xs
xsm
sm
md
lg

เร่งกลบกลิ่นเน่าโกงจำนำข้าว “ปปช.”สอบโกงรัฐมีสิทธิ์พัง!

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม
ชิงจังหวะหวังกลบเกลื่อนความเน่าเหม็นในโครงการรับจำนำข้าวกันเห็นๆ หลังมีการเปิดโปง-ชำแหละจุดอ่อนและความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าวจากส.ส.ฝ่ายค้านที่อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักในช่วง 25-27 พ.ย.ที่ผ่านมา

รวมถึงการอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภาที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 เปิดอภิปรายรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติเมื่อ 23 พ.ย.และ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา สภาสูงก็เปิดเวทีชำแหละผลเสียของโครงการรับจำนำข้าวกันดุดัน แต่ดีกรีความแรงก็ยังเบากว่าฝ่ายค้านอยู่มาก

เจอทั้งสภาล่าง-สภาสูง จัดหนักแบบนี้ เลยน่าจะทำให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ คงหวั่นไม่น้อยว่า

เรื่องจำนำข้าวจะทำให้รัฐบาลพังก็ได้

เลยอาจเป็นที่มาของการที่บุญทรง กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างการชี้แจงเรื่องโครงการรับจำนำข้าวต่อที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อ 28 พ.ย.ว่า กระทรวงพาณิชย์จะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบการซื้อขายข้าวระหว่างกรมการค้าต่างประเทศกับบริษัท GSSG IMP AND EXP.CORP ของจีนหลังถูกส.ส.ฝ่ายค้านคือนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์อภิปรายว่าการซื้อขายข้าวดังกล่าว เป็นการฟอกเงินและมีพฤติการณ์ซ่อนเงื่อนเพราะพบความผิดปกติหลายอย่างในการจัดซื้อและทำสัญญา โดยรมว.พาณิชย์ให้คำยืนยันต่อที่ประชุมวุฒิสภาว่า

“หากการตรวจสอบของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาพบว่าการซื้อขายดังกล่าวไม่ถูกต้อง ก็จะยกเลิกสัญญา และสอบสวนเอาผิดผู้เกี่ยวข้องต่อไป”

“ทีมข่าวการเมือง”ถึงได้บอกว่ามันเป็นความพยายามจะหาทางกลบเกลื่อนความเน่าเหม็นในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลหลังถูกเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในการซื้อขายข้าวดังกล่าว เพื่อหวังลดกระแสกังขาของสังคมหลังได้รับรู้ข้อมูลการซื้อขายข้าวดังกล่าวจากคำอภิปรายของนพ.วรงค์ ที่อภิปรายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย

จนคนทั้งประเทศได้ประจักษ์ว่าที่มีการพูดกันมาตลอดว่ามี “เหลือบ”หากินกับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง

รวมถึงคงหวังจะช่วยยิ่งลักษณ์ผ่อนหนักให้เป็นเบาหากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เริ่มสอบสวนคำร้องขอถอดถอนยิ่งลักษณ์ ซึ่งส.ส.พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นถอดถอนไปตั้งแต่เมื่อต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่ยิ่งลักษณ์จะต้องชี้แจงต่อป.ป.ช.ก็คือ เรื่องนโยบายรับจำนำข้าว ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) เพราะจะได้อ้างได้ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งดูดายเมื่อมีการแจ้งเบาะแสการทุจริตเกิดขึ้นก็ตั้งกรรมการสอบสวนทันที

อย่างไรก็ตาม หากคิดตามไปด้วยในสิ่งที่ “บุญทรง”พยายามอ้างว่ากระทรวงพาณิชย์พร้อมยกเลิกสัญญาการขายข้าวดังกล่าว แบะเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐหากสอบสวนพบว่าเป็นสัญญาการซื้อขายที่ไม่โปร่งใส

“ทีมข่าวการเมือง”ก็ได้ติดตามดูการชี้แจงของบุญทรง กลางที่ประชุมสภาฯ หลังนพ.วรงค์อภิปรายเสร็จสิ้นลงรวมถึงการชี้แจงหลังสว.หลายคนได้อภิปรายเรื่องความล้มเหลวในโครงการรับจำนำข้าว เมื่อ 28 พ.ย.ตลอดถึงในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภาเมื่อ 27 พ.ย.

