตัวไปให้ถ้อยคำในฐานะผู้ถูกกล่าวหา โดยต้องอยู่ให้การกว่า 10 ชั่วโมงจึงจะฟ้องร้องรวมเป็นคดีเดียวกัน โดยจะยื่นฟ้องในสัปดาห์หน้าต่อไป
ส่วนที่ยังไม่ได้ยื่นฟ้องร้องต่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาชี้นำคดีนี้ เพราะพยานและหลักฐานยังไปไม่ถึงตัว แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการบรรยายฟ้องของดีเอสไอสมดังเจตจำนงชี้นำของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งฝ่ายกฎหมายได้พิจารณาแล้ว เห็นว่ายังไม่เข้าข่ายที่จะดำเนินคดีได้ แต่ส่วนตัวมั่นใจในการดำเนินคดีครั้งนี้ 100% ในฐานะที่เป็นทั้งอัยการ และทนายความ จนมาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้พรรคมาโดยตลอด เห็นว่ามีความชัดเจนและมีข้อเท็จจริงที่มัดแน่นที่สุดในการเอาผิดนายธาริตและพวก
ส่วนคดีที่นายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ตกเป็นผู้ต้องการที่ดีเอสไอต้องส่งสำนวนต่อไปยังอัยการ ในฐานะที่เป็นอัยการเก่าเห็นว่า สุดท้ายก็ต้องส่งสำนวนไปให้กับ ป.ป.ช. หากไม่ส่งไปก็จะเป็นสำนวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทางอัยการก็ต้องส่งสำนวนคืนให้ดีเอสไอ เพื่อให้ทาง ป.ป.ช.ทำหน้าที่ตามกฎหมาย จึงไม่ห่วงในเรื่องนี้
“ผมมองจุดจบของบนายธาริตที่ดำเนินการเรื่องนี้ว่าจะติดคุกหัวโตแน่นอน เพราะสำนวนการสอบสวนที่เป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งกระบวนการสั่งสำนวน การแจ้งข้อกล่าวหา ทำให้นายธาริตดิ้นไม่ได้ เหมืนอกับกรณีอดีต กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ที่ออกระเบียบให้จัดการเลือกตั้งใหม่จากการที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ถึง 20% เพื่อช่วยเหลือบางพรรคการเมืองที่ลงสมัครเพียงพรรคเดียว จึงเห็นว่าชะตากรรมของนายธาริตไม่ต่างจากบุคคลเหล่านี้ เพราะคนที่รับใช้ระบอบทักษิณ ผมเห็นว่าถูกพิพากษาจำคุกมาแล้ว 2 กลุ่ม คือ อดีต กกต. และ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม ซึ่งมีการสะท้อนในช่วงการรับฟังคำพิพากษาของศาลว่าพรรคไม่ดูแลเลย จึงอยากฝากไปยังนายธาริตและอัยการรุ่นน้องว่า อย่ามาบ่นในภายหลังว่าระบอบทักษิณไม่ดูแล เพราะเป็นถึงอธิบดีดีเอสไอที่ต้องใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของกระบวนการยุติธรรมโดยยึดหลักนิติธรรม แต่กลับไปยึดผลตอบแทนความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จนในที่สุดต้องตกระกำลำบาก จึงไม่ควรบ่น”
ส่วนคำสั่งของศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ชี้ว่า นายบุญมี เริ่มสุข อายุ 71 ปี ที่เสียชีวิตบริเวณสี่แยกบ่อนไก่ ในช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ไม่ได้เสียชีวิตจากกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้ว่ากระสุนปืนที่โดนผู้ตายจะมีขนาด .223 ที่เป็นกระสุนที่อยู่ในความครอบครองของเจ้าหน้าที่แต่ผู้ชุมนุมก็มีกลุ่มติดอาวุธที่ใช้กระสุนชนิดเดียวกันยิงใส่ทหารด้วย จึงไม่สามารถระบุยืนยันได้ว่าการตายดังกล่าวเป็นกระสุนที่มาจากฝ่ายใด ดังนั้น การที่นายธาริตยัดเยียดข้อกล่าวให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จะยืนยันได้อย่างไรว่านายพัน คำกอง ตายเพราะกระสุนจากเจ้าหน้าที่รัฐ จนกระทั่งมาเอาผิดกับคนทั้งสอง จะชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม นปช.มีผู้ติดอาวุธแฝงอยู่ ขณะเดียวกัน ในคำสั่งศาลคดีนายพันเองศาลก็ระบุชัดว่าเป็นผู้เดินออกมาดูเหตุการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นประโยชน์ต่อความยุติธรรม ที่จะชี้ให้เห็นว่าดีเอสไอพยายามยัดเยียดว่าทหารเป็นผู้ยิงนั้นไม่เป็นความจริง
“พรรคเห็นว่าเมื่อความจริงปรากฏต่อสาธารชนจะทำให้ความยุติธรรมกลับคืนมา โดยไม่กระดี๊กระด๊ากับคำสั่งของศาลอาญาในคดีนายบุญมี แต่ดีใจที่ทหารได้รับความเป็นธรรมจากคำวินิจฉัยนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมาดีเอสไอสรุปตามใบสั่งทางการเมืองเพื่อเบรกเกมเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพให้ได้”