ปชป.เตือนเตรียมรับผลกระทบจากนโยบายประชานิยม “รัฐบาลปู” ที่จะพ่นพิษในปีนี้แน่ ทั้งค่าแรงวันละ 300 บาท ที่หลายโรงงานทยอยปิดกิจแล้ว คาดตัวเลขตกงานพุ่ง 4 แสน แนะรัฐบาลจับตา 400 โรงงานเสี่ยงต้องปิดตัว ย้ายฐานการผลิต ขณะเดียวกันยังต้องผจญกับค่าน้ำมัน-ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำค่าครองชีพพุ่งซ้ำเติมชาวบ้าน จี้นายกฯ สนใจแก้ปัญหามากกว่า มุ่งแก้ รธน.ช่วย “นช.แม้ว” อนาถ “สุกำพล” เดินตามก้นเด็ก รด. มุ่งแก้แค้นแทนแก้ไข ออกคำสั่งถอดยศ “มาร์ค” โดยมิชอบ ระบุเป็นการคอร์รัปชันเชิงบริหาร ระวังเจอคุกเหมือน “ธรรมรักษ์” ที่ตอนนี้ไร้คนเหลียวแล
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประชาชนจะรอความหวังจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคงไม่ได้ นอกจากคำขวัญเก๋ๆ แต่ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้ ปีนี้จึงเป็นปีเผาจริง ไม่ใช่เผาหลอก 16 นโยบายประชานิยมจะเป็นวิกฤตในปีนี้ จากทั้งข้อมูลของสภาอุตสาหกรรม และนักวิชาการระบุว่า ช่วงกลางปีเศรษฐกิจจะตึงเครียดมากที่สุด ดังนั้นตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปประชาชนจะทยอยมีปัญหาเรื่อยๆ โดยสถิติของกระทรวงแรงงานเองพบว่า ยอดผู้ตกงานจากผลกระทบค่าแรง 300 บาท เพิ่มจาก 2.5 แสนคน เป็น 3.5-4 แสนคน โดยเริ่มเกิดปัญหาในหลายจังหวัดแล้ว เช่นที่จังหวัดสิงห์บุรี ที่มีการปิดกิจการของโรงงานผลิตชุดชั้นใน ทำให้สาวโรงงานตกงานทันที 200 คน โดยที่รัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับเลย และกระทรวงแรงงานฯ ก็เยียวยาช้า
นอกจากนี้ที่ จ.พะเยา ขอนแก่น ศรีสะเกษ ซึ่งในส่วนของ จ.พะเยา ค่าจ้างจาก 159 บาท ปรับเป็น 300 บาท ทำให้โรงงานเซรามิกปิดทันที และยังจ่อที่จะปิดอีกหลายที่ ทำให้คนตกงานเพิ่มอีก โดยได้รับการร้องเรียนแล้วจำนวนมากว่าไม่มีทางออก ไร้อาชีพรองรับ เสียใจที่เลือกพรรคเพื่อไทยเพราะหวังจะทำให้ชีวิตดีขึ้นจากค่าแรง 300 แต่ไม่คาดว่าจะทำให้คนที่เป็นหลักของครอบครัวต้องตกงาน
เช่นเดียวกับที่ จ.ขอนแก่น ที่จะมีการทยอยปิดรวมถึง 400 แห่งของโรงงานที่มีความเสี่ยงอีกทั่วประเทศ รัฐบาลต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้มีการกระทำผิดเงื่อนไขตามกฎหมาย ด้วยการนำสวัสดิการไปรวมกับค่าแรงเป็น 300 บาท เพราะนอกจากไม่ทำให้แรงงานไม่ได้ประโยชน์เพิ่มแล้วยังทำให้เสี่ยงต่อการตกงานและการเสียสวัสดิการที่เคยได้ด้วย ขณะที่กระทรวงแรงงานทำได้เพียงแค่เปิดสายร้องเรียน แต่ห้ามโรงงานย้ายฐานการผลิตไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นภาระของนายกฯและรัฐบาลต้องหามาตรการเยียวยาโดยด่วน ไม่ใช่ปล่อยให้เอกชนและแรงงานต้องไปทะเลาะกับเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาล
น.ส.มัลลิกากล่าวด้วยว่า ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมยังพบว่า ไม่เกินกลางปีนี้เอสเอ็มอีจะทยอยสร้างหนี้ รวมถึงปิดตัวมากขึ้น จึงต้องจับตาในไตรมาสแรกว่าจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด จึงขอเรียกร้องนายกฯ ให้หยุดเรื่องอื่นไว้ก่อน ทั้งแก้รัฐธรรมนูญ และเรื่องของกระทรวงกลาโหม ขอให้มีโวลุ่มเฉพาะในการแก้ปัญหา โดยหารือร่วมกับภาคเอกชน องค์กรแรงงาน และนำข้อมูลจากคณะกรรมาธิการเกี่ยวกับเศรษฐกิจของวุฒิสภาและ ส.ส.ที่วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ แทนที่จะไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการฯอย่างที่ทำในปี 2555 ดังนั้นจึงคาดว่าในปีนี้กรรมาธิการฯชุดต่างๆ คงจะมีการใช้กฎหมายเข้าไปบังคับให้รัฐมนตรีให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการตามกฎหมายด้วย
