xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ตีแสกหน้าบริวารแม้ว “เสี่ยเปี๋ยง-ไอ้ปาล์ม-เมียกี้ร์” ตั้งบริษัทผีในจีนซื้อข้าวจีทูจี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เสี่ยเปี๋ยง-อภิชาต จันทร์สกุลพรขณะอยู่กับ นช.ทักษิณ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การโพนทะนาว่ารัฐบาลสามารถขายข้าวในสต็อกจากโครงการรับจำนำข้าวให้กับจีนในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ “จีทูจี” กลายเป็นเรื่องลวงโลกที่เครือข่ายบริวารญาติแม้วสร้างขึ้นและเข้ามาเอี่ยวประโยชน์สวาปามกันมันปาก ซึ่งงานนี้ต้องยกเครดิตให้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.พิษณุโลก ที่เปิดข้อมูลความชั่วร้ายในการระบายข้าวของรัฐบาล โดยแฉว่ามีการตั้งบริษัทผีในจีนซื้อข้าวรัฐบาลส่งต่อให้กับสยามอินดิก้า ขาใหญ่ที่มีโยงใยสัมพันธ์แนบแน่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

เรื่องนี้ หมอวรงค์ได้เปิดโปงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2555

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญยิ่งที่ นพ.วรงค์อยู่ตรงที่ จากการตรวจสอบพบพิรุธในการขายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน พบมีการตั้ง 2 บริษัท คือ บริษัทจากจีน 1 แห่ง และบริษัทคนไทย 1 แห่ง โดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา โดยบริษัทนี้ทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ 5 ล้านตัน ผู้ที่มีอำนาจของบริษัท คือ นายรัฐนิธ โสติกุล แต่มอบอำนาจให้นายนิมล รักดี ชาว อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน”

ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ นายรัฐนิธ มีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี เพิ่งผ่านการเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภารุ่นที่ 6 รวมทั้งเป็นนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า และเป็นผู้ช่วย ส.ส.ในลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (ภรรยานายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง) เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของนายรัฐนิธ พบว่า มีเงินอยู่ในบัญชีเพียง 64.63 บาท ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้มีอำนาจติดต่อซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทย

เช่นเดียวกับ นายนิมล รักดี จากการที่หมอวรงค์ลงพื้นที่สอบถามจากโรงสีในพื้นที่ภาคกลาง ได้รับการเปิดเผยว่า นายนิมล มีชื่อในวงการว่า “เสี่ยโจว” เป็นมือขวา “เสี่ยเปี๋ยง” นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร เจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งผูกขาดการซื้อข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายนิมล ยังเคยถูก ป.ป.ช.ชี้มูลการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในนามบริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกริเทรดดิ้ง สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ อีกด้วย

นอกจากนี้ นพ.วรงค์ยังระบุด้วยว่า การอ้างว่าขายข้าวแบบจีทูจี ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูลให้ได้ราคาพิเศษ ไม่มีการระบายข้าวจริง เป็นการตั้งบริษัทผีมารับข้าว เพื่อนำข้าวไปเร่ขายให้กับโรงสี อาจจะได้ส่วนต่างสูง ตันละ 3,000 บาท บางล็อตสูงถึง 5,000 บาท โดยในการตรวจสอบข้อมูลที่มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาลมาให้ดู เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ข้อมูลช่วงวันที่ 28 ก.ย.- 15 ต.ค. 2555 ที่รัฐบาลคุยโวว่า จะมีการขายข้าวแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะทั้งแคชเชียร์เช็ค การถอนเงินหรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่

“อยากถามว่า เหตุใดรัฐบาลปล่อยให้บุคคลที่เคยมีความผิดเรื่องการทุจริต สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาซื้อข้าวในรัฐบาลชุดนี้อีก”นพ.วรงค์ตั้งคำถาม

ขณะเดียวกันในการจับโกหกครั้งนี้ นพ.วรงค์ ยังแฉว่า หากเป็นการค้าแบบจีทูจี จะต้องมีการเปิดแอล/ซี แต่ครั้งนี้กลับไม่พบว่ามีการเปิดแอล/ซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงิน รวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท

เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้บริษัทสยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสี ในลักษณะ “ของไปเงินมา” มีการพบแคชเชียร์เช็ค ออกในนามของ นายสมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เช็ค จำนวนกว่า 500 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบที่อยู่ของนายสมคิด ตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร พบว่า ไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ เป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมคลอง จากการสอบถามประชาชนบ้านใกล้เคียงทราบว่า นายสมคิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยาที่เขตบางแค เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า นายสมคิดเป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า เพราะนายสมคิดได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยง ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทสยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547

เมื่อตามข้อมูลต่อ พบข้อมูลบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนาม จำนวน 5 คน อาทิ นิมล เรืองวัน กฤษณา นอกจากนั้นยังมีชื่อของนางเรืองวัน เปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชีและมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่า เมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่ได้ข้อมูล คือ บัญชีนิมล พบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกร ไป ธนาคารกรุงไทย หลายรายการ ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 กันยายน จำนวน 260 ล้านบาท วันที่ 28 กันยายน จำนวน 99 ล้านบาท วันที่ 3 ตุลาคม จำนวน 485 ล้านบาท วันที่ 5 ตุลาคม โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ตุลาคม โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้ อาจเข้าข่ายการฟอกเงินและมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน

ประเด็นที่รัฐบาล ยอมนำหัวของบริษัทจีนมาทำสัญญาแบบจีทูจี เป็นเพราะว่าต้องการเลี่ยงการประมูลซึ่งมีราคาสูง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เมื่อทำเช่นนี้ จะค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท ทั้งที่ราคาข้าวในตลาดจะอยู่ที่กระสอบละ 1,500 - 1,555 บาท ดังนั้นเมื่อค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท จำนวนที่รัฐบาลว่าจะขายทั้งหมด 7.32 ล้านตัน จะมีค่าส่วนต่างถึง 2 หมื่นล้านบาท

สำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดัง แทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. - 16 ก.ค. มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ ทั้งนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ ทราบข้อมูลและมีการสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในการกระทำทุจริต ตามที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล

“ผมทราบข่าวว่าเสี่ยเปี๋ยง เป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการค้าข้าวและรัฐบาล โดยเมื่อต่างชาติจะซื้อข้าวไทย มีผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าให้ไปเจรจากับเสี่ยเปี๋ยง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเสี่ยเปี๋ยง มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี๋ยงทำมาหากินแบบนี้” นพ.วรงค์ ชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ค้าข้าว

นอกจากข้อมูลของ นพ.วรงค์แล้ว สำนักข่าวอิศรายังเคยทำการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด หลังจากได้รับงานปรับปรุงสภาพข้าวและส่งมอบข้าว 15% ของรัฐจำนวน 300,000 ตัน ให้รัฐบาลอินโดนิเชีย ในช่วงปลายปี 2554 พบว่า บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่เคยเป็นบริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยุคนายวัฒนา เมืองสุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

เนื่องจากกรรมการและผู้ถือหุ้นหลายคน ในบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เคยเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง มาก่อน อาทิ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำนวน 43,739,000 หุ้น เป็นอดีตผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำนวน 232,560 หุ้น นายอนุ จารุศิลาวงศ์ และนางสาวเรืองวัน เลิศศลารักษ์ เคยถือหุ้นในบริษัท บริษัท เพรซิเดนท์ เกรนไซโล จำกัด ในเครือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ก่อนจะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท สยามอินดิก้า

ขณะที่ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาต ยังเข้าไปพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในช่วงที่นายวัฒนา เมืองสุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จนทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา เมืองสุข กับพวกรวม 7 คน ซึ่งมีบริษัทเพรซิเดนท์ฯและนายอภิชาต รวมอยู่ด้วย ซึ่งคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ของสำนักงายอัยการสูงสุดได้มีมติสั่งฟ้องนายวัฒนากับพวกต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเรียกรับเงินผู้ประกอบการเอกชนในโครงการดังกล่าว

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 ประกอบด้วย 1.นายวัฒนา เมืองสุข 2.นายพรพรหม วงศ์วิทัศน์ 3.นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ส.ส.กทม. 4.นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กรรมการผู้จัดการบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด 5.น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง 6.น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว และ 7.บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง

ณ เวลานี้ สถานะของบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ และ “เสี่ยเปี๋ยง” อยู่ในสภาพล้มละลาย โดยศาลล้มละลายกลาง ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2553 ให้ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ลูกหนี้ ล้มละลายและศาลให้พิทักษ์ทรัพย์ไว้เด็ดขาดจากการฟ้องร้องของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง โดยก่อนหน้าที่เพรสซิเด้นท์ฯ จะถูกศาลสั่งล้มละลายนั้น บริษัทสยามอินดิก้า เคยเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่บริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ โดยเข้าไปทำสัญญาซื้อหนี้ของเพรสซิเดนท์ จากธนาคารกรุงไทย ในราคา 1,050 ล้านบาท จากมูลหนี้ 1,286 ล้านบาท

แต่ถึงที่สุดเพรสซิเดนท์ก็ไปไม่รอด แม้ช่วงรัฐบาลทักษิณ เพรสซิเดนท์ฯ จะสามารถประมูลข้าวในสต็อกของรัฐบาลได้เพียงเจ้าเดียวถึง 2 ล้านตัน ทำให้สามารถควบคุมการส่งออกข้าวได้เกือบทั้งหมด แต่บริษัทเพรสซิเดนท์ฯ ไปไม่ถึงฝั่งฝัน หลังตกเป็นหนี้ธนาคาร 8 แห่งเป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาทและมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานฉ้อโกงทรัพย์

