xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ประมนต์ สุธีวงศ์” ชี้...วิกฤตปี 56 ศก.ทรุด ปิดกิจการ แรงงานถูกเลิกจ้าง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - 'ประมนต์ สุธีวงศ์' เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ หอการค้าไทย และในฐานะประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดูเส้นทางการเติบในทางธุรกิจด้วยแล้วต้องบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะเขาคือคนไทยคนแรกที่รั้งตำแหน่งประธานโตโยต้าประเทศไทย แถมก่อนหน้านี้ก็ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย อีกต่างหาก ดังนั้น “ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์” จึงไม่พลาดโอกาสที่จะสนทนาเพื่อสะท้อนมุมมองของเขาต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2556 ว่า โอกาสที่ประเทศไทยจะ “ลุกเป็นไฟ” ทั้งแผ่นดินจากปัญหาทางเศรษฐกิจอันเกิดจากนโยบายของรัฐบาลนั้น มีมากน้อยเพียงใด 
 
คิดว่าเศรษฐกิจในปี 2556 จะเป็นอย่างไร
 

จากที่ได้สัมผัสกับธุรกิจรอบตัวเนี่ยผมว่าปี 56 นี่มีแนวโน้มจะไข้ขึ้นหนักกว่าปีที่แล้วอีก เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ที่มีความหวังนิดหนึ่งก็คือจีนกับญี่ปุ่นเขาคงต้องพยายามพยุงเศรษฐกิจเขาไว้ โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นประเทศผู้นำใหม่เขาก็ต้องแสดงผลงานหน่อย อันนี้ก็จะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เศรษฐกิจโลกไม่ฟุบเกินไปนัก ส่วนภาวะเศรษฐกิจของไทยเนี่ยเนื่องจากปีที่แล้วรัฐบาลมีการอัดฉีดมาตรการต่างๆ เข้าไปเยอะ ปีหน้าก็อาจจะยังมีโครงการที่ใช้เงินเพิ่มเติมซึ่งก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจภายในประเทศของเราไปได้ในระดับหนึ่งครับ
 
ธุรกิจอะไรที่มีแนวโน้มจะเติบโตดี
 

ผมยังไม่เห็นธุรกิจอะไรที่จะเป็นดาวเด่นในปีนี้ อย่างปีที่แล้วธุรกิจรถยนต์เติบโตดีมาก แต่ปีนี้คิดว่าจะปรับตัวลดลงเยอะ เนื่องจากคนที่ต้องการซื้อนั้นได้ตัดสินใจซื้อไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็อาจจะขยายตัวเพราะว่ายังมีการก่อสร้าง ยังมีกำลังซื้ออยู่
 
ในส่วนของการส่งออกเป็นอย่างไร
 

ไม่คิดว่าดีนักนะ เพราะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังไม่ค่อยดี นอกจากประเทศในเอเชียด้วยกันอย่างจีนกับญี่ปุ่นแล้ว ส่วนทางด้านยุโรปกับอเมริกาผมยังไม่คิดว่าฟื้นตัวดีนัก เพราะฉะนั้นธุรกิจส่งออกของไทยในปีนี้การขยายตัวคงไม่สูงนัก ในส่วนของการส่งออกข้าวซึ่งเราเคยเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่ง เราก็กำลังถูกเพื่อนบ้านชิงตลาดไปเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศอื่นมาก ถ้ารัฐบาลตั้งราคาข้าวขนาดนี้และต้องการจะขายในราคาที่ไม่ขาดทุนมากก็คงขายยากหน่อย
 
นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ซึ่งประกาศใช้พร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ..2556 จะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจมากน้อยเพียงใด
 