จับประเด็นได้ชัดว่า บุญทรงได้ย้ำหนักแน่นว่าการขายข้าวดังกล่าวของรัฐบาลที่ทำผ่านกรมการค้าต่างประเทศที่รับหน้าเสื่อเป็นผู้ระบายข้าวในสต็อก จึงต้องไปติดต่อกับประเทศอื่นๆ ให้มาซื้อข้าวไทยรวมถึงกับบริษัทเอกชนในต่างประเทศ และหากต่างประเทศมีความสนใจจะซื้อข้าวจากไทย ก็จะให้สถานฑูตไทยในประเทศนั้นๆ ตรวจสอบสถานะของบริษัทเอกชนต่างประเทศที่จะมาซื้อข้าวไทยแล้วส่งความเห็น-เอกสารสำคัญในการตรวจสอบกลับมายังกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงการให้หน่วยงานราชการของประเทศดังกล่าว ให้คำรับรองสถานะของบริษัทที่มาติดต่อซื้อข้าวจากไทย

หรือหากเป็นบริษัทเอกชนต่างชาติแต่เป็นบริษัทที่รัฐบาลประเทศนั้นๆ ถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่แม้จะมีความน่าเชื่อถืออยู่แล้วแต่ก็จะต้องมีหนังสือรับรองสถานะบริษัทมาแสดงด้วยว่าเป็นบริษัทที่มีตัวตนจริง และมีเงินจ่ายค่าข้าวได้

คำชี้แจงของ”บุญทรง”เน้นย้ำว่า เมื่อตกลงกันได้แล้วก็จะทำการขายข้าวหน้าคลังสินค้า บริษัทที่มาซื้อข้าวจากไทย ก็ต้องมาขนข้าวในสต็อกออกไปตามสัญญาการซื้อขาย ก็ถือว่าหมดหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์แล้วเพราะได้ผ่านการตรวจสอบมาหมดแล้ว

เช่นเดียวกันกับการขายข้าวให้กับบริษัทจีน GSSG IMP AND EXP.CORP ก็มีการตรวจสอบสถานะของบริษัทและมีหนังสือรับรองจากสถานฑูตจีนฯยืนยันมาดังนั้น หากบริษัทของจีนเมื่อซื้อข้าวไปแล้วจะทำอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องของบริษัทเอกชน

เมื่อพิจารณาตามคำชี้แจงดังกล่าว ของ”บุญทรง”ก็มีหลายปมให้ต้องตั้งคำถามอาทิ อย่างการที่บุญทรงบอกว่าหากสอบพบว่าการขายข้าวล็อตดังกล่าวไม่โปร่งใสจะมีการยกเลิกสัญญา

คำถามก็คือว่าจะยกเลิกแบบไหน ข้าวทั้งหมดไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากคลังสินค้าหรือถูกนำไปเร่ขายต่อแล้วหรือ เพราะกว่าที่จะมีการสอบสวนกันแล้วเสร็จก็รู้ๆกันอยู่ว่าระบบราชการก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน

ที่สำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งยิ่งลักษณ์-บุญทรง ก็ยืนกรานมาตลอดว่าโครงการรับจำนำข้าวมีแต่ประโยชน์ ประสบความสำเร็จอย่างมาก อาจมีทุจริตบ้างก็แค่รายเล็กรายย่อยหรือทุจริตในกระบวนการปฏิบัติบางอย่างเช่นการสวมสิทธิชาวนา

ยิ่งเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายที่เดิมพันอนาคตรัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย หากคนทั้งประเทศได้ประจักษ์ชัดกันหมดว่ารับจำนำข้าวเป็นนโยบายที่ผิดพลาด เปิดช่องให้มีการทุจริตมากมาย และมีคนของรัฐบาลหรือคนใกล้ชิดฝ่ายการเมืองอย่างคนแดนไกล เข้าไปเกี่ยวข้อง มีหวังรัฐบาลยิ่งลักษณ์พังแน่นอน

จึงทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่การสอบสวนไม่ว่าจะเป็นของกระทรวงพาณิชย์หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษที่กระทรวงพาณิชย์จะไปยื่นเรื่องให้ดีเอสไอเข้ามาสอบสวนการทุจริตรับจำนำข้าวที่ส่งออกข้าวในโครงการไปต่างประเทศ จะมีผลออกมาในทำนองว่าการขายข้าวล็อตดังกล่าวมีความผิดปกติจริงตามคำอภิปรายของฝ่ายค้าน

ก็ในเมื่อบุญทรงยืนกรานมาตลอดว่าการซื้อขายข้าวในโครงการแบบจีทูจี ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีนักการเมืองได้ประโยชน์จากโครงการนี้ แล้วการสอบสวนจะมีผลออกมาในทางที่ไปหักหน้าบุญทรง รมว.พาณิชย์ได้อย่างไร

ยิ่งคำอภิปรายของฝ่ายค้านที่เปิดชื่อคนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายข้าวล็อตดังกล่าว ก็พบว่าคนที่เกี่ยวข้องมีความเชื่อมโยงกันในหลายระดับกับคนในซีกรัฐบาลผ่านคอนเน็คชั่นด้านการเมืองและการทำนิติกรรมต่างๆ โดยเฉพาะนิติกรรมด้านการเงินของคนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายข้าวดังกล่าว

