ปชป.แฉ “ปู” แหกตา ปชช. อ้างจีทูจีขายข้าวถูกให้บริษัทผี โกยเงินตกกว่า 2 หมื่นล้าน ปล่อยแก๊งทุจริตยุคพี่ชายคืนชีพ ระบุ “ไอ้ปาล์ม” ผู้ช่วย ส.ส. “เมียกี้ร์” กุมบังเหียนบริษัท มีเงินในแบงก์แค่ 64 บาท โยง “ไอ้โจ” มือขวาเสียเปี๋ยง คนใกล้ชิด “นช.แม้ว” ผูกขาดโครงการจำนำข้าว ด้าน “บุญทรง” ยันโปร่งใสชาวนาได้ประโยชน์ การันตี “ปู” พูดจริงทุกเรื่อง
บรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงค่ำวันที่ 26 พ.ย. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า นายกฯ มีพฤติกรรมปล่อยปละละเลยให้มีพฤติกรรมทุจริต โกงทั้งแผ่นดิน เอื้อพวกและญาติ ปล่อยให้คนอื่นมีอำนาจเหนือตนเอง ซึ่งโครงการจำนำข้าวไม่ใช่อำมาตย์เอาเปรียบไพร่ แต่เป็นการที่ทุนสามานย์เอาเปรียบไพร่ เพราะโรงสีเป็นเหมือนโรงรับจำนำของรัฐบาล
นพ.วรงค์กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลขายข้าวแบบจีทูจีนั้นจะมีการขายราคาเท่าไหร่ตนไม่ว่า เพราะเป็นการร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ แต่ต้องเป็นเงินจากรัฐบาลผู้ซื้อส่งให้รัฐบาลผู้ขายตามหลักการทั่วไป โดยมีวิธีขาย 2 แบบ คือ ราคาขายท่าเรือไทย และราคาขายที่ท่าเรือต่างประเทศ และไม่มีการประมูลเหมือนการขายข้าวให้ผู้ค้าข้าว ซึ่งอยู่ดีๆ รัฐมนตรีในรัฐบาลนี้กลับออกมาบอกว่าขายข้าวแบบจีทูจี 7.32 ล้านตัน ส่งออกไปแล้ว 1.4 ล้านตัน แถมคุยว่าเอาเงิน 4.3 หมื่นล้านไปชำระค่าข้าวให้กับ ธ.ก.ส.แล้ว โดยเป็นการขายข้าวจีทูจีในราคา ณ หน้าคลัง ซึ่งในวงการค้าข้าวไม่ว่ายุคไหนไม่เคยมีการซื้อขายข้าว จีทูจีราคา ณ หน้าคลังมาก่อน เพราะไม่มีรัฐบาลไหนอยากมาขนข้าว และดำเนินการเอง ยิ่งมาเจอข้าวไม่มีมาตรฐานในโกดังมากมายขนาดนี้ไม่มีรัฐบาลไหนทำแน่ แต่รัฐบาลนี้ทำ แต่หากมีการขายจีทูจีตามรัฐบาลพูดจริงจะต้องมีการทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งกรมการค้าระหว่างประเทศจะทำการเบิกข้าวให้กับบริษัทเอกชนที่รัฐบาลต่างประเทศแต่งตั้ง แต่ที่สำคัญเงินค่าชำระสินค้าต้องเป็นเงินจากรัฐบาลต่างประเทศโอนผ่านแอลซีมายังรัฐบาลไทย
นพ.วรงค์กล่าวว่า ตนจำต้องตรวจสอบและเอาความจริงมาแฉ เพื่อฉีกหน้ากากรัฐบาล หาข้อมูลมาบอกว่ารัฐบาลนี้โกหกประชาชน ให้ประโยชน์กับคนใกล้ชิด เพราะจีทูจีที่รัฐบาลพูด 7.32 ล้านตันนั้นเป็นเรื่องโกหก เพราะตนพบว่ามี 2 บริษัทซึ่งเป็นบริษัทจีนหนึ่งบริษัทและบริษัทไทยอีกบริษัท ในการรับข้าวจากรัฐบาลไทยโดยบริษัทที่มาจากประเทศจีนมีชื่อว่า GSSG, IMP, ANDEXP.CORP ซึ่งในขั้นตอนการขายข้าว กรมการค้าต่างประเทศจะเป็นเจ้าภาพในการเบิกข้าวจากโกดัง โดยตามเอกสารลงวันที่ 15 พ.ค. เป็นการขายปลายข้าว ปริมาณ 5 ล้านกิโลกรัม บริษัทจากจีนก็มารับข้าว ซึ่งจะเห็นวิธีการทำงานที่ซับซ้อนของคนปล้นชาติปล้นแผ่นดิน โดยมีเอกสารการมอบอำนาจของนายรัฐนิธ โสถิรกุล ให้นายนิมล รักดี เป็นผู้รับมอบอำนาจ ในการไปรับข้าวจากโกดังรัฐบาล ซึ่งตนได้ติดตามตรวจสอบพบว่านายรัฐนิธนั้น มีอายุประมาณ 32 ปี และเป็นผู้เข้าเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยผู้ปฏิบัติงานของรัฐสภา รุ่นที่ 6 ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าก็รับรู้ว่าเป็นนักศึกษาลำดับที่ 36 โดยมีชื่อเล่นว่า “ไอ้ปาล์ม” ซึ่งเป็นผู้ช่วย ส.ส.ลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นภรรยานายอริสมันต์ แกนนำคนเสื้อแดง
