xs
xsm
sm
md
lg

นักการเมือง อาชีพที่รวยที่สุดเพราะ ??

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พอถึงเวลาเปิดแสดงบัญชีทรัพย์สินของพวกนักการเมืองเมื่อไหร่ ทำเอาประชาชนนั่งมองตาปริบๆ เกาหัวแกรกๆ ด้วยมูลค่าเงิน และทรัพย์สินมหาศาล อู้ฟู่แบบผิดหูผิดตา รวยแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เลยโดนปรามาสอยู่บ่อยๆ ว่านักการเมืองคื “ไอ้คนขี้โกง”

แต่อย่างไรก็ตาม รายได้เย้ายวนบวกสิทธิพิเศษยิบย่อย หมกเม็ดอีกมากมาย นักการเมืองจึงกลายเป็นอาชีพทำเงินที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ใช่ว่าจะได้มาแบบง่ายๆ เพราะแต่ละคราวเลือกตั้ง ขึ้นสังเวียนก็ต้องสร้างอำนาจบารมีด้วยการทุ่มเงินไปมากโข แต่ก็เอาเถอะ ถ้าได้เก้าอี้มาแล้ว ยังไงก็คุ้มเกินคุ้ม !!

เปิดคลังสมบัติ นักการเมือง

คนค้ายาว่ารวยเร็วแล้ว ก็ยังแพ้นักการเมือง หลังเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้ออกมาเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในครม. ปู-ยิ่งลักษณ์ 3 ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 23 ราย 24 ตำแหน่ง ที่มีทั้ง ส.ส.หน้าใหม่ ส.ส.หน้าเก่า แต่ละคนเห็นแล้วต้องร้อง อื้อหือ รวยสะเด็ดกันจริงๆ

จากข้อมูลที่เผยออกมานั้น พบว่า พงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ ขึ้นแท่นรวยที่สุดด้วยทรัพย์สินกว่า 2,921,347,996 บาท ขาดอีกนิดหน่อยก็จะครบ 3 พันล้าน ตามมาติดๆ ด้วย นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข มีทรัพย์สิน 963,772,183 บาท เฉียดพันล้านไปแค่นิดเดียว และอันดับ 3 คือ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน มีทรัพย์สินกว่า 842,649,507 บาท แต่ส่วนใหญ่แอบซุกเป็นทรัพย์สินในรายการของบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ คือ นายพริษฐ์ และ น.ส.พิชญา รักตพงศ์ไพศาล มูลค่ากว่า 850 ล้านบาท

ส่วนรัฐมนตรีหน้าใหม่คนอื่นๆ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเป็นครั้งแรก ก็ไม่ยอมน้อยหน้าอย่าง นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 25,422,578 บาท น.ส. ศันสนีย์ นาคพงษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 54,718,733 บาท นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 17,131,643 บาท นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รมช.เกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 5,122,684 บาท นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมช.คมนาคม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 32,886,663 บาท

ไม่เพียงแต่นักการเมืองที่นั่งหน้าสลอนอยู่ในสภาเท่านั้นที่กลายเป็นเศรษฐี แม้กระทั่งนักการเมืองท้องถิ่นเองก็ขึ้นชื่อว่า ร่ำรวยแบบรวดเร็วไม่แพ้กัน ดังนั้นการแข่งขันตามท้องถิ่นต่างจังหวัด จึงอาจจะดูเถื่อนดิบเพื่อช่วงชิงตำแหน่ง อย่างที่เราเห็นข่าวกันบ่อยๆ ว่า นายกเทศมนตรี อบต. ถูกยิง ถูกฆ่า กันเป็นว่าเล่น

คนธรรมดาทั่วไปคงมองว่า อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่รวยง่าย รวยเร็ว รศ. ยุทธพร อิสรชัย คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ก็เห็นด้วยในข้อเท็จจริงนี้ แต่ก็เสริมว่าไม่ใช่แค่เพียงวงการนี้วงการเดียวที่มีการคอร์รัปชั่น

“เป็นมุมมอง ทัศนคติของคนไทยอยู่แล้วที่ว่านักการเมืองมักรวยด้วยการโกง ซึ่งการมองด้วยทัศนะแบบนี้มันก็เป็นเรื่องจริงนะครับ ที่เราจะเห็นว่ามีการคอร์รัปชั่นในการเมือง แต่ไม่ใช่แค่วงการนักการเมืองที่จะทำสิ่งซึ่งไม่ถูกต้องอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือเอกชนต่างๆ ก็จะมีปัญหาในเรื่องการคอร์รัปชั่น หรือการได้เงินมาโดยไม่ถูกต้อง ถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากมโนทัศน์ที่เราถูกสอนให้มองภาพนักการเมืองทั้งหลายเหมือนผู้ร้าย แต่ความจริงนั้นทุกภาคส่วนหรือองค์กรก็สามารถเกิดภาพของการร่ำรวยแบบผิดปกติได้อยู่แล้วครับ”