เท่าที่ประเมินดูก็มีทั้งบวกทั้งลบ สำหรับผลกระทบทางลบนั้นบริษัทที่รับไม่ได้จริงๆ ก็คงมีการลดการผลิตลง หรืออาจจะต้องเลิกจ้างคนงานบางส่วน ส่วนผลกระทบทางบวกเนี่ยเนื่องจากค่าแรงสูงขึ้นส่งผลให้กำลังการซื้อของคนก็มากขึ้นตามไปด้วย เพราะฉะนั้นก็คาดว่าจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น มันก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในได้ในระดับหนึ่ง
 

มีการคาดการณ์กันว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทจะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวนไม่น้อยต้องปิดตัวลง
 

หากเป็นกิจการที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากและไม่สามารถปรับตัวได้เพราะต้นทุนสูงเกินไปก็อาจจำเป็นจะต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าแรงถูกกว่าเพื่อลดต้นทุน ซึ่งการรับมือกับค่าแรงที่สูงขึ้นนั้นผู้ประกอบการคงต้องมีการวางแผนและเตรียมการ ภาครัฐเองก็ต้องมีมาตรการบางอย่างที่จะเข้ามาช่วยดูแลเยียวยาผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ต้องให้เวลาเขา ซึ่งการหามาตรการรองรับนั้นอาจเป็นสิ่งที่ภาครัฐและเอกชนมาหารือและวางแนวทางร่วมกัน
 
ในส่วนของแรงงานที่ถูกเลิกจ้างนั้นถ้าไม่เลือกงานมากนักก็เชื่อว่าน่าจะสามารถหางานได้เพราะปัจจุบันไทยเรายังขาดแคลนแรงงานอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเห็นได้จากจำนวนแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไทยในแต่ละปี และขณะนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสของแรงงานไทยเพราะการประกาศขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทนั้นครอบคลุมถึงแรงงานต่างด้าวด้วยทำให้อัตราค่าแรงของแรงงานไทยและต่างด้าวไม่มีความแตกต่างกันทำให้แรงงานไทยมีโอกาสมากกว่า
 
การเข้าสู่ AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) จะมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทย
 

เรามีกำหนดที่จะเข้าสู่ AECในปี 2558 ซึ่งตอนนี้ทุกภาคส่วนก็กำลังปรับตัวเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็อาจจะมีบางประเด็นที่วิตกกัน เช่น เรื่องผลกระทบจากสิทธิบัตรพันธุ์พืช หรือสิทธิบัตรยาซึ่งจะมีผลต่อการเข้าถึงยารักษาโรค ขณะที่การเปิดเสรีการเงินก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นเร็วๆนี้ โดยจะมีการหารือเรื่องการเปิดเสรีการเงินหลังจากที่ไทยเข้าร่วมในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
 
ในปี 2556 นี้จะแนะนำให้ผู้ประกอบการปรับตัวอย่างไร
 

ปีที่ผ่านมาก็คิดว่าผู้ประกอบการปรับตัวได้ในระดับหนึ่งแล้วเพราะจากการค้าที่ขยายตัวลดลงทั่วโลกทุกคนก็ต้องเริ่มรัดเข็มขัด และเมื่อต้นทุนด้านค่าแรงสูงขึ้นผู้ประกอบการก็ต้องไปลดต้นทุนจากทางใดทางหนึ่ง ผมว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการก็มีการปรับตัวมาพอสมควร ซึ่งต้องถือว่าภาคเอกชนของไทยมีศักยภาพสูงเพราะว่าสามารถยืนหยัดปรับตัวมาได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
 

ในฐานะที่เป็นประธานเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชัน อยากให้พูดถึงการดำเนินงานของภาคีเครือข่ายฯในช่วง  1 ปีที่ผ่านมา
 

เราได้รณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชันมาตลอดปีและจะขับเคลื่อนต่อไปในปีหน้า ซึ่งผลจากการรณรงค์ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเราได้ปลุกให้คนส่วนใหญ่มองเห็นถึงผลกระทบและความเลวร้ายของการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่พอเพียงที่จะเป็นพลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายได้ ซึ่งในปีนี้เราก็จะมีการปรับแผนงานเพื่อให้การขับเคลื่อนในการต่อต้านการคอร์รัปชั่นนั้นมีความเข้มข้นขึ้น
 

