xs
xsm
sm
md
lg

DSI นัด 12 ธ.ค.แจ้งข้อหาฆ่าคนตายฯ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” คดี “พัน คำกอง”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
กรมสอบสวนคดีพิเศษนัดแจ้งข้อหาฆ่าคนตาย ต่อ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ในคดีการตายของ “พัน คำกอง” ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล เป็นคดีแรก โดยให้มารับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 12 ธ.ค.นี้!

เมื่อวันที่ (6 ธ.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนกรณีการตายของผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง เมื่อเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม 2553 จำนวน 89 ศพ ได้แถลงผลการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนอันประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย คือ ดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ ว่าที่ประชุมมีมติร่วมกันให้ดำเนินการแจ้งข้อหาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้รับผิดชอบสูงสุดของ ศอฉ. และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผอ.ศอฉ. ว่า “ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากศาลยุติธรรมได้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ในคดีการไต่สวนเหตุการตายของนายพัน คำกอง ว่าการตายของนายพัน คำกอง เกิดจากถูกกระสุนปืนของทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของ ศอฉ. และศาลยุติธรรมได้ส่งสำนวนการพิจารณาไต่สวนทั้งหมดพร้อมคำสั่งมายังตำรวจนครบาล และถึงดีเอสไอในที่สุดแล้ว ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนจำเป็นต้องยึดถือเอาข้อเท็จจริงอันเป็นยุติโดยการไต่สวนของศาลดังกล่าว

นายธาริตกล่าวอีกว่า พยานหลักฐานอันสำคัญที่ทำให้คณะพนักงานสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย ต้องมีมติให้แจ้งข้อหาต่อบุคคลทั้งสอง มาจากพยานที่ได้จากการไต่สวนและคำสั่งของศาลดังกล่าว รวมทั้งพยานหลักฐานที่การสอบสวนได้เพิ่มเติม เช่น การสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม (ซึ่ง ศอฉ.เรียกว่าการกระชับพี้นที่และการขอคืนพื้นที่) การสั่งใช้อาวุธปืน การสั่งใช้พลซุ่มยิง และอื่นๆ โดยมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก ผอ.ศอฉ.(นายสุเทพ) และได้อ้างไว้ในคำสั่งด้วยว่าเกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์) อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ใน ศอฉ.ว่านายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้รับรู้ร่วมสั่งการและพักอาศัยอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการของ ศอฉ.ตลอดเวลา ประการสำคัญคือ การสั่งการของบุคคลทั้งสองกระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายครา แม้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชนแล้วก็หาได้ระงับยับยั้งหรือใช้แนวทางอื่นใดแต่อย่างใดไม่ รวมถึงพยานแวดล้อมกรณีอื่นๆ อีก จึงเป็นการบ่งชี้ได้ว่าเป็นเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการร่วมกันสั่งการเช่นนั้นย่อมทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมากและต่อเนื่องกันหลายๆ วัน

นายธาริตแถลงเพิ่มเติมด้วยว่า คดีเช่นนี้ถือเป็นคดีที่สำคัญของสังคม เพราะการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ กฎหมายจึงบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ที่ต้องมีการไต่สวนเหตุการตายโดยศาลยุติธรรม เพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติโดยเป็นธรรมจากการสืบพยานไต่สวนโดยศาลซึ่งพิจารณาโดยเปิดเผยทุกฝ่าย สามารถนำพยานหลักฐานเข้ามาสืบได้ แล้วในที่สุดศาลก็จะได้มีคำสั่งว่าผู้ตายเป็นใคร ใครทำให้ตาย และมีพฤติการณ์หรือสาเหตุอย่างไร ซึ่งในคดีนี้ศาลก็ได้มีคำสั่งครบถ้วนเช่นนั้น หน้าที่ของพนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการต่อตามผลของการไต่สวนและคำสั่งของศาล อาจกล่าวโดยง่ายๆ ว่าต้องดำเนินการตามข้อเท็จจริงที่ได้ยุติชั้นศาลแล้วนั่นเอง คดีนี้ศาลได้สั่งว่าเหตุการตายเกิดจากกระสุนปืนของฝ่ายทหารที่เข้าปฏิบัติการตามคำสั่งของ ศอฉ. พนักงานสอบสวนก็ต้องมาต่อยอดว่าผู้มีอำนาจสั่งการของ ศอฉ.ที่เป็นต้นเหตุของการสั่งการจนมีการตายเป็นใคร และมีรายละเอียดพร้อมพยานหลักฐานว่าได้กระทำผิดเช่นใด