เงินเดือนฟรี จากภาษีประชาชน

สำหรับอัตราเงินเดือนของคณะรัฐบาลชุดนี้ที่มาจากภาษีเราๆ ท่านๆ เอามาจ้างนักการเมือง เห็นแล้วอาจจะดูไม่มากแต่คนธรรมดาคงจะบอกอยู่แบบสบาย สบาย ไปทั้งเดือน ซึ่งส.ส.ชุดล่าสุดนี้ ได้รับเงินเดือนเพิ่มมากขึ้นจากส.ส. ชุดที่ผ่านมา โดยจะได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มในอัตราใหม่ หลังจากมีการแก้ไขปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2554 ก็ต้องเข้าใจนานๆ ไป เงินเดือนก็ย่อมต้องขยับขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถามว่าทำงานคุ้มกับภาษีประชาชนหรือไม่? อันนี้ต้องไปถาม "ทั่น" ผู้ทรงเกียรติในสภาเอาเอง

เงินเดือนในครม. ชุดนี้ ได้เพิ่มเพดานสูงขึ้นอีกเล็กน้อย ถัวเฉลี่ยก็ได้ประมาณคนละหนึ่งแสนบาท ส่วนต่างนิดหน่อยที่เหลือก็ว่ากันไปตามแต่ละตำแหน่ง แต่จำนวนเงินเดือนของท่านผู้ทรงเกียรติแต่ละท่านที่ได้รับเพิ่มขึ้นในสภายุคน้องปู รวมทั้งหมดแล้วน้อยกว่ากันเพียง 2,000 กว่าบาทก็จะเท่ากับเงินเดือนของนายกรัฐมนตรีแล้ว

ในอดีตย้อนไปเมื่อ พ.ศ. 2535 หรือ 20 ปีมาแล้ว ตอนนั้นอาชีพ ส.ส. จะมีรายได้ประมาณ 60,000 บาทเท่านั้น สามปีต่อมา พ.ศ. 2538 ก็ได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณคนละ 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 110,000 บาท และมาก่อนหน้า ครั้งล่าสุด เมื่อปี พ.ศ. 2548 ก็ปรับเพิ่มรายได้ให้อีกประมาณ 100,000 ต้นๆ และมากสุดอยู่ที่ 115,920 บาท

เงินเดือนที่ได้นักการเมืองหลายคนคงไม่พอกิน เลยต้องตะกรุมตะกรามหาเอาจากตำแหน่งหน้าที่ที่มีอยู่ โดย รศ. ยุทธพร ก็กล่าวว่า รูปแบบในการคอร์รัปชั่นก็จะมีอยู่หลากหลายให้เลือกโกงกันตามใจชอบ

“การคอร์รัปชั่นก็จะมีอยู่หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำโครงการ แล้วเอาคนของตัวเองไปทำ ใช้บริษัทของตัวเองไปเป็นผู้รับเหมา การจัดซื้อ-จัดจ้าง การทำสัมปทาน หรือการให้บริษัทตัวแทนที่เข้ามาทำให้เราแล้วแบ่งกันในลักษณะที่เรียกว่า การรับเงินทอน คือให้บริษัทหน่วยงานไปทำแล้วก็เอาเงินมาแบ่งจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ก็ว่ากันไป”

คนไทยแขยง “นักการเมือง” แชมป์อาชีพโกง

โพลหลายสำนักอย่างดุสิตโพลก็ได้ทำการวิจัยเรื่อง ประชาชนมีความคิดเห็นอย่างไร? กรณีไทยติดอันดับ 88 คอร์รัปชั่นของโลก โดยได้ทำการสำรวจเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 33.25 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าเป็นเรื่องน่าอาย ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสื่อมเสีย และพร้อมใจกันยกแชมป์ให้ “นักการเมือง” เป็นอาชีพที่ประชาชนคิดว่ามีการคอร์รัปชั่นมากที่สุดถึง 45.39 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการ ส่วนสาเหตุในการคอร์รัปชั่น ประชาชน 37.96 เปอร์เซ็นต์มองว่า เกิดจากการใช้อำนาจในทางที่ผิด และเห็นช่องทางในการได้เงิน

