ASTVผู้จัดการรายวัน -ฝ่ายค้านลากไส้นโยบายจำนำข้าวช่วงซักฟอกรัฐบาล “ประเสริฐ” แฉรัฐไม่เปิดเผยขายข้าว “จีทูจี” เหตุให้เอกชนทำ พบบริษัทธุรกิจค้าข้าวยุค"ทักษิณ"มีเอี่ยว ด้าน “หมอวรงค์” แฉพบ “ไอ้ปาล์ม” ผู้ช่วย “เมียกี้ร์” ตั้งบริษัทผีพรางซื้อข้าวแบบจีทูจี แต่มีเงินในบัญชีธนาคารกรุงไทยแค่64 บาทเศษ โยง “ไอ้โจ” มือขวาเสี่ยเปี๋ยง คนใกล้ชิด “นช.แม้ว” อดีตบริษัท “เพรสซิเดนท์” จดชื่อใหม่เป็น “สยามอินดิก้า”มีเอี่ยว
การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรี เป็นวันที่ 2 เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (26พ.ย.) โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ระบุว่า มี 2 ประเด็นที่นายกฯกำลังนำพาประเทศไปสู่ความเสียหาย คือ 1.นโยบายการรับจำนำข้าว วันนี้ข้าวไทยกำลังถูกทำลายอนาคตจากนโยบายที่ผิดพลาด เพราะโครงการจำนำข้าวถูกบิดมาเป็นโครงการรับซื้อข้าวโดยรัฐบาล แต่ใช้ชื่อโครงการรับจำนำ
ฉะนั้น การออกแบบนโยบายนี้ คือ นโยบายที่จงใจให้รัฐบาลเป็นผู้ซื้อ และขายข้าวนำไปสู่การผูกขาดการซื้อข้าวและถือเป็นการทำลายกลไกการซื้อขายตามปกติโดยสิ้นเชิง เรื่องการทุจริตที่เกิดขึ้นตลอดทาง คือปลายเหตุ แต่ต้นเหตุอยู่ที่นโยบายที่เอื้อต่อการทุจริต สิ่งที่จะเกิดความเสียหายขึ้นกับข้าวของประเทศ และการบริหารราชการแผ่นดินคือ
1. เมื่อรัฐบาลจะผูกขาดซื้อขายข้าวทั้งประเทศ ด้วยนโยบายซื้อแพงขายถูก การขาดทุนเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งตัวเลขของรัฐบาลบอกว่าการบริหารจัดการเรื่องข้าว ที่ผ่านมาใช้วงเงินไปแล้ว 5.17 แสนล้านบาท ได้มีการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญว่า ถ้าทำเช่นนี้ไปอีก 7 ปี หนี้สาธารณะก็จะไปแตะที่ร้อยละ 60 ของรายได้ประชาชาติ อยากบอกว่าไม่เคยมีโครงการไหนที่รัฐบาลดำเนินแล้วขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท
2. ฐานะของประเทศเสียหาย เมื่อรัฐบาลผูกขาดการค้าข้าว และซื้อมาในราคาที่สูงกว่าตลาด อยากถามว่าจะขายไปอย่างไร ที่เคยทำนายว่าประเทศไทยจะสูญเสียแชมป์การส่งออกข้าว ได้เกิดขึ้นแล้ว การส่งออกข้าวตามตัวเลขปฏิทินปีนี้น่าจะลดลงร้อยละ 35 การขายข้าวของประเทศ ลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ที่สำคัญปัญหายังเกิดขึ้นกับคุณภาพข้าวด้วย เพราะนโยบายนี้จูงใจให้เกษตรกรปลูกข้าวให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด
3.การทุจริตคอร์รัปชัน ในวงการค้าข้าวรุนแรง โกงทุกขั้นตอน เกษตรกรหลายคนเข้าโครงการไม่ได้และยังไม่เจอสักรายที่ได้ 15,000 บาท รัฐบาลกลายมาเป็นผู้ค้าข้าวกำกับการเคลื่อนย้ายข้าว ธุรกิจโรงสี ใครไม่มีเส้นสายกับรัฐบาลสู้ไม่ได้ นี่เป็นการทำลายกลไกการแข่งขัน นำมาสู่ความเสียหายในระบบการค้าข้าวทั้งประเทศ ผู้ส่งออกเขารู้ว่าจะค้าข้าวไทยไปต่างประเทศต้องวิ่งหารัฐบาล และยังไม่มีการตรวจสอบในส่วนของการระบายข้าว ขายอย่างไรก็ขาดทุน ทำให้การขายข้าวเป็นปริศนามาตลอด ตัวเลขการส่งออกของรัฐไม่มี