ทั้งนี้ยังเห็นว่า สินค้าจะแพงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ โดยเฉพาะพลังงาน ซึ่ง 1 ปี 4 เดือนที่รัฐบาลบริหารจนแพงทั้งแผ่นดินนั้นในปี 2556 จะถึงขั้นของแพงไม่มีกิน เพราะสินค้าหมวดอาหารจะปรับตัวสูงขึ้นจากค่าน้ำมัน และค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับให้จับตาดูดัชนีอาหารกระป๋อง และบะหมี่สำเร็จรูป จะเป็นตัวชี้วัดความยากลำบากของประชาชน อยากแนะนำให้ประชาชนยึดแนวพระราชดำริใช้ชีวิตอย่างพอเพียง
ส่วนการขึ้นค่าเอฟที อีก 4 สตางค์ต่อหน่วยนั้น น.ส.มัลลิกากล่าวว่า เป็นการซ้ำเติมประชาชนเพราะรวมที่ขึ้นแล้วกว่า 10% คือ 46 สตางค์ต่อหน่วย เป็นการฆาตกรรมคนจนที่เลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามา เพราะคนจน 9 ล้านครัวเรือนที่ไม่ต้องจ่ายค่าไฟหากใช้ไม่เกิน 90 หน่วยแต่รัฐบาลตัดเหลือแค่ 50 หน่วย และยังมีการเพิ่มค่าเอฟทีอีกในปี 2556 ซึ่งเป็นการซ้ำเติมประชาชนทั้งประเทศ ทั้งนี้ยังเชื่อด้วยว่าค่าไฟจะทยอมขึ้นราคาอีกเรื่อยๆ จึงเรียกร้องไปยังนายกฯ ให้ใช้ทักษะในการบริหาร ไม่ใช่ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีบริหารประเทศแก้ไขไปวันๆ โดยที่นายกฯ ใส่ใจแต่การแก้ปัญหารัฐธรรมนูญไม่สนใจปากท้องประชาชนในการบริหารประเทศมา 1 ปีเศษ"
“นายกฯ หยุดก่อนประชาชนช่วงปีใหม่ไปเที่ยวฮ่องกง ไม่คิดทบทวนฉายาที่สื่อตั้งให้เพื่อปรับปรุงตัวเอง แต่ยังใช้วิธีเดิมคือแก้รัฐธรรมนูญ เพิ่มชนวนปัญหาความขัดแย้ง จึงอยากเตือนสติรัฐบาลว่า อย่าคิดว่ามี 15 ล้านเสียง แล้วไม่ฟังภาคประชาชน ฝ่ายค้าน กรรมาธิการฯ และสภา จะทำให้อยู่ได้อย่างมั่นคง ตอนนี้ไม่ควรแอบอ้างเสียงประชาชนอีก เพราะมีไม่น้อยกว่า 10 ล้านคนได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาล จึงท้าว่าหากมีการยุบสภาในขณะนี้รัฐบาลจะกล้ามั่นใจหรือไม่ว่าเสียงจะอยู่เท่าเดิม”
น.ส.มัลลิกายังกล่าวถึงกรณีที่มีสื่อมวลชนตั้งฉายา พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมว่า “โอ๋เด็กโอ๊ค” สะท้อนชัดเจนว่าเอานโยบายเด็ก คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งเรียนแค่ รด.มาใช้เป็นนโยบายในการทำงานด้านความมั่นคง และการมุ่งเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถือเป็นพฤติกรรมคอร์รัปชั่นทางการใช้อำนาจและบริหาร โดยเฉพาะการออกคำสั่งถอดยศนายอภิสิทธิ์ และการยกเลิกการเข้ารับราชการของนายอภิสิทธิ์ย้อนหลังแต่กลับไม่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้และวิกฤตชายแดนไทยกัมพูชา เท่ากับว่า พล.อ.อ.สุกำพล มุ่งแก้แค้นไม่แก้ไขเป็นพฤติกรรมที่แย่มาก
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวทนายความของนายอภิสิทธิ์จะดำเนินการตามกฎหมาย จึงเชื่อว่าจะมีชะตากรรมไม่ต่างจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปี 4 เดือน จากการจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 แต่ขณะนี้ไม่มีใครใส่ใจดูแล จึงอยากให้ พล.อ.อ.สุกำพลได้ตระหนักว่า ชะตากรรมของตนเองไม่คุก ก็จะไม่ตายดี ถ้ายังไม่เอาประเทศเป็นที่ตั้งแบบนี้ หากภายในเดือนสองเดือนนี้ยังไม่มีผลงานอื่นนอกจากการชำระแค้นด้วยการเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์ นายกฯ ควรเปลี่ยน รมว.กลาโหม ให้นายพานทองแท้มาเป็นแทน เพราะความคิดครอบงำ รมว.กลาโหมได้