ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยิ่งนานวัน สังคมไทยก็ยิ่งรู้เช่นเห็นชาติ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกมากขึ้นทุกทีว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นคนเยี่ยงไร และมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร
ที่สำคัญคือ สังคมไม่แน่ใจว่า จะใช้คำว่า พล.อ.ประยุทธ์ “เปลี่ยนไป” ได้หรือไม่ เพราะไม่อาจรับรู้ได้ว่า จริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เปลี่ยนไป หากแต่ตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่สังคมไม่ทราบ กระทั่งคาดหวังในตัว พล.อ.ประยุทธ์มากจนเกินไป
กับการชุมนุมของเครือข่ายภาคประชาชนที่ทนไม่ได้รับการบริหารราชการแผ่นดินของ “รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่นำโดย “เสธ.อ้าย-พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์” แกนนำองค์การพิทักษ์สยาม พล.อ.ประยุทธ์ทั้งคำรามและออกคำสั่งอย่างต่อเนื่องทุกอาทิตย์ว่า ห้ามทหารเข้าร่วมชุมนุมโดยเด็ดขาด และยิ่งใกล้วันชุมนุมใหญ่ที่ประกาศชัดเจนแล้วว่าคือวันที่ 24 พฤศจิกายน เสียงคำรามของ พล.อ.ประยุทธ์ก็ยิ่งดังถี่ขึ้น
“เมื่อยังทำหน้าที่เป็นทหารที่อยู่ในราชการก็ไม่อยากให้ไปร่วมชุมนุม เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลังหากเกิดเรื่องราวขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ทหารพยายามที่จะอยู่ในส่วนของทหารคือทำหน้าที่เพื่อประชาชนตามหน้าที่ที่มีอยู่”พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน
“ทำไมจะต้องไป ไปให้มีเรื่องเสี่ยงทำไม ถ้าคิดว่ามันใจจะขาดก็มาบอกผู้บังคับบัญชา ถามว่าใจจะขาดไหมถ้าไม่ได้ไป ถ้าทหารไปคงจะเป็นหน่วยข่าว เจ้าหน้าที่ไปติดตามสถานการณ์ ต้องดูว่าที่เขาไปนั้นไปทำอะไร และที่เขาไปเพราะเมียบังคับไปหรือไม่ เพราะทหารส่วนใหญ่เมื่อภรรยาสั่งให้ไปก็ไป ส่วนใหญ่ไปกับภรรยาทั้งนั้นเพราะอยากไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น คนไทยแปลกมีอะไรมุงกันอยู่ชอบไปดู พอมีปัญหาเจ็บก็เดือดร้อนอีก ดังนั้นถ้าเสี่ยงก็อย่าไป แต่ถ้าคิดว่าสนุกและอยากไปก็เชิญ แต่ในส่วนทหารตนห้ามไว้ก่อน อย่างไรก็ตามคิดว่า คงมีพวกแอบๆ ไป อยากรู้อยากเห็น แต่อย่าใช้คำว่าสั่งทหารไปร่วมชุมนุม เพราะตนไม่ได้สั่ง ถ้าจะพูดต้องบอกว่า จ.ส.อ.คนใดคนหนึ่งไป แล้วถ้ามีต้องสอบสวนว่าไปได้อย่างไร”พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ซ้ำเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน
ประหนึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารพิทักษ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่การชุมนุมโดยสงบ สันติและปราศจากอาวุธเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของปวงชนชาวไทยทุกคน ซึ่งทหารในฐานะประชาชนชาวไทยเช่นกันก็มีสิทธิที่จะเข้าร่วมได้
กับการดำเนินการถอดยศ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ “บิ๊กโอ๋-พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระเหี้ยนกระหือรือดำเนินการเพื่อโชว์ผลงานชิ้นโบแดงให้เข้าตานายใหญ่ ทั้งๆ ที่มีปัญหาใหญ่ของชาติบ้านเมืองให้ทำมากมาย อาทิ ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ก็เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“ในส่วนของกองทัพบกไม่ได้เกี่ยวข้องเพราะเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นหน่วยบังคับบัญชาเป็นผู้ดำเนินการทั้งสิ้น กองทัพบกต้องรอฟังผลการตัดสินว่าเป็นอย่างไร หากกระทรวงกลาโหมมีคำสั่งให้กองทัพบกดำเนินการก็จะต้องปฏิบัติ เพราะไม่สามารถขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาได้ ถ้าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายดำเนินการสั่งการลงมาก็จะต้องปฏิบัติตาม”
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์มิได้เป็นเช่นในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้ว เหตุการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีต่อกรณีดังกล่าวก่อนหน้านี้ก็มิได้ห่างจากปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย
เมื่อครั้งที่ พล.อ.สุกำพลหยิบยกเรื่องนี้มาเล่นงานนายอภิสิทธิ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประกาศเปรี้ยงสวนแสกหน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยเสียงอันดังฟังชัดว่า “เรื่องนี้จบไปนานแล้วตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งกองทัพบกได้รายงานเรื่องนี้ให้กระทรวงกลาโหมรับทราบแล้ว เนื่องจากคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ปี 2542 สรุปว่าไม่มีมูล แต่ถ้าครั้งนี้จะมีมูลก็ว่ากันไป ซึ่งหากเป็นนโยบายที่จะให้รื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ กองทัพบกก็พร้อมให้ความร่วมมือ ซึ่งเอกสารทั้งหมด จเรกองทัพบกได้ส่งให้กระทรวงกลาโหมทั้งหมดแล้ว”