"ถามว่าจีทูจีของท่านคืออะไร จีเจี๊ยะ จีเจ๊ง หรือจีโจ๊ก หรือจีอะไร หรือจะเหมือนที่ฝรั่งบอกว่า จี โกสต์ (Ghost) หรือบริษัทผีคืนชีพ มันจะบ่งบอกให้เห็นถึงกระบวนการทุจริตทั้งหมด ปรากฏว่ามีข้าวเข้าสู่การรับจำนำตามตัวเลขของรัฐบาล 18 ล้านตัน คนกลุ่มนี้ตีให้ว่า เขาจะได้ราคาตันละ 5-6 พันบาท แม้แต่คนที่เข้าโครงการไม่ได้ ท่านยังบอกว่าได้ประโยชน์ นี่ถือเป็นปีแรกที่ข้าวไทยสูงถึง 37 ล้านตัน ในอดีตเข้าใจคือ 34 ล้านตัน เชื่อว่า 3 ล้านที่โผล่ขึ้นมามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ผมจะฟ้องประชาชนว่ารัฐบาลนี้เอาเงินภาษีประชาชนไป 2.2 แสนล้านบาท แต่ช่วยจริงอย่างเก่งคือ ครึ่งเดียว อีกครึ่งอยู่กับพ่อค้า โรงสี นักการเมืองทุจริต นี่คือสิ่งที่นายกฯซึ่งเป็นประธาน กขช. เพิกเฉยทำให้ผมไว้วางใจท่านไม่ได้"
2. เรื่องการทุจริต รัฐบาลไม่มีมาตรการเป็นระบบในการแก้ปัญหาหรือป้องกัน เพราะคนที่เขาพยายามที่จะร่วมมือกับรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ก็ไม่เคยได้รับการตอบสนอง หลังน้ำท่วม ตนเดินสายพบกับองค์กรต่างๆ เพื่อไปสอบถามความเสียหายคืออะไร สิ่งแรกที่เขาพูดกับตนคือ ต้องการให้ตรวจสอบงบเยียวยาน้ำท่วม และงบฟื้นฟูทั้งหลาย เพราะเขากังวลว่าจะเกิดการทุจริตอย่างมโหฬาร
**"ปู" ลอยหน้า โยนรมต.ชี้แจงเอง
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประเทศเกิดความเหลื่อมล้ำ ปัญหาต่าง ๆ มากมาย เจตนารมณ์ที่เข้ามาทำงานคือ อยากเห็นประเทศเดินไปข้างหน้า ส่วนสถานะของประเทศตั้งแต่ตนเข้ามา มีภาระต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญโดยเฉพาะวิกฤตน้ำท่วม ขณะที่มีเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องผลักดัน ในอนาคต การบริหารราชการไม่ได้ถูกรองรับในภาวะวิกฤต จึงตัดสินใจตัดงบฯ ปกติมาเป็นงบฯกลาง 1.2 แสนล้าน ในการเยียวยาประชาชนและปกป้องน้ำท่วม
นอกจากนี้ นายกฯได้นำแผนผังแสดงผลการเจริญเติบโตของจีดีพี และใช้เวลาเพียง 6 เดือน ในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ตั้งศูนย์ซิงเกิ้ลคอมมานด์ เพื่อรับกับวิกฤตต่างๆ
ส่วนนโยบายรับจำนำข้าวนั้น ยืนยันว่า ผลประโยชน์ตกอยู่กับช่าวนา แม้ไทยจะเสียแชมป์การส่งออกข้าวให้กับเวียดนามและอินเดีย แต่ข้าวไทยขายได้ราคาสูงกว่า และคิดว่าคนไทยอยากเห็นการขายข้าวที่ได้เงินมากกว่า แทนที่จะขายข้าวได้จำนวนมากกว่า
**แฉ"เจ๊ด."ขาใหญ่งาบข้าว
นายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่นายกฯอ้างว่าขายออกข้าวแบบจีทูจี ไป 1.4 ล้านตัน แต่ตัวเลขกรมศุลกากรสิ้นเดือน ก.ย. ส่งออกไปแค่ 6.49 แสนตัน ตัวเลขการส่งออกข้าวทั้งระบบ ณ สิ้นเดือนก.ย. แค่ 4.7 ล้านตัน ไม่ใช่ 5 ล้านกว่า อย่างที่พูดกัน ซึ่งตัวเลขของกรมศุลฯ จะเป็นตัวเลขจริง เพราะต้องบันทึกเมื่อมีการขนส่งเท่านั้น สัณนิฐานได้ว่าอาจมีการส่งออกจริง แต่ไปเวียนเทียน 2-3 รอบ ก่อนไปท่าเรือ
