xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ลากไส้ทุจริตสอบ “รัฐบาลปู” เปิดเส้นทางฟอกเงินจำนำข้าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังยิงหมัดน็อกโครงการรับจำนำและระบายข้าวในสต็อกในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ซวนเซเสียศูนย์ พรรคฝ่ายค้านก็เดินหน้าถล่มซ้ำ โดยเข้ายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิด น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ และ ป.ป.ง. เพื่อให้ตรวจสอบความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินของโครงการรับจำนำและระบายข้าวที่อ้างระบบจีทูจีบังหน้า

งานนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ลากไส้แก๊งทุจริตโกงกินออกมาให้สาธารณชนได้เห็นอย่างชัดเจน โดยอธิบายอย่างจะแจ้งว่า ความจริงแล้วการทำสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน หรือจีทูจี ที่รัฐบาลอ้างนั้น เงินที่จะชำระค่าข้าวต้องมีการเปิดแอลซีซึ่งโดยทั่วไปจะต้องเป็นสกุลเงินจากต่างประเทศ

แต่จากการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของบริษัทสยามอินดิก้า ซึ่งอ้างว่าขายข้าวให้รัฐบาลจีนล็อตแรกเป็นเงินสกุลต่างประเทศนั้น ปรากฏว่าหลักฐานที่ตรวจสอบพบกลับกลายเป็นบัญชีภายในประเทศทั้งหมด โดยมีการโอนเงินเข้ากรมการค้าต่างประเทศเป็นเช็คจาก 4 ธนาคาร คือ ธนาคารกรุงเทพ, กรุงไทย, กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ รวมทั้งยังมีที่แยกธนาคารไม่ได้อีกส่วนหนึ่ง

ข้อมูลที่ค้นพบก็คือ ระหว่างวันที่ 8 ต.ค. - 9 พ.ย. 2555 มีเงินเข้าบัญชี 6,743 ล้านบาท และข้อมูลก่อนหน้านี้ คือ ช่วงระหว่างวันที่ 28 ก.ย. - 12 ต.ค. 2555มีเงินเข้า 4,960 ล้านบาท จากเช็คของ 4 ธนาคาร โดยเชื่อว่าไม่ใช่เงินที่เปิดแอลซีจากรัฐบาลต่างประเทศแน่นอน จึงต้องตรวจสอบว่ารัฐบาลกำลังพัวพันกับการฟอกเงินในโครงการระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่

นอกจากนี้ ยังพบข้อมูลใหม่ คนชื่อ “สุธี” โอนเงินจากธนาคารกสิกรไทย ไปที่บัญชีธนาคารกรุงไทยของ “สุธี” สาขารัชดาภิเษก ในวันที่ 9 พ.ย. 2555จำนวน 200 ล้านบาท และอีกรายการมีการโอนเงิน 430 ล้านบาท รวมเป็น 630 ล้านบาท โดยพบความผิดปกติที่โอนในตอนเช้าแต่ตอนบ่ายเงินก็หายไป แล้วไปพบว่าเงินดังกล่าวเข้าไปที่ บริษัท “ส.” ซึ่งประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์

“อย่างไรก็ตาม แก๊งนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการค้าข้าวแต่กลับโยงใยกัน โดยบริษัท “ส.” มีความใกล้ชิดกับริษัทสยามอินดิก้า โดยบริษัท “ส.” มีทุนจดทะเบียนเริ่มต้นแค่หลักล้าน แต่เพียงไม่กี่เดือนกลับเพิ่มขึ้นเป็น 1-2 พันล้านบาท ในช่วงที่สอดคล้องกับการระบายข้าวของรัฐบาล”

นอกจากนี้ ยังพบว่า บริษัทเงินบริษัท “ส.” เข้าไปซื้อหน่วยลงทุน “เคแทม” เพื่อซื้อหน่วยลงทุนของธนาคารไทยพาณิชย์ จากนั้นจึงมีการขายออก ไม่นานจากนั้นจึงมีการสั่งเช็คมีเช็คสั่งจ่ายให้กรมการค้าต่างประเทศ จากธนาคารกสิกรไทย ราคา 700 กว่าล้านบาท ใกล้เคียงกับเงินที่นายสุธีโอนเข้าบริษัท “ส.” ก่อนที่จะเข้าไปซื้อหน่วยลงทุน 630 ล้านบาท และจากการตรวจสอบคาดว่าน่าจะมีเงินเข้าไปบางส่วนก่อนเงิน 630 ล้านบาท เข้าไปซื้อหน่วยลงทุนแล้ว