ตอนนี้ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชัน มีหน่วยงานหรือองค์กรที่เข้ามาร่วมกี่องค์กร
 

มีทั้งหมด 46 องค์กรครับ โดยมีทั้งที่เป็นภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน รวมถึงหน่วยงานราชการบางหน่วยงานที่สามารถเข้าร่วมได้ คือมีหลายหน่วยงานที่มีความประสงค์และตั้งใจชัดเจนที่จะรณรงค์เรื่องนี้เขาก็ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับเราครับ
 

ทราบว่าการดำเนินการครั้งนี้ได้ร่วมกับสื่อในการรณรงค์เผยแพร่และสร้างแนวร่วมในการต่อต้านการคอร์รัปชัน
 

ก็มีหลายสื่อที่ร่วมกับเรา ทั้งสื่อโทรทัศน์ อย่างสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส แล้วก็สื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งมีหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่ให้ความร่วมมือทั้งในลักษณะที่มาร่วมงานและในลักษณะของการช่วยเผยแพร่
 

ไม่ทราบว่าการปรับแผนงานที่ว่าจะดำเนินการอย่างไร
 

เราจะเน้นในเรื่องของการป้องกัน โดยพยายามจะเข้าไปดูช่องโหว่ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการทุจริต ซึ่งวิธีการป้องกันนั้นนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่และเกิดปัญหาน้อยที่สุด ซึ่งการป้องกันก็มีหลายเรื่องที่เราได้จับตาไว้แล้ว โดยจะเน้นไปที่โครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น โครงการป้องกันน้ำท่วม 350,000 ล้านบาท โครงการปรับปรุงพื้นฐานการคมนาคม มูลค่า 2,000,000 ล้านบาท เราก็จะเข้าไปช่วยดูว่าน่าจะมีข้อเสนอแนะอะไรที่จะปิดช่องโหว่หรือป้องกันการทุจริตให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะมีการทุจริตเกิดขึ้นครับ
 
หากตรวจพบทางภาคีเครือข่ายฯ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
 

เราก็คงทำงานร่วมกับภาครัฐ ถ้าเห็นว่าเหมาะสมก็คงจะนำออกมาเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบเพื่อที่จะมีส่วนร่วมในการช่วยกันขับเคลื่อนหรือช่วยกันผลักดันให้องค์กรของรัฐตอบสนองในสิ่งที่เราคิดว่าน่าจะต้องปรับปรุง
 

ที่ผ่านมาเพราะอะไรภาคีเครือข่ายฯถึงมองว่าการรณรงค์ยังได้ผลค่อนข้างน้อย เป็นเพราะประชาชนยังตื่นตัวน้อย หรือเป็นเพราะหน่วยงานราชการและนักการเมืองไม่ได้ให้ความสนใจตรงนี้
 

โดยรวมแล้วต้องบอกว่าทุกภาคส่วนนั่นแหล่ะครับที่ยังไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควร แต่ก็มีหลายหน่วยงานที่เริ่มตอบสนองในทางที่ดี อย่างทางภาคเอกชนก็จะเห็นว่ามีกลุ่มธุรกิจหลายกลุ่มเริ่มเข้ามาให้ความสนใจและให้การสนับสนุน ทางภาคเอกชนก็เริ่มมีผู้ให้ความสนใจ อย่างโครงการหมาเฝ้าบ้านที่เรารณรงค์ให้ผู้มีจิตอาสามาเข้ารับการอบรมแล้วไปเฝ้าดูโครงการต่างๆในพื้นที่ของตนเอง ปรากฏว่าได้รับการตอบสนองที่ดี
 

คิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
 

เราคงต้องทำให้เขาเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันเนี่ยมันทำให้เขาเสียหาย เพราะทุกคนเสียภาษีด้วยกันทั้งนั้น ทั้งภาษีทางตรงและภาษีทางอ้อม ถ้าเงินภาษีของเราถูกคดโกงไปในรูปแบบต่างๆก็ส่งผลให้ผลประโยชน์ของเราเสียหายไปด้วย ถ้าเขาเริ่มต้นคิดตรงนี้เมื่อไหร่ผมว่ามันจะเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคประชาชนมาสนใจและให้ความร่วมมือกับการต่อต้านการคอร์รัปชันมากขึ้น
 

แล้วในส่วนของนักการเมืองและข้าราชการที่มีปัญหาคอร์รัปชันชนิดฝังรากลึกเนี่ย จะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้เปลี่ยนพฤติกรรม
 

ถ้าเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการเนี่ยวิธีที่จะแก้ได้คือมีรัฐบาลที่เข้มแข็งและออกมารณรงค์ในเรื่องของปราบปรามการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง คำว่าจริงจังในที่นี้หมายความว่าถ้าผิดก็ต้องลงโทษหรือว่าป้องกันไม่ให้เกิดการใช้อำนาจในทางที่ผิด ซึ่งหลายๆ ประเทศเขาก็ทำมาแล้วแต่ว่าประเทศไทยเองยังกล้าๆ กลัวๆ คือรัฐบาลก็พยายามทำหลายเรื่องที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แต่ผมคิดว่ามันยังไม่พอเพียงและก็ยังไม่ตรงเป้าเพราะว่ารัฐบาลจะต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้อย่างชัดเจน
 

แต่ดูเหมือนรัฐบาลปัจจุบันจะมีปัญหาคอร์รัปชันเสียเอง
 

เดี๋ยวนี้ปัญหาการคอร์รัปชันมันเกิดขึ้นไปทั่วทุกหัวระแหงนะ ไม่ใช่เฉพาะในรัฐบาลแค่นั้น แม้แต่ภาคเอกชนก็มีปัญหาการคอร์รัปชัน ซึ่งผมคิดว่าปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเนี่ยมันเป็นเรื่องที่สังคมปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นโรคร้ายที่อยู่ในทุกภาคส่วนของบ้านเมือง แน่นอนที่บอกว่าการคอร์รัปชันของรัฐบาลเป็นปัญหาใหญ่เพราะว่าการใช้เงินก้อนใหญ่นั้นมันอยู่กับรัฐบาล ซึ่งผมคิดว่าถูกต้องการแก้ปัญหามันต้องแก้ปัญหา ณ จุดนั้น และการจะแก้ปัญหา ณ จุดนั้นได้ก็แปลว่าต้องมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีผู้นำที่เด็ดเดี่ยว มีความชัดเจนในการแก้ปัญหาการทุจริต จะเห็นว่าอย่างประเทศจีนตอนนี้ซึ่งมีผู้นำประเทศคนใหม่เขาก็ออกมาประกาศชัดเจนเลยว่าเขาจะแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน แม้แต่ประเทศพม่าซึ่งเพิ่งเปิดประเทศเขาก็ออกมาพูดชัดเจนว่าเขาจะต่อต้านปัญหาคอร์รัปชัน ถ้ารัฐบาลออกมาทำในเรื่องนี้อย่างจริงจังมันถึงจะมีผล
 

ที่ผ่านมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ออกมาประกาศนโยบายต่อต้านคอร์รัปชัน ตรวจสอบคอร์รัปชั่น แต่ในทางปฏิบัติกลายเป็นว่าคนในรัฐบาลเองนั่นแหล่ะที่คอร์รัปชั่น
 

