ASTVผู้จัดการรายวัน - จับตารัฐบาล”ปู”ทยอยเลิกโปรโมชั่นลดค่าพลังงานหลังควักจ่ายบานเฉพาะภาษีฯดีเซลกว่า 1.5 แสนล. อุ้ม LPG รวม 5 ปีอีกเกือบแสนล้าน ปี 2556 ได้เวลาปลดล็อค น้ำมัน ไฟฟ้า LPG NGV พาเหรดขึ้นราคาถ้วนหน้า
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกภาพรวมปี 2556 ดิบดูไบเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ประมาณ 100-110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปีนี้ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 106 เหรียญฯต่อบาร์เรล เนื่องจากการผลิตน้ำมันภาพรวมยังคงมากกว่าความต้องการจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แต่ราคาขายปลีกของไทยโดยเฉพาะราคาดีเซลคงอยู่ที่นโยบายรัฐบาลว่าจะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซลคืนหรือไม่จากที่ยกเว้นการจัดเก็บเฉลี่ย 5 บาทต่อลิตร
สำหรับก๊าซหุงต้มหรือ LPG ปี 2555 ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องโดยภาคขนส่งมีการขยายตัวสูงถึง 15% ทำให้การใช้LPGปี 2555 เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 6.05 แสนตันเพิ่มขึ้น 11% ซึ่งหากรัฐบาลสามารถเดินหน้าในการปรับโครงสร้างราคาLPGตามเป้าหมายได้ก็จะทำให้ลดภาระการนำเข้าลงและยังทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดการจ่ายเงินอุดหนุนลงได้อีก แต่หากไม่สามารถเดินหน้าปรับราคาได้คาดว่าจะทำให้การนำเข้า LPG จะสูงถึง 1.7 แสนตันต่อเดือนจากปี 2555 ที่การนำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.46 แสนตันต่อเดือน
ทั้งนี้การจ่ายชดเชยนำเข้า LPG ปี 2555 คิดเป็นมูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาทและเมื่อรวมตั้งแต่ 2551-2555 หรือตลอด 5 ปีที่ผ่านมาคิดเป็นเงินสูงถึง 9.54 ล้านบาท ซึ่งแผนของกระทรวงพลังงานต้องการปรับโครงสร้างราคาให้สะท้อนต้นทุนโดย LPG ครัวเรือนจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ภาคขนส่งอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกก. จะปรับไปอยู่ที่ 24.82 บาทต่อกก.โดยจะเป็นการทยอยปรับขึ้น ขณะที่LPG อุตสาหกรรมกำหนดราคาไม่เกิน 30.13 บาทต่อกก. ส่วนNGV ราคา 10.50 บาทต่อกก.แต่มีเงื่อนไขบมจ.จะต้องสร้างปั๊มให้ทั่วทุกจังหวัดก่อนโดยคาดว่าจะปรับขึ้นอีก 1-2 บาทต่อกก.
นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกปี 2556 ภาพรวมจะไม่หวือหวาโดยคาดว่า เวสเท็กซัสเฉลี่ยจะอยู่ที่ 80-95 เหรียญฯต่อบาร์เรล เบรนท์เฉลี่ย 100-110 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดูไบเฉลี่ย 95-105 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่ไม่ได้ต่างจากปี 2555 มากนัก ดังนั้นรัฐบาลคงไม่มีโอกาสที่จะเรียกคืนเงินสรรพสามิตดีเซลที่ลดลงไป 5 บาทต่อลิตรก่อนหน้านี้ได้หมดแต่น่าจะมีการเรียกคืนบางส่วนได้โดยดูช่วงราคาน้ำมันโลกขาลง
“ราคาดีเซลโอกาสจะเห็นการลดราคาจึงน่าจะยากหากตลาดโลกลดเพราะกองทุนน้ำมันฯเองคงจะต้องเรียกเก็บคืนและส่วนหนึ่งอาจจะต้องส่งคืนภาษีสรรพสามิตด้วย “นายมนูญกล่าว รัฐควักอุ้มดีเซลกว่า 1.5 แสนลบ.