“ถ้าคิดด้วยสามัญสำนึก รัฐบาลจะตรวจสอบที่มาที่ไปของคนนี้หรือไม่ หรือควรจะขายข้าวให้หรือไม่ ซึ่งก็มีคนเอาข้อมูลบัญชีนายนัฐริธมาให้ผมดู พบว่ามีเงินในบัญชีเพียง 64 บาท 63 สตางค์ แต่กลับเป็นผู้มีอำนาจจากบริษัทในประเทศจีน ติดต่อกับรัฐบาลซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่มาก ส่วนนายนิมลก็พบว่าเป็นคนจังหวัดพิจิตร ซึ่งจากการถามเถ้าแก่โรงสีได้ข้อมูลว่า ในวงการโกดังข้าวภาคกลางเรียกว่า เสี่ยโจ เป็นคนใกล้ชิดเสี่ยเปี๋ยง เจ้าของบริษัท เพรสซิเด้นอะกริ เทรดดิ้ง ที่ผูกขาดขายข้าวและส่งออกรายใหญ่ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้แปลงร่างมาเป็นบริษัทสยามอินดิก้า และยังพบว่า ป.ป.ช.เคยชี้มูลเมื่อวันที่ 26 มี.ค. 52 ว่านายโจเคยเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวในปี 46-47 ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ในนามบริษัท เพรสซิเด้นอะกริฯ ซึ่งเป็นการโกงโดยการเอาข้าวเก่ามาเวียนเทียน ซึ่งคดีดังกล่าวยังคงค้างอยู่ใน ป.ป.ช.ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็ล้มในปี 2550 หลังจากการปฏิวัติ โดยก่อนหน้านั้นเสี่ยเปี๋ยงได้จดทะเบียนบริษัทใหม่ในนามสยามอินดิก้า ซึ่งเท้ากับว่าสองบริษัทเป็นบริษัทเดียวกัน”
นพ.วรงค์กล่าวว่า ที่รัฐบาลอ้างเรื่องจีทูจี ที่แท้เป็นการหาหัวบริษัทจีนมาหนึ่งหัว แล้วขายข้าวให้กับบริษัทดังกล่าวเพื่อเลี่ยงการประมูลกำหนดราคาได้ตามใจชอบ ทำกำไรมหาศาล ซึ่งอย่างต่ำมีกำไรกระสอบละ 300 บาท ได้เงินมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการนำข้าวไปเทเก็บในโกดังจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งตนไม่ทราบว่านายกฯ คิดอย่างไร เพราะนายกฯ ยืนยันว่าเห็นเอกสารจีทูจี โดยในคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์กับสื่อของนายกฯ ก็เป็นการยืนยันว่าร่วมรับรู้กับรัฐมนตรีในการขายข้าวครั้งนี้ โดยปฏิเสธที่จะไม่รับผิดชอบต่อการระบายข้าวล็อตนี้ไม่ได้ ผู้นำประเทศหมายเลขหนึ่งโกหกคนไทยทั้งประเทศจะอยู่ได้อย่างไร ซึ่ง 15 ล้านเสียงไม่ควรช่วยการโกหก เพราะเป็นสำนึกของนักการเมือง ซึ่งขณะนี้นายกรู้เห็นเป็นใจในการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทผู้ใกล้ชิด
นอกจากนี้ บริษัทอีกรายที่เป็นบริษัทไทย จากการตรวจสอบก็พบว่าไม่ได้ขายข้าวให้นิติบุคคล แต่กลับขายให้บุคคล โดยไอ้ปาล์มได้มอบอำนาจให้ไอ้โจอีกเช่นเคย ทำไมรัฐบาลอาจหาญขายข้าวให้แก๊งที่เคยทุจริตในสมัยที่พี่ชายเป็นนายกฯ กลับมาทำการทุจริตในยุคน้องสาวเป็นนายกฯอีกครั้ง และข้าวที่ขายออกไปแทนที่จะขนลงใต้คือแถวปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา เพื่อไปส่งปรับปรุงคุณภาพ แต่กลับส่งขึ้นไปเหนือที่ จ.พิษณุโลก เพื่อไปเวียนเทียน