การที่นายกฯชี้แจงว่า การขายให้จีทูจีจะทำให้ราคาดีขึ้น แต่ความจริงทุกสัญญาที่รัฐบาลเจาจราจีทูจี ต่ำกว่าราคาตลาด ที่มีราคาอยู่ประมาณ 600 กว่าเหรียญ มีสัญญาหนึ่งประมาณ 400 กว่าเหรียญ โดยสอบถามจากเจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นราคามิตรภาพ ทั้งที่นายกฯรับปากเองว่า ต้องได้ราคาดีกว่าราคาตลาด และที่บอกว่าดึงผลผลิตข้าวมาควบคุมโดยรัฐบาลแต่ผู้เดียว แต่ทราบหรือไม่ว่า ทั้งตลาดถ้าใครอยากได้ข้าวติดต่อคนเดียว “เจ๊ ด.” และบริษัทที่ใกล้ชิด คือ บริษัท “ส” ถึงมีคำศัพท์ใหม่ในวงข้าว ไม่ทราบนายกฯรู้จักคำว่า “เปาเกา” หรือเปล่า ถ้าจะเป็นประธานดูแลข้าว ไม่รู้จัก “เปาเกา” แปลว่าไม่รู้จริง เพราะตอนนี้ไปทั่วประเทศไทยแล้ว คือ พ่อค้าคนไหนอยากได้ข้าวไปติดต่อแค่ 2-3 บริษัทเท่านั้น โดยการทำหน้าที่จัดการหาข้าวให้ ไม่ต้องสีข้าวส่งคลังหลวง ทำแทนให้กำไรโรงสี 1บาท ต่อกิโล
** ปกปิดข้อมูลไม่ให้ตรวจสอบ
นอกจากนี้นายกฯ และรัฐมนตรีมีพฤติกรรมปกปิดข้อมูล ไม่ให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบเลย เช่น ตนเป็นประธานกรรมาธิการพาณิชย์ ยื่นหนังสือกรมการค้าต่างประเทศไป 5 ครั้ง มาครั้งที่5 องค์การคลังสินค้าเชิญไป 7 ครั้งไม่มาแม้แต่ครั้งเดียว โดยเจ้าหน้าที่บอกว่าผู้ใหญ่สั่งไม่ให้มา นายกฯในฐานะประธานกนข. เคยมีคำสั่งหรือไม่ ว่าไม่ต้องให้ข้อมูล ที่อ้างการเจรจา จีทูจี เป็นเรื่องลับนั้น ตนเห็นด้วย แต่เมื่อมีการลงนามในสัญญาเท่าที่ทราบมีในสัญญา 7.3ล้านตัน ทำไมไม่เอามาพูด เพราะทุกประเทศมีการนำมาเปิดหมด แต่ของเรากลับมีการอ้างว่า ประเทศคู่ค้าร้องขอ ตนไปสอบถามกับทูตทุกประเทศต่างยืนยันไม่เคยมีการร้องขอ นายกฯเอาอะไรมาอ้างว่า เป็นเรื่องลับ มีการร้องเรียนข้อมูลของรัฐบาลเริ่มหายไปจากเว็บไซต์ มีการร้องเรียนไปที่องค์การค้าโลกแล้ว ขอให้เตรียมรับมือให้ดี
**แฉรัฐไม่เปิดเผยขายข้าวจีทูจี เหตุให้เอกชนทำ
นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า นายกฯ เข้ามาบริหารประเทศในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ไม่กี่วันก็เริ่มมีการขายข้าวแบบจีทูจีค้างสต็อก 3 แสนตัน กับบริษัท บูล๊อค ประเทศอินโอนีเซีย ในลักษณะมีการงุมงิบทำสัญญา เนื่องจากก่อนการประมูลมีเพียง 2 บริษัท ที่ทราบเท่านั้น และในที่สุดบริษัทที่ได้ประมูลไปคือ บริษัทสยามอินดิก้า โดยไม่มีการเปิดเผย และแจ้งให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยทราบ
เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา เมื่อสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ทำหนังสือมาถึงรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ว่าเหตุใดถึงไม่ทราบเรื่อง เพราะการขายข้าว ครั้งนี้จำนวน 3 แสนตัน ก็ไม่ได้นำสต็อกข้าวของรัฐบาลมาดำเนินการ ทำให้องค์การคลังสินค้า ( อคส.) ต้องไปกว้านซื้อ ซึ่งถือเป็นการโกหก รองนายกฯ กลืนน้ำลายตัวเอง เพราะคงไม่มีใครมีข้าวจำนวนมากถึง 3 แสนตันเหมือนรัฐบาล ที่ไปรับซื้อในราคาที่ถูกกว่า และเห็นว่ารัฐบาลยุคนี้ กล้ากว่า หนากว่า รัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะในสมัยนั้น มี 4-5 บริษัทที่เข้าร่วมประมูล เมื่อมีการท้วงติงมา รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ยกเลิกการประมูล