ไม่เพียงแต่ นพ.วรงค์ เท่านั้น ที่แฉให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการระบายข้าวของรัฐบาล นายเกียรติ สิทธิอมร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในทำนองเดียวกันว่า การทำสัญญาซื้อขายข้าวเมื่อลงนามแล้วต้องเปิดเผยข้อมูล กรณีที่นายกฯ อ้างว่าคู่ค้าร้องขอให้ปกปิดข้อมูลนั้น เท่าที่ตรวจสอบกับทูตของประเทศคู่ค้าต่างยืนยันว่าไม่เคยร้องขอให้ปกปิดข้อมูลดังกล่าว

นอกจากนั้น ขณะนี้องค์การการค้าโลก (WTO) ยังจับตาและเตือนมายังประเทศไทยกรณีการรับจำนำข้าว ว่าการแทรกแซงตลาดของไทยทำเกินข้อกำหนดที่ผูกพันในองค์การการค้าโลกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เสียงเตือนนายกฯจากทุกสารทิศเรื่องโครงการจำนำข้าวที่ใช้เงินมาก เสียหายมาก หนี้ประเทศเพิ่ม เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ตั้งใจไว้นำไปสู่ความหายนะของชาติ แต่นายกฯ กลับไม่ฟัง ยังเดินหน้าต่อทั้งที่ใน 1 ปี โครงการนี้สร้างหนี้ไปแล้ว 4 แสนล้าน

ขณะที่นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ยังได้อภิปรายพร้อมเปิดคลิปการลักลอบนำเข้าข้าวจากด่านชายแดนไทย - เขมร ที่ด่านบึงตะอวน อำเภอตาพระยา จ.สระแก้ว และ จ.อุบลราชธานี ที่มีการลักลอบการขนข้าวเขมร เข้ามาสวมสิทธิ์โครงการจำนำข้าว ในประเทศไทย คลิปการเวียนเทียนข้าวนาปีมาขายใหม่เป็นข้าวนาปรัง ด้วยการเปลี่ยนกระสอบบรรจุข้าวใหม่ คลิปการเวียนเทียนข้าวเหลืองเสื่อมคุณภาพ ที่ อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ รวมถึงคลิปที่ อ.ดอนตูม จ.นครปฐม พร้อมระบุว่า พื้นที่ทั้งหมดเป็นบ่อปลามากกว่า 6แสนไร่ แต่มีการออกใบประทวนปลอม ทั้งๆ ที่ไม่มีการปลูกข้าวแต่อย่างใด และยังระบุว่ามีโรงสีรายหนึ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินงานโครงการรับจำนำ ชื่อ ดิลก อินเตอร์ไรซ์ มีหุ้นส่วน 2 คน นามสกุล “กุลดิลก” ซึ่งเป็นเรื่องของ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ที่ต้องชี้แจง

จากการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงโดยยืนยันว่า โครงการรับจำนำจะไม่มีปัญหาเรื่องการอุดหนุนผิดกฎ WTO ส่วนที่ระบุว่าโรงสีได้รับประโยชน์ เป็นเรื่องจริง เพราะโครงการรับจำนำข้าวเปิดให้โรงสีเข้ามาร่วมในเรื่องการรับสีแปรสภาพจ่ายผ่าน อคส.และ อตก. และยืนยันเกษตรกรได้ประโยชน์ หากจะขาดทุนก็ไม่น่าจะเกิน 8 หมื่นล้านบาท ไม่ถึงสองแสนล้านบาทและไม่เป็นภาระงบประมาณแน่นอน ส่วนเรื่องโกงน้ำหนัก ยอมรับว่ามีบ้าง แต่ก็ได้ดำเนินคดีกับโรงสีไปแล้ว 30 กว่าคดี

ส่วนเรื่องการระบายข้าว จีทูจี ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร การอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นการจิตนาการ แต่ยอมรับว่าไม่เคยทราบข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาเปิดเผยมาก่อน การระบายข้าวกับจีน มีการตรวจสอบข้อมูลหน่วยงานที่มาติดต่อกับกระทรวงพาณิชย์ พบว่าเป็นของรัฐบาลเขาจริง ส่วนประเทศที่ซื้อไปแล้วจะมอบหมายใครมาเป็นผู้ดำเนินการก็เป็นสิทธิของเขา การสืบเสาะหาข้อมูลเหล่านี้จึงไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์

เรื่องนี้เชื่อแน่ว่ายังไม่จบง่ายๆ เพราะพรรคฝ่ายค้านจะดำเนินการยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้น ขณะที่ นายคำนูน สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ชี้ว่าการขายข้าวจีทูจีไม่จบแค่ในสภาแน่ โดยภาคต่ออยู่ที่ประชาชนทุกคนที่หากเชื่อข้อมูลของฝ่ายค้านอภิปรายส่อว่ามีทุจริตจริง สามารถยื่นต่อ ป.ป.ช.ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 275 หรือ ป.ป.ช.อาจหยิบเรื่องขึ้นมาพิจารณาเองได้


นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ขณะกำลังอภิปรายโดยนำภาพบ้านของนายรัฐนิธมาแสดง
แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของเสี่ยเปี๋ยงกับระบอบทักษิณที่ น.พ.วรงค์ นำมาแสดงในสภา
นางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ภรรยาของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง
บุญทรง เตริยาภิรมย์
กำลังโหลดความคิดเห็น