ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ในที่สุด คณะพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็มีมติให้ดำเนินคดีต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้รับผิดชอบสูงสุดของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ ศอฉ. ในคดีการตายของเจ้าหน้าที่และประชาชนช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ ในฐานะของหัวหน้าพนักงานสอบสวนกรณีการตายของผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 จำนวน 91 ศพ แถลงผลการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนซึ่งประกอบด้วย ดีเอสไอ อัยการและตำรวจ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ว่า มีมติร่วมกันให้ดำเนินการแจ้งข้อหากับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ในข้อหา “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,83,84 และ 288
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือแจ้งให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมารับทราบข้อหาและสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ เวลา 14.00 น. หากมารับทราบข้อหาและสอบสวนแล้วจะใช้ดุลยพินิจปล่อยตัวโดยไม่ขอศาลฝากขัง เพราะทั้ง 2 คนเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงออกหมายเชิญแทนหมายเรียก
การแจ้งข้อหาดังกล่าว นายธาริตได้อ้างถึงกรณีที่ศาลมีคำสั่งในคดีไต่สวนการตายของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่ว่า เกิดจากทหารที่ปฏิบัติการตามคำสั่ง ศอฉ. ทำให้พนักงานสอบสวนจำเป็นต้องยึดถือข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นที่ยุติและดำเนินการหาผู้รับผิดชอบ
นายธาริตอ้างอีกว่า พยานหลักฐานสำคัญที่ทำให้พนักงานสอบสวนมีมติเห็นควรแจ้งข้อหาแก่บุคคลทั้งสอง มาจากพยานที่ได้จากการไต่สวนและคำสั่งของศาล รวมถึงพยานหลักฐานที่ได้จากการสอบสวนเพิ่มเติม เช่น การสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าประทะกับผู้ชุมนุม ซึ่ง ศอฉ.เรียกว่าการกระชับพื้นที่และการขอคืนพื้นที่ การสั่งใช้อาวุธปืน การสั่งใช้พลซุ่มยิง โดยมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก ผอ.ศอฉ. โดยอ้างว่าเกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ใน ศอฉ.ว่านายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้รับรู้ร่วมสั่งการและพักอาศัยอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการของ ศอฉ.ตลอดเวลา นอกจากนี้ มีการกระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง แม้จะเกิดความสูญเสียชีวิตของประชาชนแล้วแต่ก็ไม่ได้มีระงับยับยั้งหรือใช้แนวทางอื่น ประกอบกับมีพยานแวดล้อมอื่นที่บ่งชี้ว่าเป็นเจตนาเล็งเห็นผลว่าได้รวมกันสั่งการเช่นนั้นจะทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมากและต่อเนื่องหลายวัน
ส่วนทหารที่เข้าปฏิบัติการนั้น นายธาริตอ้างว่า ศาลไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร ผลการสอบสวนก็ไม่อาจระบุตัวตนได้ ทำให้ในชั้นนี้จึงยังไม่แจ้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการทำงานของ ศอฉ.มีรูปแบบเป็นคณะกรรมการ เหตุใดจึงแจ้งข้อหาแค่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ นายธาริต อ้างว่า เรื่องดังกล่าวมีอยู่ในรายละเอียดการสอบสวน ไม่ขอเปิดเผย แต่บอกได้เพียงสั้น ๆ ว่าเมื่อศาลสั่งว่าการเสียชีวิตมาจากการสั่งการของ ศอฉ. จึงต้องดูว่าใครมีอำนาจใน ศอฉ. ซึ่งมี 2 คนคือนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ
นายธาริตยังอ้างอีกว่า การสอบสวนคดีดังกล่าวดีเอสไอไม่ได้ทำตามใบสั่งใคร เพราะเป็นคดีใหญ่ ทุกคดีต้องไปจบที่ศาล พนักงานสอบสวนไม่สามารถใช้อำนาจกลั่นแกล้งใครได้ ที่สำคัญเหตุรุนแรงมีผู้เขาข่ายกระทำผิดทั้ง 2 ฝ่าย และกลุ่มฮาร์ดคอร์ของผู้ชุมนุม คือ นปช.ถูกดำเนินคดีและมีการฟ้องร้องต่อศาลไปแล้ว 62 คดี มีจำเลย 295 คน ส่วนกลุ่มผู้สั่งการของ ศอฉ.เพิ่งจะถูกดำเนินคดีนี้เป็นคดีแรก
ภายหลังการแถลงของนายธาริต ก็มีเสียงตอบโต้ออกมาจากพรรคประชาธิปัตย์ทันที โดยนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า การแจ้งข้อหาต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นการใช้อำนาจรัฐในทางที่ผิดเพื่อคุกคามฝ่ายตรงข้าม และไม่แปลกใจที่ดีเอสไอต้องรีบเร่งทำเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นเรื่องที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง และพยายามที่จะทำเรื่องนี้ในช่วงที่ปิดสมัยประชุมสภา เพื่อที่จะให้ทั้งสองไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง
การกระทำดังกล่าวมีความจงใจที่จะตั้งข้อหาให้ได้ ทั้งในแง่การสืบสวนสอบสวนที่มีการตั้งธงจะเอาผิดผู้ออกคำสั่งในนาม ศอฉ. รวมทั้งการไต่สวนของศาลนั้นก็เป็นการไต่สวนมูลเหตุเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกกล่าวหาที่จะไปแก้ต่างให้กับตนเองได้
รวมทั้งคำสั่งของศาลว่าการเสียชีวิตของนายพัน คำกองนั้น เกิดจากฝีมือของเจ้าหน้าที่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่คนไหน หรือหากจะอ้างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ. ก็ยืนยันว่าไม่มีคำสั่งของ ศอฉ.ฉบับไหนที่สั่งให้ทหารไปใช้ความรุนแรงกับประชาชนหรือสั่งให้ทหารไปฆ่าประชาชน เพราะมีแต่เพียงคำสั่งที่ให้ทหารออกไปรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จากกลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือชายชุดดำ ดังนั้นจึงเป็นการตีเจตนาว่าเป็นการเล็งเห็นผลนั้นไม่ได้
การเอาคำสั่งของศาลมาตีความว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นผู้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา หรือเล็งเห็นผลนั้นยิ่งเป็นการตีความที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย หรือขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายแทบทั้งสิ้น เพราะคดีที่ศาลมีคำสั่งนั้นเป็นเพียงการไต่สวนว่าผู้ตายเป็นใคร ตายเมื่อไหร่ ตายอย่างไร ตายที่ไหน แต่ไม่มีในคำสั่งศาลเลยที่ชี้ว่าใครเป็นคนสั่งหรือเกี่ยวข้อง ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงเป็นความพยายามที่จะนำกระบวนการยุติธรรมมาบิดเบือนเพื่อเอาผิดกับบุคคลทั้ง 2 หวังเพียงเพื่อกดดันฝั่งของพรรคฝ่ายค้านให้ยอมรับกระบวนการปรองดองและการนิรโทษกรรม
เป็นเรื่องปกติที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาปกป้องนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ แต่หากมองพฤติการณ์ที่มาที่ไปของการทำคดีนี้ คงมีน้อยคนนักที่จะเชื่อตามข้ออ้างของนายธาริตดังกล่าว ยกเว้นคนเสื้อแดงและบริวารของทักษิณ ชินวัตร ที่จะได้ประโยชน์จากการที่หัวเรือใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ต้องมีชะนักติดหลัง
โดยลึกๆ แล้ว นายธาริตน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่า คำสั่งของศาลกรณีการตายของนายพัน คำกอง ยังไม่อาจจะเอาผิดนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพในข้อหาร่วมกันทำให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ได้
นั่นเพราะมาตราดังกล่าว ระบุว่า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำความโดยประมาท …กระทำโดยเจตนา ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและ ในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการ กระทำนั้น…”
เห็นได้ชัดเจนว่า คำสั่งของศาลกรณีการตายของนายพัน คำกอง ที่มีออกมาเมื่อวันที่ 17 ก.ย.2555 นั้น เป็นการชี้ถึงลักษณะการตาย และสาเหตุการตายเท่านั้น โดยระบุว่าเป็นการเสียชีวิตจากกระสุนของเจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติการตามคำสั่งของ ศอฉ. แต่ไม่ได้ระบุว่าเจ้าหน้าที่คนใดเป็นคนยิง
สิ่งที่เชื่อมโยงการตายของนายพัน คำกอง ไปถึงนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จึงมีเพียงเรื่องที่เจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการตามคำสั่ง ศอฉ. แต่จะชี้ชัดว่า ทั้งสองคนเจตนาเล็งเห็นผลให้นายพันเสียชีวิตนั้น ยังไม่ได้แน่นอน
ส่วนคำสั่งของ ศอฉ.ให้ปฏิบัติการกระชับพื้นที่หรือขอคืนพื้นที่ และการสั่งให้ใช้พลซุ่มยิงนั้น มีขึ้นหลังจากที่มีกองกำลังชายชุดดำเข้าไปแฝงตัวอยู่กับผู้ชุมนุมและใช้อาวุธหนักยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ จนทำให้ทหารและประชาชนเสียชีวิต
พยานหลักฐานเหล่านี้ จะทำให้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมีโอกาสถูกยกฟ้องในที่สุด และคนอย่างนายธาริตที่อยู่ในแวดวงการใช้กฎหมายมานานน่าจะรู้เรื่องนี้ดี
แต่ที่ต้องตั้งข้อหานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพนั้น เป็นไปตามใบสั่งของใครก็รู้ๆ กันอยู่