“อภิสิทธิ์” ยันพร้อมเข้าพบดีเอสไอเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันให้ผู้อื่นฆ่าคนตายในเหตุการณ์แดงเผาเมือง ติง “ธาริต” จงใจให้ข่าวไม่ครบเพื่อให้คนฟังสับสน ชี้ “พัน คำกอง” เสียชีวิตเพราะถูกลูกหลงเจ้าหน้าที่ขณะวิ่งมาดูเหตุการณ์ สงสัยอธิบดีดีเอสไอ เป็น ศอฉ.มีกฎหมายคุ้มครอง แต่ “สุเทพ” กลับถูกแจ้งข้อหา พร้อมดักคอ พท.จ้องตัดตอนความผิด “ยิ่งลักษณ์” ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ป.ป.ช.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และหนึ่งในกรรมการ ศอฉ. ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นกรรมการฝ่ายยุทธการในการออกคำสั่งขอคืนพื้นที่ในการ ชุมนุมเมื่อปี 53 จึงไม่ได้รับรู้คำสั่งจนทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิตว่า นายธาริตทราบดีว่าตอนทำงานใน ศอฉ.ทำอะไร อย่างไรบ้าง ตนเพียงแต่ยืนยันว่า ตนและนายสุเทพให้ความร่วมมือและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่ขอให้ทุกอย่าง พิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและการให้ข่าวก็ต้องให้อย่างครบถ้วน เช่น กรณี นายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่ที่ไม่ได้อยู่ในรถตู้แต่วิ่งมาดูเหตุการณ์และถูกลูกหลงซึ่ง เมื่อให้ข่าวกลับไม่นำเสนอ ทำให้คนเกิดความสับสน
ฉะนั้นจึงมองว่าต่างคนต่างทำหน้าที่จะดีกว่า ซึ่งนายธาริตเองก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งวันที่ 13 ธ.ค.นี้ ตนยืนยันว่าจะไปรับทราบข้อกล่าวหาของดีเอสไอ ซึ่งวันนั้นจะไปพบดีเอสไอ รวม 3 คดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า แปลกใจหรือไม่ที่ดีเอสไอเรียกไปให้ถ้อยคำในฐานะพยานแต่กลับถูกแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งผลเลิศแทน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่แปลกใจเพราะเขามีธงมาตั้งแต่ต้นแล้ว และเมื่อตนทราบข้อกล่าวหาที่ชัดเจนในวันที่ 13 ธ.ค.แล้วจะให้ความชัดเจนได้ในรายละเอียดต่างๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายธาริตระบุว่ากรรมการ ศอฉ.มีกฎหมายคุ้มครอง แต่นายสุเทพเป็น ผอ.ศอฉ.ไม่ได้เป็นกรรมการ ซึ่งอยู่ในชุดเดียวกันแต่เหตุใดกลับถูกดำเนินคดี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่านายสุเทพก็ต้องได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับนายธาริต ซึ่งก็แปลกใจที่นายธาริตออกมาพูดว่ามีกรรมการสองชุด แล้วทำไมไม่พูดต่อว่าตนไม่ได้เป็นกรรมการทั้งสองชุด ตรงไหนที่เป็นคำสั่งที่ออกโดยตน นายธาริตทำไมไม่พูดให้ครบ
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า การที่ดีเอสไอเชิญนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไปรับทราบข้อกล่าวหา ไม่เกี่ยวกับการชี้นำของ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะคดีนี้เกิดก่อนที่จะมารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แต่ว่าถ้อยคำที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอมาใช้ตอนหลังเป็นไปตามที่คำพูดที่ ร.ต.อ.เฉลิมพูดมาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามหากผู้สนับสนุนจะไปให้กำลังใจก็ขอให้อยู่ภายใต้กฎหมายให้ เรียบร้อย
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ภตช.) เริ่มท้อถอย เพราะรัฐบาลไม่ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เอาจริงกับการปราบปรามการทุจริต และหากรัฐบาลปล่อยให้โอกาสที่จะร่วมมือกับภาคเอกชนในการปราบการทุจริตหลุดไป จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ซึ่งเราต้องระวังเพราะขณะนี้การประเมินในหลายด้านน่าเป็นห่วง ทั้งอันดับประเทศของการคอร์รัปชันก็ลดลง อันดับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายก็สูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องเอาใจใส่กับปัญหานี้มากขึ้น
ส่วนการยื่นถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประเด็นเรื่องการไม่ปฏิบัติตามคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในเรื่องการประกาศราคากลาง พรรคเพื่อไทยขู่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเกี่ยวกับอำนาจของป.ป.ช.ในการรับเรื่องสอบ เพราะป.ป.ช.ถือเป็นคู่กรณีกับรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกคนสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายได้ เรามีหน้าที่ยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อที่จะส่งให้กับ ป.ป.ช. แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยโต้แย้งว่า ป.ป.ช.จะมีอำนาจหรือไม่ ก็ต้องมีองค์กรที่จะวินิจฉัย แต่สุดท้ายคงไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการตรวจสอบว่าที่นายกฯ ทำไปถูกหรือผิดกฎหมาย จะอ้างว่า ป.ป.ช.เป็นคู่กรณี แล้วจะไม่มีการตรวจสอบคงไม่ได้ ส่วนจะตรวจสอบอย่างไรเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมนั้น ก็ต้องว่ากันไป
ส่วนที่ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอฟเอโอ) แนะนำให้รัฐบาลไทยลดราคาขายข้าวลง และขายให้ประเทศยากจน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเพราะข้าวมันล้นอยู่ เนื่องจากข้าวเก่าที่เก็บอยู่มีถึง 12ล้านตัน และของใหม่จะมาอีก 15ล้านตัน คนเขาก็ดูออกว่า สต๊อกข้าวของเราล้น สุดท้ายก็เป็นแรงกดดันให้เราต้องขายข้าวในราคาถูก ซึ่งเป็นไปตามที่ทุกฝ่ายเตือนมาตั้งแต่ต้น และการที่มีข่าวว่า จะมีการขออนุมัติให้มีการกู้เงินเพิ่ม ก็เพราะว่ารัฐบาลไม่มีเงินที่จะทำโครงการนี้ต่อ เพราะขายข้าวไม่ได้ ก็ไม่มีเงินกลับเข้ามา จึงไม่สามารถทำโครงการจำนำข้าวต่อไปได้ และต้องกู้เงินมาใหม่ ถ้ารัฐบาลยังไม่ทบทวนโครงการนี้จะต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นไปอีกกับการทุจริตที่เกิดขึ้น อย่าลืมว่า ป.ป.ช. เตือนเรื่องนี้มาถึง