อีก 2 วัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเข้าพบเจ้าพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษตามที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการตายของผู้ร่วมชุมนุมทางการเมืองเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 จำนวน 89 ศพ แถลงถึงผลการสอบสวนคดีที่ศาลยุติธรรมส่งสำนวนคำสั่งคดีการตายของ นายพัน คำกอง โชเฟอร์แท็กซี่กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารที่บริเวณหน้าสำนักงานคอนโดมิเนียมไอดีโอ ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ว่า
ผลการประชุมของพนักงานสอบสวน 3 หน่วยงานได้แก่ ตำรวจ ดีเอสไอ และอัยการ มีมติให้แจ้งข้อหาแก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,83, 84 และ 288
นายธาริตกล่าวว่าจากพยานที่ได้จากการไต่สวน และคำสั่งของศาลยุติธรรมรวมที่ได้เพิ่มเติม อาทิ การสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่ง ศอฉ.เรียกว่า การกระชับพื้นที่และการขอคืนพื้นที่ การสั่งใช้อาวุธปืน การสั่งใช้พลซุ่มยิงและอื่นๆ โดยมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก ผอ.ศอฉ. คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และมีการอ้างในคำสั่งด้วยว่า เกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรี คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างชัดเจน สอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ใน ศอฉ.ว่า นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีรับรู้ ร่วมสั่งการ และพักอาศัยอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการของ ศอฉ.ตลอด
ที่สำคัญคือการสั่งการของบุคคลทั้งสองกระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง แม้เกิดการสูญเสียชีวิตประชาชนแล้วก็หาได้ระงับยับยั้ง หรือใช้แนวทางอื่นแต่อย่างใด รวมถึงพยานแวดล้อมกรณีอื่นๆ อีก จึงบ่งชี้ได้ว่าเป็นเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่า การร่วมกันสั่งการเช่นนั้น ย่อมทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมากและต่อเนื่องกันหลายวัน
ถ้าหากนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ถูกฟ้องร้อง และถ้าหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความผิด โทษก็ถึงกับประหารหรือจำคุกตลอดชีวิตกันเลยทีเดียวแหละครับ
ความผิดร้ายแรงฉกาจฉกรรจ์อย่างนี้กลับมีผู้ปรารถนาต่อทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพด้วยการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ไม่เอาผิดกับผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2548-2553 ต่อสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหากร่าง พ.ร.บ.นี้ผ่านสภา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่สอบสวน ตำรวจ อัยการ ก็ไม่ต้องเสียเวลาประชุมพิจารณาความผิดของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ
แต่ประหลาดทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพต่างไม่ยอมรับความปรารถนาดีของผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะทำให้ตนพ้นผิด ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ห่วงใยชะตากรรมของหัวหน้าพรรค และอดีตเลขาธิการพรรคแต่อย่างใด เพราะต่างก็ลุกขึ้นมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกันทั่วหน้าอย่างแข็งขันทั้งในสภา และนอกสภา
พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแต่ไหนแต่ไรบอกว่า เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา มาวันนี้คงจะซึ้งแก่ใจดีแล้วว่า ระบบรัฐสภาอย่างเดียวไม่ได้ผล เพราะยกทั้งมือทั้งเท้าก็สู้ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ จึงได้ออกนอกสภา ยกขบวน ส.ส.ไปผ่าความจริงตามจังหวัดต่างๆ ชี้ให้ประชาชนเห็นว่า ผู้ที่จะได้ประโยชน์จริงๆ คนหนึ่งจากร่าง พ.ร.บ.นี้คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหนีคุกอยู่ในขณะนี้
โทษของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ร้ายแรงเหมือนนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ที่อาจจะถูกประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรืออาจจะจำคุก 20 ปี ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลสถิตยุติธรรม แต่ทั้งสองคน คือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ไม่สะทกสะท้าน ยินดีที่จะต่อสู้คดี ไม่สนใจที่จะประนีประนอมปรองดองกับใครทั้งสิ้น
แปลกที่พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแนวร่วมใกล้ชิดสนิทสนมกับกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเคียดแค้นชิงชังนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เพราะเชื่อว่าทั้งสองสั่งฆ่าพวกเขาเมื่อเดือนพฤษภาคมกลับกระตือรือร้นอยากให้ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองผ่านสภา รัฐบาลเองถึงกับผ่านงบประมาณเพื่อที่จะสานเสวนาให้ประชาชนสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งจะทำให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี รอดพ้นจากการถูกประหารชีวิต รอดพ้นจากการถูกจำคุกตลอดชีวิต
แปลกที่พรรคเพื่อไทยไม่สนใจความรู้สึกของคนเสื้อแดงเลย
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อทักษิณแต่เพียงผู้เดียว อย่างที่เขาสั่งเสียคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมว่า “พี่น้องพายเรือส่งผมถึงฝั่งแล้ว จะต้องแบกเรือตามผมขึ้นภูเขาทำไม?”