นั่นเป็นประเด็นสำคัญที่หมอวรงค์ต้องการให้ป.ป.ง.สอบในเชิงลึก จึงได้นำเอกสารหลักฐานทั้งหมดมอบให้กับทาง ป.ป.ง.เพื่อตรวจสอบต่อไป

เจอเข้าไปหลายหมัด หมอวรงค์ เชื่อว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ คงรอดยาก โดยก่อนหน้านี้ หมอวรงค์ ได้จับพิรุธนายบุญทรง ที่อ้างว่ามีการเปิดแอลซีจากรัฐบาลต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว แต่วันนี้กลับบอกว่าไม่จำเป็นต้องเปิดแอลซี จ่ายเป็นเช็คก็ได้ จึงอยากถามว่าหลักฐานที่พรรคฝ่ายค้านแสดงให้เห็นเป็นเช็คที่มาจากบริษัทสยามอินดิก้า นายบุญทรง จะว่าอย่างไร?

ส่วนเรื่องที่นายบุญทรง บอกว่า รัฐบาลต่างประเทศจะแต่งตั้งบริษัทใดทำการรับข้าวแทนนั้นรัฐบาลไทยเข้าไปก่ายก้าวไม่ได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น

“บริษัทที่อ้างว่าเป็นตัวแทนที่รัฐบาลจีนมอบหมายเอาข้าวไปเวียนขายให้กับโรงสีในประเทศ จึงเหมือนกับกล่าวหาว่าประเทศจีนเอาจีทูจีมาอ้างและปล่อยให้เอาข้าวมาเร่ขาย ดังนั้นนายบุญทรง ต้องแสดงความรับผิดชอบเรื่องนี้ ที่พยายามแก้ต่างให้กับบริษัท GSSG Import-Export Coperation แต่ในส่วนของการสั่งจ่ายข้าวให้ตัวบุคคลคือนายรัฐนิธ โสถิกุล หรือไอ้ปาล์มนั้น อยากถามนายบุญทรงว่า รัฐบาลประเทศใดแต่งตั้งให้นายรัฐนิธ เป็นตัวแทนรับข้าวแทนรัฐบาลของเขา”

“ไอ้ปาล์ม” แต่เป็นผู้มีอำนาจลงนามในบริษัท GSSG Import-Export Coperation ที่หมอวรงค์ กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ช่วยลำดับที่ 3 ของ ระพีพรรณ พงศ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเป็นภรรยาของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง นั่นเอง

นพ.วรงค์ ระบุว่า เชื่อว่าจากการอภิปรายฝ่ายค้านได้เอาหลักฐานทุจริตมาผูกมัดนายบุญทรง 2 ตราสัง คือ หนึ่ง หลักฐานที่โกหกประชาชนว่าขายข้าวจีทูจีแต่ขายให้บริษัทที่ใกล้ชิดโดยไม่ต้องประมูล และ สอง เส้นทางการจ่ายเงินที่มีหลักฐานชัดเจน ซึ่งในทางการเมืองนั้นหากชี้แจงไม่ได้ก็ไม่ควรจะอยู่อีกต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้น การโกหกคำโตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ว่ามีการขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลจีนทำให้รัฐบาลหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ เป็นอีกตราสังหนึ่งที่มัดแน่น เพราะคำปฏิเสธแบบนิ่มๆ จากนายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์ถึงการขายข้าวแบบจีทูจีระหว่างไทยกับจีนว่าไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตันตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง

เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย อธิบายว่า การซื้อข้าวจากไทยเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว เพราะไทยผลิตข้าวมากที่สุด และขายข้าวได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกตลอดมา จึงมีการหารือกันขอให้จีนซื้อข้าวเพิ่มเพื่อช่วยเหลือชาวนาไทยให้มีรายได้ดีขึ้น ซึ่งต่อมาก็มีการลงนามในข้อตกลงสนับสนุนค้าสินค้าเกษตรและสนับสนุนการค้าและวางแผนงาน 5 ปีด้านการเกษตร เป็นการลงนามในหลักการระหว่างรัฐบาลเท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อขายจริงๆ จะมอบหมายให้บริษัทไปหารือกับประเทศไทยโดยตรง