อาทิการเอ่ยถึงชื่อ”เสี่ยเปี๋ยง-อภิชาติ จันทร์สกุลพร “อดีตขาใหญ่วงการค้าข้าวและส่งออกข้าวไทยไปต่างประเทศเพราะเป็นเจ้าของเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ที่เคยผูกขาดขายข้าวและส่งออกรายใหญ่ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งฝ่ายค้านบอกว่าวันนี้ได้ทำธุรกิจค้าข้าวผ่านบริษัท สยามอินดิก้า หลังการดำเนินธุรกิจของบริษัทเพรสซิเดนท์ฯเกิดปัญหามากมาย

ซึ่งดูแล้วชื่อของเสี่ยเปี๋ยง คนในพรรคเพื่อไทยหลายคนน่าจะรู้จักกันดี ทั้ง”เจ๊ด.”หรือ”เสี่ยก.”อดีตรัฐมนตรีคนดังของพรรคเพื่อไทย รวมถึงแม้แต่ตัวทักษิณ ชินวัตร เห็นได้จากภาพที่เสี่ยเปี๋ยงไปร่วมงานวันเกิดของทักษิณ ที่ประเทศฮ่องกงเมื่อช่วงเดือนก.ค.ปีนี้ ซึ่งฝ่ายค้านนำภาพในคลิปข่าวมาเปิดกลางสภาฯโดยที่เสี่ยเปี๋ยงยืนเคียงข้างทักษิณ

แล้วก็ยังมีชื่อคนอื่นๆ อีกในคำอภิปรายของนพ.วรงค์ ซึ่งเน้นไปที่ การเชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้องกับการทำหนังสือมอบอำนาจให้ไปเอาข้าวจากคลังสินค้าที่นครสวรรค์ จำนวน 5 ล้านกิโลกรัม ที่ทางบริษัท GSSG IMP AND EXP.CORP ในฐานะนิติบุคคลที่มีนายรัฐนิธ โสจิระกุล เป็นผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท แล้ว ตัวรัฐนิธ ก็ได้ลงนามในหนังสือของ GSSG IMP AND EXP.CORP ให้นายนิมล รักดี เป็นผู้มีอำนาจจัดการรับมอบข้าวที่คลังสินค้าจังหวัดนครสวรรค์

ตรงนี้ฝ่ายค้านอ้างว่ามันมีอะไรผิดปกติเพราะตัวนายรัฐนิธมีอายุแค่32 ปีมีเงินในบัญชีแค่ 64บาท แต่รับงานบริษัทข้ามชาติทำธุรกิจค้าข้าวเป็นพันล้านบาท ที่สำคัญตัวรัฐนิธหรือชื่อเล่นว่า “ปาล์ม”พบว่าเป็นผู้ช่วยส.ส.ของเมีย อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำเสื้อแดงคือนางรพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย

ส่วนนายนิมล ก็พบว่าในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวระบุว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่พิจิตร และคนในวงการโกดังข้าวภาคกลางเรียกว่าเสี่ยโจ ที่เป็นคนใกล้ชิดเสี่ยเปี๋ยง มีชื่อเรียกในวงการว่า “โจ เพรซิเดนท์ พิจิตร” และก่อนหน้านี้ เคยถูกสอบสวนเอาผิดในคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวในปี 46-47 ที่เอาข้าวเก่ามาเวียนเทียนซึ่งเกิดเหตุในช่วงสมัยรัฐบาลไทยรักไทยที่ก็ใช้นโยบายรับจำนำข้าวเช่นกัน

เมื่อได้ดูคำอภิปรายของนพ.วรงค์แล้วจะเห็นได้ว่าคนที่ถูกเอ่ยชื่อถึงดังกล่าวที่ยกมาอ้างไว้ข้างต้น มีความเชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองบางคนในรัฐบาลได้ โดยเฉพาะหากมีการแกะรอยลงลึกมากกว่านี้ ก็อาจได้เห็นชื่อหลายคนโผล่มาอีกก็ได้

ข้อมูลที่ฝ่ายค้านโดยนพ.วรงค์ได้อภิปรายในสภาฯ ทำให้ประชาชนต่างพูดตรงกันว่า

นี้แค่ตัวอย่างเดียวในการขายข้าวในโครงการรับจำนำข้าว ยังมีพฤติการณ์ให้ต้องชวนสงสัย แล้วอีกหลายสัญญาการซื้อขายที่รัฐบาลไม่ยอมเปิดเผย มันจะไม่มีอะไรผิดปกติเหมือนเช่นกรณีนี้หรือ

ก็อยู่ที่ทางคณะกรรมการป.ป.ช.แล้วว่า จะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้ได้ลึกและเก่งกว่าฝ่ายค้านหรือไม่ หรือจะปล่อยให้แก๊งโกงข้าว-ปล้นเงินภาษีประชาชน มันลอยนวลอิ่มสบายกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น