หรือว่า มีสัญญาใจบางประการกับบิ๊กโอ๋ที่จะนิ่งเฉยเลยผ่านในโครงการจัดซื้อเรือเหาะ จึงทำให้บิ๊กตู่ยอมหมอบราบคาบแก้วกลายเป็นแมวนอนหวดไปเสียอย่างนั้น
แต่ที่โหดร้ายที่สุดเห็นจะเป็นกรณีการเสียชีวิตของ “พล.อ.ร่มเกล้า ธุว ธรรม” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็คือน้องสายเลือด “บูรพาพยัคฆ์” เฉกเช่นเดียวกัน รวมถึงพลทหารที่เสียชีวิตจากน้ำมือของคนเสื้อแดง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์มิเคยแสดงท่าทีปกป้องเกียรติภูมิของทหารหาญเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย จนพวกเขาตกเป็นจำเลยของสังคม กระทั่งญาติพี่น้องของทหารเหล่านั้นต้องลุกขึ้นมาทวงความเป็นธรรมให้สามีและลูกของตนเอง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 “นางนิชา ธุวธรรม” ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้าได้เดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพบกพร้อมกับญาติกำลังพลที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวน 20 คนเพื่อยื่นหนังสือต่อ “พล.อ.อรุณ สมตน” ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะประธานคณะทำงานติดตามคดีของกองทัพบก
“เราเกิดความไม่มั่นใจในการดำเนินการของหน่วยงานรัฐ เพราะจนถึงขณะนี้ทหารถูกเรียกไปสอบส่วนที่โดนกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก มีการส่งคดีเข้าสู่ศาลหลายคดีด้วยกัน แต่ในส่วนของทหารที่เป็นผู้ถูกกระทำยังไม่มีความคืบหน้า จึงขอให้ ทบ.ให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังอยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายคิดถึงสิทธิมนุษยชนของทหารที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลความไม่สงบ เพราะที่ผ่านมาในรายงานต่างๆ พูดถึงแต่สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ชุมนุม”
“ชีวิตสามีของเราและของคนอื่นๆ ก็ตายไปแล้ว แต่เราอยากใช้กรณีนี้รักษาชีวิตของทหารคนอื่น ทั้งพี่เพื่อนน้องที่เป็นทหารด้วยกันที่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้และที่กำลังจะปฏิบัติหน้าที่ในวันข้างหน้าต่อไป นั่นคือเหตุผลที่ญาติของผู้เสียชีวิตจะต้องต่อสู้จุดนี้ เราไม่ต่อสู้เพื่อสามีของเราเพราะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่เพื่อเอากรณีของสามีเรา หรือคนอื่นๆ ในการรักษามาตรฐานบรรทัดฐานต่อไป”นางนิชาบอกเล่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับ “นางกาญจนา เมืองอำพัน” มารดาของ “สิบโทอนุพงษ์ เมืองอำพัน” ที่มีความรู้สึกในทำนองเดียวกันว่า “รู้สึกอึดอัดใจในการนำเสนอข่าวของสื่อที่โจมตีว่าฝ่ายทหารกระทำความผิดอยู่ฝ่ายเดียว ทุกวันนี้ช้ำใจและเรา อยากจะมีจุดที่พึ่งพิงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเราบ้าง และอยากให้ ทบ.ได้ช่วยเหลือเร่งรัด จากการที่มีโอกาสได้พบนายโคฟี่ อันนัน ท่านก็บอกว่าให้เรามั่นคงและเข้มแข็ง ทุกวันนี้เราจึงต้องเข้มแข็ง ส่วนจะให้ไปเรียกร้องความเป็นธรรมในส่วนอื่นๆ เราอยู่ในความดูแลของกองทัพบก คิดว่ากองทัพบกน่าจะช่วยเราได้….”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้าและญาติกำลังพลที่เสียชีวิตร้องขอความเป็นธรรม
ถามว่า ทำไมภรรยาพล.อ.ร่มเกล้า ญาติกำลังพลผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บถึงต้องร้องขอความเป็นธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คำตอบก็คือ ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกมีความสำนึกรับผิดชอบและเป็นที่พึ่งให้เพื่อนพ้องน้องพี่ในกองทัพบกมากกว่านี้ เหตุการณ์ในลักษณะนี้ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น
ในความเป็นจริง กับเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ถ้าจะว่าไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ก็มิได้ต่างอะไรกับรุ่นพี่ “บูรพาพยัคฆ์” ที่เป็นใหญ่ในกองทัพก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เพราะพวกเขายึดถือคติธรรมประจำใจว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”
ว่ากันว่า ขณะนี้นายทหารระดับคุมกำลังของกองทัพบกเริ่มแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจในตัว พล.อ.ประยุทธ์มากเป็นลำดับ