นายประเสริฐ กล่าวว่า เวลาไปเจรจากับต่างประเทศใช้ยี้ห้อประเทศไทย คนไทย ข้าวไทยไปเจรจาหรือไม่ แต่เมื่อสำเร็จกลับยกให้เอกชนทำ และการอนุมัติปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทสยามอินดิก้าเพื่อซื้อข้าว 3 แสนตันล๊อตนี้ ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ยังไม่รู้เลย เหมือนกับเอาเงินจากธนาคารกรุงไทยไปจ่ายให้กับอคส. ซึ่งปัจจุบันบริษัทบูล๊อค ได้ทยอยเบิกข้าวไปแล้ว 1.5 แสนตัน ส่วนที่เหลือให้เชะลอไว้ก่อน ไหนว่าการขายข้าวแบบจีทูจีเป็นความลับ แต่ปิดหูปิดตาประชาชน เป็นเพราะให้เอกชนดำเนินการใช่หรือไม่ เพราะในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็มีการขายข้าวแบบจีทูจี กับประเทศอินโดนิเซียและบังคลาเทศ ก็ไม่มีอะไรปิดบัง ทั้งที่เป็นเงินจำนวนมหาศาล และมีการเชิญชวนบริษัทต่างๆให้มาประมูลอย่างทั่วถึง
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า บริษัทสยามอินดิก้า มีความเชื่อมโยงกับบริษัท เพรซิเด้นอะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการประมูลข้าวในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กว่า 3.8 แสนตัน เป็นบริษัทที่เดินเข้าออกกระทรวงพาณิชย์ ได้รับผลประโยชน์จากการขายข้าว ได้ลดค่าประกันสัญญา แต่ต่อมาบริษัทดัง กล่าวทำให้ อคส. เสียหายถึง 4,800 ล้านบาท ซึ่งต่อมาบริษัทดังกล่าวล้มละลาย ทำให้ อคส.ไมได้รับค่าเสียหายแม้แต่แดงเดียว
ต่อมา บริษัท เพรสซิเด้นฯ มาตั้งบริษัทไหม่ ใช้ชื่อบริษัทสยามอินดิก้า โดยมีรายชื่อกรรมการบริหารบริษัทเป็นชุดเดียวกัน ครั้งนี้ บริษัทดังกล่าวได้รับผลประโยชน์จากการประมูลข้าวจำนวน 3 แสนตัน ทั้งนี้บริษัทนี้ในอดีตเคยทำให้ อคส.เสียหาย แต่ทำไมรัฐบาลถึงยังทำธุรกิจกับบริษัทนั้นอยู่ เพราะทำให้อสค.เสียหาย มีประวัติไม่ดี ขาดคุณสมบัติเข้าร่วมประมูล ซึ่งตนเชื่อว่า ต้องมีเงินทอนกลับมาแน่นอน แต่ไปเข้ากระเป๋าใคร ต้องตอบให้ได้
"นายกฯ รู้ยิ่งกว่ารู้ เพราะเป็นนักธุรกิจ ว่า 2 บริษัทนี้โคลนนิ่งกันมา มีคุณสมบัติไม่ชอบ และมีเป้าหมายเดียวกันคือ มุ่งไปสู่การทุจริต ดังนั้นอยากให้นายกฯ เปิดเผยว่า อคส. รับเศษเงินมาเท่าไหร่ หายไปเท่าไหร่ ตกหล่นอยู่ที่ไหนบ้าง ขอให้มาเปิดเผยในสภาฯแห่งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ผมเสียใจ และไม่อาจให้นายกฯ อยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป" นายประเสริฐ กล่าว
***ปชป.แฉตั้งบริษัทผีขายข้าวแบบ “จีทูจี”
นพ.ณรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดย น.พ.วรงค์ อภิปรายโจมตีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่รัฐบาลอ้างว่าขายให้กับบริษัทไทยและบริษัทจีน โดยรัฐบาลอ้างว่ารัฐบาลจีนมีการตั้งบริษัทขึ้นมารับข้าวในเงื่อนไขจีทูจี แต่จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทจีเอสเอสจี อิมพ์แอนด์เอ็กซ์พอร์ต ประเทศจีนที่รับซื้อข้าวของรัฐบาลนั้นมีชื่อนายรัฐนิธ โสจิรกุลเป็นผู้มีอำนาจของบริษัท ลงนามมอบอำนาจให้กับนายนิมล รักดี ที่อยู่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ให้เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามแทน
เมื่อตรวจสอบพบว่า นายรัฐนิชนั้นมีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” แท้จริงแล้วเป็นผู้ช่วยลำดับที่ 3 ของนางรพีพรรณ พงศ์เรืองรอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ภรรยาของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง
“ตรวจสอบแล้วว่านายรัฐนิชมีอายุ 32 ปีมีเงินฝากในธนาคารกรุงไทยค้างอยู่เพียง 64 บาท 63 สตางค์ ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลจะค้าขายข้าวจีทูจีกับคนแบบนี้”น.พ.วรงค์กล่าว
น.พ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนชื่อนายนิมล ที่เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทจีนนั้น ตรวจสอบพบว่าเป็นคนในพื้นที่ จ.พิจิตร ชื่อ “เสี่ยโจ” เป็นมือขวาให้กับ “เสี่ยเปี๋ยง” ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง โดยเสี่ยเปี๋ยงเคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในปี 46 - 47 สมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
อย่างไรก็ตามบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทสยาม อินดิก้า บริษัทใหญ่ที่รับข้าวจากโครงการรับจำนำของรัฐบาล เห็นได้ชัดว่าการขายข้าวจีทูจีของรัฐบาลไม่มีจริง เป็นการซื้อขายกับบริษัทผีที่มีเพียงชื่อแต่ให้พรรคพวกตัวเองเป็นผู้ดำเนินการซื้อขายข้าวกับรัฐบาล
นพ.วรงค์ อภิปรายอีกว่าสำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดัง แทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. 16 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ ทั้งนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ ทราบข้อมูลมาตลอด ถือว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในการกระทำทุจริต ตามที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้จากการตรวจสอบของการบันทึกเบิกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีการอำพรางชื่อบริษัทที่จะส่งมอบข้าว โดยใบบันทึกช่วงต้นพบมีการบันทึกบริษัทรับข้าวว่า “สยามเอริก้า” แต่ช่วงท้ายของบันทึกเบิกข้าว เจ้าหน้าที่พิมพ์ว่าสยามอินดิก้า ดังนั้นจึงถือว่ามีการลับลวงพราง
มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาล เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ซึ่งข้อมูลที้ช่วงวันที่ 28 ก.ย. -15 ต.ค.ที่รัฐบาลคุยโวว่าจะมีการขายข้าวแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่มีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะ ทั้ง แคชเชียร์แชค การถอนเงิน หรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่ ในการจับโกหก หากเป็นการค้าแบบจีทูจี จะต้องมีการเปิดแอล/ซี แต่ครั้งนี้กลับไม่พบว่ามีการเปิดแอล/ซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงิน รวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้บริษัทสยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสี ในลักษณะของไปเงินมา มีการพบแคชเชียร์เชค ออกในนามของ นายสมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เชค จำนวนกว่า 500 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบที่อยู่ของนายสมคิด ตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร พบว่าไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ และจากการสอบถามประชาชนบ้านใกล้เคียงทราบว่า นายสมคิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยา ที่เขตบางแค ตนจึงตรวจสอบพบว่าเป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมคลองเท่านั้น
“เมื่อตรวจสอบชื่อของนายสมคิด พบว่าเป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า เพราะนายสมคิด ได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยงไปจดทะเบียนตั้งบริษัทสยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2547” นพ.วรงค์ อภิปราย
นพ.วรงค์ อภิปรายต่อว่าข้อมูลที่ตามต่อพบว่าเจอชื่อของนายสมคิดในธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนาม จำนวน 5 คน อาทิ นายนิมล นางเรืองวัน นายกฤษณา นอกจากนั้นยังมีชื่อของนางเรืองวันเปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชีและมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่าเมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่ตนได้ข้อมูล คือ บัญชีนิมล พบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกร ไป ธนาคารกรุงไทย หลายรายการ ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 ก.ย. จำนวน 260 ล้านบาท, วันที่ 28 ก.ย. 99 ล้านบาท, วันที่ 3 ต.ค. 485 ล้านบาท, 5 ต.ค. โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ต.ค. โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้ เชื่อว่าว่าเข้าข่ายการฟอกเงินและมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้าย นพ.วรงค์ ได้เปิดคลิปภาพ ที่ระบุว่า เสี่ยเปี๋ยง ได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 4-5 ต.ค. 55 พร้อมอภิปรายว่า ตนทราบข่าวว่าเสี่ยเปี๋ยงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการค้าข้าวและรัฐบาล โดยเมื่อต่างชาติจะซื้อข้าวไทย มีผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าให้ไปเจรจากับเสี่ยเปี๋ยง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเสี่ยเปี๋ยงมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี๋ยงออกมาหากิน และตั้งบริษัทผีนำเงินออกไปฟอกที่ต่างประเทศ โดยนายกฯ ไม่ได้ดูแลป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต
“ผมขอเสนอนายกฯ ไถ่บาป ด้วยการ ปลด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีองค์การคลังสินค้า และนายกฯ ควรพิจารณาตัวเองขึ้นสู่หลักประหาร” นพ.วรงค์ อภิปราย