นพ.วรงค์อภิปรายต่อว่า มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาล เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ข้อมูลช่วงวันที่ 28 ก.ย. - 15 ต.ค.ที่รัฐบาลคุยโวว่าจะมีการขายข้าวแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะ ทั้ง แคชเชียร์เช็ค การถอนเงิน หรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่ ในการจับโกหก หากเป็นการค้าแบบจีทูจี จะต้องมีการเปิดแอล/ซี แต่ครั้งนี้กลับไม่พบว่ามีการเปิดแอล/ซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงิน รวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้บริษัทสยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสี ในลักษณะของไปเงินมา มีการพบแคชเชียร์เชค ออกในนามของ นายสมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เช็ค จำนวนกว่า 500 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบที่อยู่ของนายสมคิด ตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร พบว่าไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ และจากการสอบถามประชาชนบ้านใกล้เคียงทราบว่า นายสมคิดได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยาที่เขตบางแค ตนจึงตรวจสอบพบว่าเป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมคลองเท่านั้น
“เมื่อตรวจสอบชื่อของนายสมคิด พบว่าเป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า เพราะนายสมคิดได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยงไปจดทะเบียนตั้งบริษัทสยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2547” นพ.วรงค์อภิปราย
นพ.วรงค์อภิปรายต่อว่า ข้อมูลที่ตามต่อพบว่า เจอชื่อของนายสมคิดในธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนามจำนวน 5 คน อาทิ นายนิมล นางเรืองวัน นายกฤษณา นอกจากนั้นยังมีชื่อของนางเรืองวันเปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชี และมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่า เมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่ตนได้ข้อมูล คือ บัญชีนิมล พบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกรไทยไปธนาคารกรุงไทยหลายรายการ ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 ก.ย. จำนวน 260 ล้านบาท, วันที่ 28 ก.ย. 99 ล้านบาท, วันที่ 3 ต.ค. 485 ล้านบาท, 5 ต.ค. โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ต.ค. โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้ เชื่อว่าว่าเข้าข่ายการฟอกเงินและมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้าย นพ.วรงค์ได้เปิดคลิปภาพที่ระบุว่า เสี่ยเปี๋ยงได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 4-5 ต.ค. 55 พร้อมอภิปรายว่า ตนทราบข่าวว่าเสี่ยเปี๋ยงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการค้าข้าวและรัฐบาล โดยเมื่อต่างชาติจะซื้อข้าวไทย มีผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าให้ไปเจรจากับเสี่ยเปี๋ยง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเสี่ยเปี๋ยงมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี๋ยงออกมาหากิน และตั้งบริษัทผีนำเงินออกไปฟอกที่ต่างประเทศ โดยนายกฯ ไม่ได้ดูแลป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต
“ผมขอเสนอนายกฯ ไถ่บาปด้วยการปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีองค์การคลังสินค้า และนายกฯ ควรพิจารณาตัวเองขึ้นสู่หลักประหาร” นพ.วรงค์อภิปราย
ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า การดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์นั้นคือการรับจำนำข้าวจากชาวนา โดยมีขั้นตอนและราคาที่ชัดเจนและมีการหักค่าความชื้น หลักคิดง่ายๆ ของ WTO คือ กรณีที่รัฐบาลใดหรือรัฐบาลหนึ่งจะมีการอุดหนุนสินค้าการเกษตร จะต้องนำออกไปขายในตลาดโลกในราคาที่ต่ำกว่าทั่วไป ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ได้มีเจตนาใดๆ ที่ทำให้ราคาข้าวต่ำกว่าตลาด โดยในความเป็นจริงแล้วราคาข้าวในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียจะพบว่าราคาข้าวของไทยอยู่สูงกว่า
ในประเด็นเรื่องของโครงการรับจำนำใช้เงินงบประมาณไป แต่กลับเอื้อผลประโยชน์ให้แก่โรงสีนั้น ตนขอเรียนว่าการใช้เงินในโครงการนี้ประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท โดยเป็นเงินที่ ธ.ก.ส.กู้เงินและจ่ายเงินสู่ชาวนาโดยตรง และได้ในราคาตันละ 1.5 หมื่นบาท ส่วนปัญหาความชื้นและสิ่งเจือปนจะไปหักที่ตัวข้าวไม่ใช่หักจากราคา ซึ่งไม่ผ่านมือใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่โรงสีจะมาได้ประโยชน์จากตรงนี้ ทั้งนี้ โรงสีได้รับประโยชน์จากส่วนเดียวก็คือค่าสีแปลงสภาพ แต่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสด แต่ถูกหักเป็นข้าวที่สีได้ ส่วนกรณีข้าวเพิ่มขึ้นมาโดยไม่รู้ว่ามาจากไหนนั้น นายบุญทรงกล่าวว่า ตัวเลข 18 ล้านตันนั้นไม่ตรงกับทางตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ และตนยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ส่วนการระบายข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล อย่างจีทูจี ในเรื่องนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร แต่การอภิปรายของฝ่ายค้านอาจจะใช้การจินตนาการมากเกินไป ข้อมูลบางส่วนตนไม่ทราบมาก่อน แต่จะมีการตรวจสอบต่อไป อย่างไรก็ตาม การระบายข้าวต้องคำนึงถึงตลาดภายในและตลาดโลก การระบายข้าวจะต้องดูจังหวะและโอกาสตอนนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องขอเป็นความลับทางการค้า ที่ต้องปิดไม่ให้คู่แข่งทางการค้าของเรารู้ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้มีการประมูลข้าวโดยเปิดเผย ต่างจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไม่มีการประกาศด้วยซ้ำไป สำหรับหน่วยงานที่เข้ามาติดต่อกับกรมการค้าต่างประเทศนั้น ขอยืนยันว่าเป็นหน่วยงานของรัฐบาลจีน โดยที่รัฐบาลจีนถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าว 100 เปอร์เซ็นต์ มีเอกสารยืนยันชัดเจน
“เมื่อหน่วยงานต่างประเทศซื้อสินค้าจากเราไปแล้ว จะมอบหมายให้ใครเป็นคนรับสินค้าจากกรมการค้าต่างประเทศก็ถือว่าเป็นสิทธิ การไปสืบเสาะหาข้อมูลว่าเป็นหน่วยงานใดเข้ามาติดต่อนั้นไม่ใช่เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์” นายบุญทรงระบุ
ส่วนที่กล่าวหาว่ามีนักการเมืองเป็นเจ้าของบริษัทต่างๆ นั้น ตนจะไปตรวจสอบ และยืนยันได้ว่าไม่มีใครมีสิทธิพิเศษในโครงการรับจำนำข้าว ยืนยันว่าโครงการนี้จะไม่ทำให้ขาดทุนงบประมาณถึง 2 แสนล้านบาท แต่จะขาดทุนเพียง 6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น