ความหมายก็คือ ทักษิณต้องการปรองดอง ทักษิณต้องการกลับประเทศอย่างผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทักษิณต้องการที่จะให้คดีที่ค้างศาลอยู่ถูกลบออกไปเสียจากสารบบ ทักษิณต้องการเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูกศาลสั่งยึดคืน
ทักษิณคาดการณ์ว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะกลัวโทษประหาร จะกลัวโทษจำคุกตลอดชีวิตจะยอมปรองดองด้วย
คาดการณ์ผิดอีกแล้ว ทักษิณ
ผลการประชุมของพนักงานสอบสวน 3 หน่วยงานได้แก่ ตำรวจ ดีเอสไอ และอัยการ มีมติให้แจ้งข้อหาแก่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,83, 84 และ 288
นายธาริตกล่าวว่าจากพยานที่ได้จากการไต่สวน และคำสั่งของศาลยุติธรรมรวมที่ได้เพิ่มเติม อาทิ การสั่งใช้กำลังทหารที่มีอาวุธปืนเข้าปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่ง ศอฉ.เรียกว่า การกระชับพื้นที่และการขอคืนพื้นที่ การสั่งใช้อาวุธปืน การสั่งใช้พลซุ่มยิงและอื่นๆ โดยมีการออกคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจาก ผอ.ศอฉ. คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และมีการอ้างในคำสั่งด้วยว่า เกิดจากการสั่งการของนายกรัฐมนตรี คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างชัดเจน สอดคล้องกับพยานบุคคลที่ร่วมอยู่ใน ศอฉ.ว่า นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีรับรู้ ร่วมสั่งการ และพักอาศัยอยู่ในศูนย์ปฏิบัติการของ ศอฉ.ตลอด
ที่สำคัญคือการสั่งการของบุคคลทั้งสองกระทำอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง แม้เกิดการสูญเสียชีวิตประชาชนแล้วก็หาได้ระงับยับยั้ง หรือใช้แนวทางอื่นแต่อย่างใด รวมถึงพยานแวดล้อมกรณีอื่นๆ อีก จึงบ่งชี้ได้ว่าเป็นเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่า การร่วมกันสั่งการเช่นนั้น ย่อมทำให้เกิดการตายของประชาชนจำนวนมากและต่อเนื่องกันหลายวัน
ถ้าหากนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ถูกฟ้องร้อง และถ้าหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความผิด โทษก็ถึงกับประหารหรือจำคุกตลอดชีวิตกันเลยทีเดียวแหละครับ
ความผิดร้ายแรงฉกาจฉกรรจ์อย่างนี้กลับมีผู้ปรารถนาต่อทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพด้วยการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ไม่เอาผิดกับผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ พ.ศ. 2548-2553 ต่อสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหากร่าง พ.ร.บ.นี้ผ่านสภา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าหน้าที่สอบสวน ตำรวจ อัยการ ก็ไม่ต้องเสียเวลาประชุมพิจารณาความผิดของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ
แต่ประหลาดทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพต่างไม่ยอมรับความปรารถนาดีของผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะทำให้ตนพ้นผิด ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้ห่วงใยชะตากรรมของหัวหน้าพรรค และอดีตเลขาธิการพรรคแต่อย่างใด เพราะต่างก็ลุกขึ้นมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวกันทั่วหน้าอย่างแข็งขันทั้งในสภา และนอกสภา
พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแต่ไหนแต่ไรบอกว่า เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา มาวันนี้คงจะซึ้งแก่ใจดีแล้วว่า ระบบรัฐสภาอย่างเดียวไม่ได้ผล เพราะยกทั้งมือทั้งเท้าก็สู้ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ จึงได้ออกนอกสภา ยกขบวน ส.ส.ไปผ่าความจริงตามจังหวัดต่างๆ ชี้ให้ประชาชนเห็นว่า ผู้ที่จะได้ประโยชน์จริงๆ คนหนึ่งจากร่าง พ.ร.บ.นี้คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังหนีคุกอยู่ในขณะนี้
โทษของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ร้ายแรงเหมือนนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ที่อาจจะถูกประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรืออาจจะจำคุก 20 ปี ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลสถิตยุติธรรม แต่ทั้งสองคน คือ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ไม่สะทกสะท้าน ยินดีที่จะต่อสู้คดี ไม่สนใจที่จะประนีประนอมปรองดองกับใครทั้งสิ้น
แปลกที่พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแนวร่วมใกล้ชิดสนิทสนมกับกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งเคียดแค้นชิงชังนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เพราะเชื่อว่าทั้งสองสั่งฆ่าพวกเขาเมื่อเดือนพฤษภาคมกลับกระตือรือร้นอยากให้ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองผ่านสภา รัฐบาลเองถึงกับผ่านงบประมาณเพื่อที่จะสานเสวนาให้ประชาชนสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งจะทำให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดี รอดพ้นจากการถูกประหารชีวิต รอดพ้นจากการถูกจำคุกตลอดชีวิต
แปลกที่พรรคเพื่อไทยไม่สนใจความรู้สึกของคนเสื้อแดงเลย
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อทักษิณแต่เพียงผู้เดียว อย่างที่เขาสั่งเสียคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมว่า “พี่น้องพายเรือส่งผมถึงฝั่งแล้ว จะต้องแบกเรือตามผมขึ้นภูเขาทำไม?”
ความหมายก็คือ ทักษิณต้องการปรองดอง ทักษิณต้องการกลับประเทศอย่างผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทักษิณต้องการที่จะให้คดีที่ค้างศาลอยู่ถูกลบออกไปเสียจากสารบบ ทักษิณต้องการเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูกศาลสั่งยึดคืน
ทักษิณคาดการณ์ว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะกลัวโทษประหาร จะกลัวโทษจำคุกตลอดชีวิตจะยอมปรองดองด้วย
คาดการณ์ผิดอีกแล้ว ทักษิณ