“ทราบว่ามีการเซ็นสัญญากับบริษัทแล้วประมาณหลายแสนตัน แต่ไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตันตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง เพราะจีนไม่ได้ซื้อข้าวจากไทยประเทศเดียวจึงไม่ได้ซื้อมากมาย เพราะเราก็ไม่ได้ขาดข้าวอยู่แล้ว เพียงแต่ซื้อเพื่อปรับตามความต้องการของตลาดที่ชอบรสชาติข้าวไทย แต่บางครั้งก็ซื้อจากเวียดนาม รัสเซีย และอีกหลายประเทศ”

ส่วนประเด็นที่ว่าบริษัทที่จีนมอบหมายให้ซื้อข้าวกับ บริษัท จีเอสเอสจีฯ กับไทยใช่หรือไม่ ทูตจีนกล่าวเลี่ยงว่า ไม่ได้มีบริษัทเดียว แต่มีหลายบริษัท ประมาณ 4-5 บริษัท ซึ่งสัญญาซื้อขายก็ยังไม่ได้ยุติทั้งหมด ต้องตกลงกันต่อไป ส่วนการเปิดแอลซี รัฐบาลจะไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของบริษัท เนื่องจากการดำเนินการของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจจะทำเอง รัฐบาลมีบทบาทเพียงแค่ชี้นำให้มีการซื้อขายเท่านั้น จากนั้นบริษัทจะไปตกลงกันเองกับประเทศไทย

“ระบบที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจีนเป็นผู้ซื้อ แต่มีบทบาทชักนำให้รัฐวิสาหกิจหรือภาคเอกชนเข้ามาซื้อเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว รวมถึงเรื่องการตกลงราคาก็เป็นเรื่องที่สองฝ่ายคุยกัน หลักการอยู่ที่กลไกตลาดบริษัทที่ซื้อไปต้องขายได้กำไร เพราะถ้าขาดทุนคงไม่ซื้อ เพราะรัฐบาลไม่ได้ช่วย เนื่องจากมีกฎเกณฑ์และระเบียบหลายอย่าง” นายก่วน มู่ กล่าว

เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็สบช่องทำหนังสือถึงสถานทูตจีนเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขายข้าวแบบจีทูจีที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้างมาตลอดว่าเป็นความจริงหรือไม่ เพราะหากไม่เป็นความจริงจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ และรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน หมอวรงค์ ยังไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ข้อหาสมรู้ร่วมคิด นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พานิชย์ เจ้าหน้าที่รัฐและผู้เกี่ยวข้อง ส่วนจะดำเนินการกับใครบ้างนั้นก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช.จะสาวไปถึงได้

ทันทีที่ได้รับเรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับเรื่องโครงการรับจำนำข้าว โดยได้มอบหมายให้นายกล้าณรงค์ จันทิก นายวิชา มหาคุณ และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง เป็นกรรมการผู้รับผิดชอบ

ต้องจับตากันต่อไปว่า คณะอนุกรรมการป.ป.ช.สอบทุจริตจำนำและระบายข้าว ที่มีพล.ต.อ.สถาพร กรรมการป.ป.ช. บุคลลที่ฟากรัฐบาลส่งมานั่งในป.ป.ช.นั้นจะกล้าสอบทุจริตจำนำและระบายข้าวที่รัฐบาลตกเป็นจำเลยหรือไม่

ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ที่ทำทีกล้าท้าให้สังคมติดตามว่าป.ป.ง.ทำงานเป็นกลางหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรไม่ชอบมาพากลพร้อมจะดำเนินการตามกฎหมาย และยืนยันว่าจะตรวจสอบจนถึงที่สุดนั้น จะจริงจังกับเรื่องนี้สักเพียงใด เพราะ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. ได้ออกตัวมาแล้วว่า เรื่องนี้ต้องรอความชัดเจนจาก ป.ป.ช.ก่อนว่ามีผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวบ้าง มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร หลังจากป.ป.ช.รับเรื่องและพบมูลฐานความผิดชัดเจนแล้ว ป.ป.ง.จึงจะสามารถทำคดีควบคู่ไปพร้อมๆ กัน

หากยังไม่ลืมว่า ป.ป.ง. เพิ่งเป่าคดีไซฟ่อนเงินทุจริตงบน้ำท่วม 1.6 หมื่นล้านที่ฮ่องกงว่าไม่มีมูลไปหมาดๆ อาจคาดการณ์ได้ว่า การสอบเส้นทางฟอกเงินทุจริตจำนำและระบายข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะลงเอยเช่นใด


นายบุญทรง  เตริยาภิรมย์
กำลังโหลดความคิดเห็น