ส่วนทหารที่ได้เข้าปฏิบัติการนั้น ศาลก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใด และโดยผลการสอบสวนก็ไม่อาจระบุตัวตนได้ด้วย แต่ก็ได้รับผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 ว่าเมื่อเป็นการปฏิบัติตามการสั่งการ ซึ่งเชื่อว่าต้องปฏิบัติก็ย่อมได้รับการคุ้มครองโดยไม่ต้องรับโทษ ดังนั้นในชั้นนี้จึงไม่แจ้งข้อหาแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร

เมื่อสิ้นสุดการประชุมและมีมติดังกล่าว นายธาริตในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนก็ได้ลงนามในหนังสือแจ้งให้บุคคลทั้งสองมารับทราบข้อหาและทำการสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาแล้ว โดยนัดหมายให้มาพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในวันพุธที่ 12 ธันวาคม 2555 เวลา 14.00 น. โดยแจ้งไปด้วยว่าหากบุคคลทั้งสองเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อหาและสอบสวนเสร็จก็จะใช้ดุลพินิจปล่อยตัวไปโดยไม่ขอศาลให้ฝากขัง ทั้งนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯ และเนื่องจากบุคคลทั้งสองเป็นอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองชั้นผู้ใหญ่ จึงใช้การออกหนังสือเชิญแทนการออกหมายเรียก นายธาริตยอมรับว่าการเชิญบุคคลทั้งสองมาแจ้งข้อหาในช่วงเวลานี้ก็เพื่อจะได้ตัวเข้ามาในคดีอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี เพราะหากพ้นวันที่ 20 ธันวาคมนี้แล้วบุคคลทั้งสองจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายทันที เนื่องจากเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ และเชื่อว่าบุคคลทั้งสองจะมาตามนัดหมายโดยไม่ถ่วงเวลาจนเปิดประชุมสภาผู้แทนฯ ในวันที่ 21 ธันวาคม 2555

อนึ่ง นายธาริตกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า การดำเนินการสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 นั้น ดีเอสไอไม่ได้ทำคดีตามกระแสหรือใบสั่งของฝ่ายการเมือง เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก คดีทุกคดีต้องไปจบที่ศาล พนักงานสอบสวนไม่อาจกลั่นแกล้งใครหรือช่วยเหลือใครได้ การสอบสวนก็ร่วมกันถึง 3 ฝ่าย ทั้งตำรวจ อัยการ และดีเอสไอ คดีทุกคดีจึงเป็นไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง และที่สำคัญเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นมีผู้เข้าข่ายกระทำผิดทั้งสองฝ่าย จนถึงขณะนี้กลุ่มฮาร์ดคอร์ของผู้ชุมนุมได้ถูกดำเนินคดีมีการฟ้องคดีต่อศาลไปแล้วถึง 62 คดี โดยมีผู้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลถึง 295 คน ส่วนกลุ่มผู้สั่งการของ ศอฉ.เพิ่งจะถูกดำเนินคดีนี้เป็นคดีแรก ซึ่งความจริงก็ดำเนินการมาแต่แรกคู่ขนานกันแต่คดีของกลุ่มผู้สั่งการของ ศอฉ.ต้องรอการไต่สวนของศาลก่อนจึงดูล่าช้า จึงอยากสรุปว่าเราดำเนินคดีทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมกัน และก็เป็นธรรมชาติที่ผู้ถูกดำเนินคดีหรือผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องหาทุกฝ่ายจะต้องไม่ชอบใจดีเอสไอ มีการต่อว่าต่างๆ นานา ซึ่งเราเองก็พร้อมรับเพราะถือว่าทำตามหน้าที่ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย
(แฟ้มภาพ)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
(แฟ้มภาพ)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
กำลังโหลดความคิดเห็น