คงจะจริงอย่างที่โพลปรากฏผล ถึงแม้รายได้ในแต่ละเดือนของนักการเมืองจะอยู่พอได้พอกินแบบอิ่มหมีพีมันก็ตาม แต่ความละโมบโลภมากก็ไม่เข้าใครออกใคร จึงใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองมาหนุนให้ร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เป็นช่องทางทำกินที่ต้องรีบหาผลประโยชน์ก่อนจะพ้นจากเก้าอี้ที่ครอง

เงินเดือนที่รวมแล้วตกเดือนละแสน หนึ่งปี 12 เดือน ก็เท่ากับมีรายได้รวม หนึ่งล้านสองแสน แต่อุ้ยตาย! เงินในบัญชีท่านทั้งหลายทำไมมีเงินเก็บหลายล้าน ไปจนถึงหลักพันล้าน บุญทำกรรมแต่งมาอย่างไร เงินเก็บถึงนอนกองสูงเป็นภูเขา อ้างว่าที่บ้านมีธุรกิจอยู่แล้ว รวยอยู่แล้ว มันก็ใช่หรอกหนา แต่คนเพิ่งได้ลงมาทำงานในสภาชุดนี้แค่ขวบปี ดันมีเงินเก็บเป็นถุงเป็นถัง กระเป๋าตังค์ตุง

สำหรับเส้นทางสายการเมืองที่ส่วนมากคล้ายจะเป็นมรดกตกทอดอีกชิ้นในครอบครัว จำกัดวงเฉพาะคนเดิมๆ หน้าใหม่อาจมีบ้าง แต่คงต้องใช้เวลาปลุกปั้นอยู่นานกว่าจะเกิดบารมีได้เป็นตัวจริง รศ. ยุทธพร อธิบายว่า

“ในตระกูลของนักการเมืองไทยมันเป็นสิ่งที่แยกแยะไม่ออกกับความเป็นสาธาณะ มันเป็นเรื่องเชิงความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือเครือญาติ ก็จะเห็นว่าหลายๆ ตำแหน่งก็ถูกยึดโยงเอาไว้ จากครอบครัวที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในหน่วยงานตรงนั้น เช่นเดียวกันข้าราชการระดับสูง ก็มีลูกหลานที่ฝากเข้าไปทำงาน กลายเป็นให้ความสำคัญส่วนตัวมากกว่าสาธารณะ เลยทำให้ในเรื่องเหล่านี้กลายวัฒนธรรมที่คนไทยไม่สามารถแยกเรื่องครอบครัวกับเรื่องสาธารณะออกได้

ส่วนลักษณะของการเมืองในบ้านเราจะมีความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ตรงนี้ก็เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการสร้างผลประโยชน์ต่อกัน เพราะฉะนั้นบางเวลาจะทำอะไรก็ต้องพึ่งอิทธิพลท้องถิ่น เจ้าพ่อ ส่วนพวกที่ต้องการจะมีตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองก็ต้องหาผู้นำพาเข้าไปก็จะเกิดเรื่องของการเข้าไปตอบแทน สนับสนุนหรือคอร์รัปชั่นนั่นเอง ”

ส่วน อ. ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ก็มองเห็นว่าในขณะนี้นักการเมืองไม่ได้มีเพียงแต่พวกหน้าเดิมๆ ตระกูลเดิมๆ อีกต่อไป แต่เริ่มมีจำนวนของนักลงทุน นักธุรกิจ ลงมาแข่งในสนามการเมืองมากขึ้น

“นักการเมืองไทยเนี่ย ผมว่ามีที่มาหลายแบบนะครับ ทั้งมาจากกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นก็มี มาจากกลุ่มนายทุนระดับชาติก็มี มาจากตระกูลเก่าแก่ก็มี มาจากกลุ่มพวกชนชั้นกลางก็มี จากกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ก็มี แต่ว่าในบ้านเรากลุ่มที่มาจาก ผู้นำมวลชนท้องถิ่นต่างๆ นั้น จากกระบวนการชุมชน ผมว่ายังเป็นองค์ประกอบที่น้อยอยู่ค่อนข้างมากครับ”

ฝันเฟื่อง นักการเมืองมีคุณธรรม

เมื่อเอ่ยถึงคำว่า นักการเมืองมีคุณธรรม คงเป็นได้เพียงแค่ความฝัน นักการเมืองในอุดมคติที่แสนสูงส่งทำเพื่อประชาชนโดยแท้จริงคงหายากในยุคน้ำขึ้นให้รีบตัก ได้เวลาโกยก็ต้องโกยเอาคืนที่เสียไปให้คุ้ม ภาพลักษณ์นักการเมืองในสายตาคนไทยเลยกลายเป็นติดลบ ขี้โกง ชั่ว ฉ้อฉล !!