ครับ ก็เป็นส่วนหนึ่ง คือปัญหามันอยู่ที่คน ถ้าระบบดีและรัฐบาลเอาจริงเอาจัง คนก็จะทุจริตยากขึ้น แต่ถ้าเรามีระบบที่หละหลวมและไม่เอาจริงเอาจัง การลงโทษไม่เข้มงวดจริงๆ คนที่จะทุจริตเขาก็ไม่เกรงกลัวอะไร ใครมือยาวสาวได้สาวเอา
 

จริงๆ บ้านเราก็มีกฎหมายเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นและมีบทลงโทษอยู่ แต่ดูเหมือนขั้นตอนในการบังคับใช้กฎหมายนั้นมีการเลือกปฏิบัติ
 

ผมว่าไม่ใช่เลือกปฏิบัติหรอกแต่ขั้นตอนในการดำเนินการมันยืดยาด คือขั้นตอนการบังคับใช้กฎหมายเนี่ยมันต้องไปสืบสวนสอบสวนจนกระทั่งมีมูล มีมูลแล้วถึงจะสั่งฟ้อง กว่าจะฟ้องเสร็จแต่ละศาลต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะสิ้นสุดทั้ง 3 ศาล ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา มันใช้เวลาถึง 20-30 ปี เพราะฉะนั้นคนที่ทุจริตเขาก็ไม่กลัว เพราะกว่าจะถึงวันนั้นเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
 

แปลว่าในการดำเนินคดีเกี่ยวกับคดีคอร์รัปชั่นนั้นควรจะลดขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายลง
 

ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนของภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลง แล้วก็จะพยายามเสนอให้กระบวนการที่จะดำเนินการตามกฎหมายมีความรวดเร็วขึ้นและมีความชัดเจน คือถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดก็ต้องมีการลงโทษเพื่อให้เป็นตัวอย่าง
 

อาจารย์มองว่าสาเหตุหนึ่งที่นักการเมืองกล้าคอร์รัปชันเป็นเพราะไม่ถูกตรวจสอบหรือเปล่า โดยเพราะสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่กล้าแฉ
 

ต้องบอกว่าสื่อมวลชนเนี่ยมีบทบาทที่สำคัญมาก ผมคิดว่าถ้าเราได้สื่อดีๆ และช่วยกันออกมารณรงค์ต่อต้านในเรื่องนี้ ช่วยกันประจานคนชั่ว มันจะเป็นแรงผลักดันทางสังคมที่มีผลค่อนข้างสูงเพราะสื่อจะมีส่วนช่วยให้ข้อเท็จจริงปรากฏแก่สังคม
 

แต่ที่ผ่านมาสื่อส่วนใหญ่ไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริง แต่กลับทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้นักการเมืองและผู้มีอำนาจ


สื่อก็เหมือนกับองค์กรอื่นๆแหล่ะครับที่มีทั้งดีและไม่ดี สื่อที่ดี มีความเป็นกลาง และกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ถูกต้องก็มี สื่อที่ถือข้าง เป็นพรรคพวกของบางกลุ่มบางคน แล้วก็สนับสนุนบางคนโดยไม่คำนึงถึงถูก-ผิดก็มี มันก็เป็นปัญหาของสังคมเหมือนกับปัญหาอื่นๆที่เราเห็นนะแหละ ในวงการธุรกิจก็เหมือนกันมีทั้งพวกที่สนับสนุนการต่อต้านคอร์รัปชัน มีทั้งพวกที่ทุจริตเสียเอง มีพวกที่ไม่สนใจว่าใครจะทุจริต เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันเป็นปัญหาสังคมที่เราต้องช่วยกันรณรงค์เพื่อให้ทัศนะคติในเรื่องนี้เปลี่ยนไป
 
คิดว่าการแก้ปัญหาคอร์รัปชันของประเทศไทยเนี่ยมีความหวังไหม
 

ต้องมีสิครับ ตอนนี้หลายๆ ฝ่ายก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยกันผลักดันอยู่ แต่ว่าจะช้าหรือเร็วนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 


กำลังโหลดความคิดเห็น