ทั้งนี้รัฐบาลสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ลดภาษีสรรพสามิตดีเซลจาก 5.31 บาทต่อลิตรเหลือ 0.005 บาทต่อลิตรตั้งแต่เม.ย. 54 ต่อมารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารช่วงส.ค. 54 ก็ได้เข้ามาต่อมาตรการดังกล่าวต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหากคิดเฉพาะรัฐบาล”ยิ่งลักษณ์” รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีฯดีเซลไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาทหากนับเฉพาะปี 2555 จ่ายไปในระดับ 1.08 แสนล้านบาท โดยยังไม่รวมกับเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ควักจ่ายในการดูแลระดับราคาน้ำมันรวมอีกราว 1.3 หมื่นล้านบาท
ค่าไฟปี’56ขาขึ้นเหตุยังต้องใช้หนี้เก่า
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ยอมรับว่า แนวโน้มอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที)รอบเดือนม.ค.-เม.ย. 2556 จะยังคงปรับขึ้นไม่เกิน 10 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติยังสูงที่ 300 บาท/ล้านบีทียูใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมา ประกอบกับยังมีหนี้ค้างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)อยู่ 7,000 ล้านบาทที่ช่วยตรึงค่าเอฟทีงวดก่อนหน้านี้ไว้ ดังนั้นเดือนม.ค. เรกูเลเตอร์คงจะต้องมาพิจารณาตัวเลขต้นทุนต่างๆ โดยต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจและความสามารถในการแบกรับภาระของกฟผ.
“คงจะต้องดูหลายๆ ปัจจัยรวมถึงผลกระทบต่อประชาชนด้วยเพราะต้องดูเศรษฐกิจภาพรวม เบื้องต้นค่าเอฟทีคงต้องปรับขึ้นบ้าง เนื่องจากยังมีภาระที่กฟผ.เข้ามาอุ้มค่าเอฟทีสะสมไว้ประมาณ 6 สต. คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท ถ้าปรับขึ้นค่าเอฟทีได้10สต./หน่วยก็สามารถล้างหนี้ได้หมดในรอบเดียว”นายดิเรกกล่าว
ทั้งนี้ค่าเอฟทีรอบเดือนม.ค.-เม.ย. 2555 เดิมจะต้องปรับขึ้น 18.31 สต./หน่วยแต่ก็ตรึงไว้เป็นศูนย์ เนื่องจากเพิ่งผ่านวิกฤตอุทกภัยไม่ต้องการสร้างภาระให้กับประชาชน หลังจากนั้นก็ประกาศให้ตรึงค่าเอฟทีเป็นศูนย์ในเดือนพ.ค. 2555 อีก 1 เดือน ในขณะที่ค่าเอฟทีรอบเดือนมิ.ย.-ส.ค.2555 ประเมินจากต้นทุนจริงต้องเพิ่มขึ้น 57.45 สต./หน่วยแต่ปรับขึ้นเพียง 30 สต./หน่วยและค่าเอฟทีรอบเดือนก.ย.-ธ.ค. ค่าเอฟทีปรับขึ้น 18 สต./หน่วย มาอยู่ที่ 48 สต./หน่วย จากตัวเลขจริงจะต้องปรับขึ้น 68.24 สต./หน่วย
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกภาพรวมปี 2556 ดิบดูไบเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ประมาณ 100-110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปีนี้ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 106 เหรียญฯต่อบาร์เรล เนื่องจากการผลิตน้ำมันภาพรวมยังคงมากกว่าความต้องการจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว แต่ราคาขายปลีกของไทยโดยเฉพาะราคาดีเซลคงอยู่ที่นโยบายรัฐบาลว่าจะมีการเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซลคืนหรือไม่จากที่ยกเว้นการจัดเก็บเฉลี่ย 5 บาทต่อลิตร
สำหรับก๊าซหุงต้มหรือ LPG ปี 2555 ยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่องโดยภาคขนส่งมีการขยายตัวสูงถึง 15% ทำให้การใช้LPGปี 2555 เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 6.05 แสนตันเพิ่มขึ้น 11% ซึ่งหากรัฐบาลสามารถเดินหน้าในการปรับโครงสร้างราคาLPGตามเป้าหมายได้ก็จะทำให้ลดภาระการนำเข้าลงและยังทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดการจ่ายเงินอุดหนุนลงได้อีก แต่หากไม่สามารถเดินหน้าปรับราคาได้คาดว่าจะทำให้การนำเข้า LPG จะสูงถึง 1.7 แสนตันต่อเดือนจากปี 2555 ที่การนำเข้าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.46 แสนตันต่อเดือน
ทั้งนี้การจ่ายชดเชยนำเข้า LPG ปี 2555 คิดเป็นมูลค่า 3.2 หมื่นล้านบาทและเมื่อรวมตั้งแต่ 2551-2555 หรือตลอด 5 ปีที่ผ่านมาคิดเป็นเงินสูงถึง 9.54 ล้านบาท ซึ่งแผนของกระทรวงพลังงานต้องการปรับโครงสร้างราคาให้สะท้อนต้นทุนโดย LPG ครัวเรือนจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) ภาคขนส่งอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกก. จะปรับไปอยู่ที่ 24.82 บาทต่อกก.โดยจะเป็นการทยอยปรับขึ้น ขณะที่LPG อุตสาหกรรมกำหนดราคาไม่เกิน 30.13 บาทต่อกก. ส่วนNGV ราคา 10.50 บาทต่อกก.แต่มีเงื่อนไขบมจ.จะต้องสร้างปั๊มให้ทั่วทุกจังหวัดก่อนโดยคาดว่าจะปรับขึ้นอีก 1-2 บาทต่อกก.
นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกปี 2556 ภาพรวมจะไม่หวือหวาโดยคาดว่า เวสเท็กซัสเฉลี่ยจะอยู่ที่ 80-95 เหรียญฯต่อบาร์เรล เบรนท์เฉลี่ย 100-110 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดูไบเฉลี่ย 95-105 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่ไม่ได้ต่างจากปี 2555 มากนัก ดังนั้นรัฐบาลคงไม่มีโอกาสที่จะเรียกคืนเงินสรรพสามิตดีเซลที่ลดลงไป 5 บาทต่อลิตรก่อนหน้านี้ได้หมดแต่น่าจะมีการเรียกคืนบางส่วนได้โดยดูช่วงราคาน้ำมันโลกขาลง
“ราคาดีเซลโอกาสจะเห็นการลดราคาจึงน่าจะยากหากตลาดโลกลดเพราะกองทุนน้ำมันฯเองคงจะต้องเรียกเก็บคืนและส่วนหนึ่งอาจจะต้องส่งคืนภาษีสรรพสามิตด้วย “นายมนูญกล่าว รัฐควักอุ้มดีเซลกว่า 1.5 แสนลบ.
ทั้งนี้รัฐบาลสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ลดภาษีสรรพสามิตดีเซลจาก 5.31 บาทต่อลิตรเหลือ 0.005 บาทต่อลิตรตั้งแต่เม.ย. 54 ต่อมารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาบริหารช่วงส.ค. 54 ก็ได้เข้ามาต่อมาตรการดังกล่าวต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งหากคิดเฉพาะรัฐบาล”ยิ่งลักษณ์” รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีฯดีเซลไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาทหากนับเฉพาะปี 2555 จ่ายไปในระดับ 1.08 แสนล้านบาท โดยยังไม่รวมกับเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ควักจ่ายในการดูแลระดับราคาน้ำมันรวมอีกราว 1.3 หมื่นล้านบาท
ค่าไฟปี’56ขาขึ้นเหตุยังต้องใช้หนี้เก่า
นายดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) ยอมรับว่า แนวโน้มอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที)รอบเดือนม.ค.-เม.ย. 2556 จะยังคงปรับขึ้นไม่เกิน 10 สตางค์ต่อหน่วย เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติยังสูงที่ 300 บาท/ล้านบีทียูใกล้เคียงกับรอบที่ผ่านมา ประกอบกับยังมีหนี้ค้างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)อยู่ 7,000 ล้านบาทที่ช่วยตรึงค่าเอฟทีงวดก่อนหน้านี้ไว้ ดังนั้นเดือนม.ค. เรกูเลเตอร์คงจะต้องมาพิจารณาตัวเลขต้นทุนต่างๆ โดยต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจและความสามารถในการแบกรับภาระของกฟผ.
“คงจะต้องดูหลายๆ ปัจจัยรวมถึงผลกระทบต่อประชาชนด้วยเพราะต้องดูเศรษฐกิจภาพรวม เบื้องต้นค่าเอฟทีคงต้องปรับขึ้นบ้าง เนื่องจากยังมีภาระที่กฟผ.เข้ามาอุ้มค่าเอฟทีสะสมไว้ประมาณ 6 สต. คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท ถ้าปรับขึ้นค่าเอฟทีได้10สต./หน่วยก็สามารถล้างหนี้ได้หมดในรอบเดียว”นายดิเรกกล่าว
ทั้งนี้ค่าเอฟทีรอบเดือนม.ค.-เม.ย. 2555 เดิมจะต้องปรับขึ้น 18.31 สต./หน่วยแต่ก็ตรึงไว้เป็นศูนย์ เนื่องจากเพิ่งผ่านวิกฤตอุทกภัยไม่ต้องการสร้างภาระให้กับประชาชน หลังจากนั้นก็ประกาศให้ตรึงค่าเอฟทีเป็นศูนย์ในเดือนพ.ค. 2555 อีก 1 เดือน ในขณะที่ค่าเอฟทีรอบเดือนมิ.ย.-ส.ค.2555 ประเมินจากต้นทุนจริงต้องเพิ่มขึ้น 57.45 สต./หน่วยแต่ปรับขึ้นเพียง 30 สต./หน่วยและค่าเอฟทีรอบเดือนก.ย.-ธ.ค. ค่าเอฟทีปรับขึ้น 18 สต./หน่วย มาอยู่ที่ 48 สต./หน่วย จากตัวเลขจริงจะต้องปรับขึ้น 68.24 สต./หน่วย