ความคิดเห็นของคนทั่วไปสำหรับนักการเมืองในอุดมคติ คงจะต้องนึกถึง คนมีคุณธรรม กล้าหาญ มีสติปัญญา ประวัติขาวสะอาด ซื่อสัตย์สุจริต มีอุดมการณ์ รักชาติ ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ฯลฯ ส่วน อ.ศิโรตม์ มองใกล้ตัวกว่านั้น โดยเชื่อว่า ขณะนี้เรื่องการจัดทำนโยบายสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเป็นเรื่องสำคัญ และนักการเมืองต้องเร่งมือโดยพลัน

“อยากให้เป็นนักการเมืองที่มีความสามารถในการบริหารนโยบายสาธารณะในเรื่องต่างๆ ในการให้ประโยชน์ต่อสังคมได้ แล้วก็สามารถมองออกว่าทิศทางในอนาคตของสังคมในช่วงสิบปี ยี่สิบปี ต้องแพลนนโยบายออกมาให้ถูก

ซึ่งผมว่าตอนนี้เรื่องของนักการเมืองก็มีแนวโน้มจะดีขึ้นนะครับ เพราะว่าอย่างน้อยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าการเถียงเรื่องนโยบายสาธารณะของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร มันกลายเป็นประเด็นของทุกภาคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามากขึ้น การพูดเรื่องการกระจายอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ คือมันคงไม่ได้ดีแบบปุบปับ แต่ผมว่ามันมีทิศทางที่น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราให้เวลากับมัน”   

นอกจากนั้น อ.ศิโรตม์ ยังมั่นใจว่าสันดานโกงกินของนักการเมืองจอมสวาปาม เหลือบไรตัวใหญ่ในสังคมจะสามารถแก้ได้เพียงแต่ต้องใช้เวลา

“แก้ได้ครับแต่ต้องใช้เวลา ที่สำคัญคือต้องแก้ด้วยการสร้างประชาธิปไตยให้มันเติบโตมากขึ้น การสร้างนโยบายให้เข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ มีองค์กรที่มาตรวจสอบ มีภาคประชาชนกลุ่มที่เข้มแข็งมากขึ้น”

ไหนๆ พวกท่านก็ได้รับ เงินเดือนฟรีจากภาษีประชาชนเป็นหลักแสนแล้ว ก็อยากฝากให้นักการเมืองทั้งหลายท่องเอาไว้ในใจว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ดีไม่ดีขี้โกงมากๆ อาจได้ไปกินในคุกเสียด้วย!!


** อัตราเงินเดือนของครม. นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ** 

นายกรัฐมนตรี
เงินเดือน 75,590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท รวมทั้งสิ้น 125,590 บาท
รองนายกรัฐมนตรี
เงินเดือน 74,420 บาท เงินประจำตำแหน่ง 45,500 บาท รวมทั้งสิ้น 119,920 บาท
ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการของทุกกระทรวง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เงินเดือน 73,240 บาท เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท รวมทั้งสิ้น 115,740 บาท
รัฐมนตรีช่วยว่าการทุกกระทรวง
เงินเดือน 72,060 บาท เงินประจำตำแหน่ง 41,500 บาท รวมทั้งสิ้น 113,560 บาท
ประธานสภาผู้แทนราษฎร
เงินประจำตำแหน่ง 75,590 บาท เงินเพิ่ม 50,000 บาท รวมทั้งสิ้น 125,590 บาท
รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
เงินประจำตำแหน่ง 73,240 บาท เงินเพิ่ม 42,500 บาท รวมทั้งสิ้น 115,740 บาท
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
เงินประจำตำแหน่ง 73,240 บาท เงินเพิ่ม 42,500 บาท รวมทั้งสิ้น 115,740 บาท
ส.ส. ทั้งระบบบัญชีรายชื่อ และ ระบบเขต
เงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาท เงินเพิ่ม 42,330 บาท รวมทั้งสิ้น 113,560 บาท
 

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live


สภาผู้ทรงเกียรติ

กำลังโหลดความคิดเห็น