** "บุญทรง"ยันโปร่งใส ชาวนามีแต่ได้
ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า การดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์นั้นคือการรับจำนำข้าวจากชาวนา โดยมีขั้นตอนและราคาที่ชัดเจนและมีการหักค่าความชื้น หลักคิดง่าย ๆ ของ WTO คือ กรณีที่รัฐบาลใดหรือรัฐบาลหนึ่งจะมีการอุดหนุนสินค้าการเกษตร จะต้องนำออกไปขายในตลาดโลกในราคาที่ต่ำกว่าทั่วไป ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ได้มีเจตนาใด ๆ ที่ทำให้ราคาข้าวต่ำกว่าตลาด โดยในความเป็นจริงแล้วราคาข้าวในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียจะพบว่าราคาข้าวของไทยอยู่สูงกว่า
ในประเด็นเรื่องของโครงการรับจำนำใช้เงินงบประมาณไป แต่กลับเอื้อผลประโยชน์ให้แก่โรงสีนั้น ตนขอเรียนว่าการใช้เงินในโครงการนี้ประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท โดยเป็นเงินที่ ธกส.กู้เงินและจ่ายเงินสู่ชาวนาโดยตรง และได้ในราคาตันละ 1.5หมื่นบาท ส่วนปัญหาความชื้นและสิ่งเจือปนจะไปหักที่ตัวข้าวไม่ใช่หักจากราคา ซึ่งไม่ผ่านมือใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่โรงสีจะมาได้ประโยชน์จากตรงนี้ ทั้งนี้โรงสีได้รับประโยชน์จากส่วนเดียวก็คือค่าสีแปลงสภาพ แต่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสด แต่ถูกหักเป็นข้าวที่สีได้ ส่วนกรณีข้าวเพิ่มขึ้นมาโดยไม่รู้ว่ามาจากไหนนั้น นายบุญทรง กล่าวว่า ตัวเลข 18 ล้านตันนั้นไม่ตรงกับทางตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ และตนยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ส่วนการระบายข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล อย่างจีทูจี ในเรื่องนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร แต่การอภิปรายของฝ่ายค้านอาจจะใช้การจินตนาการมากเกินไป ข้อมูลบางส่วนตนไม่ทราบมาก่อน แต่จะมีการตรวจสอบต่อไป อย่างไรก็ตามการระบายข้าวต้องคำนึงถึงตลาดภายในและตลาดโลก การระบายข้าวจะต้องดูจังหวะและโอกาสตอนนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องขอเป็นความลับทางการค้า ที่ต้องปิดไม่ให้คู่แข่งทางการค้าของเรารู้ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้มีการประมูลข้าวโดยเปิดเผย ต่างจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไม่มีการประกาศด้วยซ้ำไป สำหรับหน่วยงานที่เข้ามาติดต่อกับกรมการค้าต่างประเทศนั้น ขอยืนยันว่าเป็นหน่วยงานของรัฐบาลจีน โดยที่รัฐบาลจีนถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าว 100เปอร์เซ็นต์ มีเอกสารยืนยันชัดเจน
“เมื่อหน่วยงานต่างประเทศซื้อสินค้าจากเราไปแล้ว จะมอบหมายให้ใครเป็นคนรับสินค้าจากกรมการค้าต่างประเทศก็ถือว่าเป็นสิทธิ การไปสืบเสาะหาข้อมูลว่าเป็นหน่วยงานใดเข้ามาติดต่อนั้นไม่ใช่เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์”นายบุญทรง ระบุ
ส่วนที่กล่าวหาว่ามีนักการเมืองเป็นเจ้าของบริษัทต่างๆนั้นตนจะไปตรวจสอบและยืนยันได้ว่าไม่มีใครมีสิทธิพิเศษในโครงการรับจำนำข้าว ยืนยันว่าโครงการนี้จะไม่ทำให้ขาดทุนงบประมาณถึง 2 แสนล้านบาท แต่จะขาดทุนเพียง 6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น