"ค้อนปลอม"พร้อมให้วุฒิอภิปรายรัฐบาลโดยไม่ลงมติ 23-24พ.ย. แต่ประธานวิปรัฐบาลไม่ยอม หวั่นเป็นการเรียกม็อบมาชุมนุม ขณะที่ส.ส.หญิง เตรียมพร้อมปกป้องนายกฯปู หากพาดพิง เสียดสีเรื่องส่วนตัว ด้าน"มาร์ค"ส่งทนายยื่นป.ป.ช. ฟัน"บิ๊กโอ๋" ยันถอดยศไม่ได้ "สุกำพล"ท้า"มาร์ค"แน่จริงแจงหนีทหารในสภา ลั่นพร้อมขอขมา ถ้า"มาร์ค"ไม่ผิด
นายสมศักดิ์ เกียตริสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในวันที่ 25-26 พ.ย. ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ที่จะเริ่งในวันที่ 24 พ.ย. จึงได้มอบหมายให้ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยในสภาฯ จะไม่ประมาท ทั้งนี้หากการชุมนุมอยู่ในกรอบ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ส่วนเรื่องเวลาการอภิปรายของวุฒิสภานั้น ได้มอบหมายให้วิปทั้ง 3 ฝ่ายไปหารือร่วมกัน หากได้ข้อสรุปก็จะประสานไปยังรัฐบาล ไม่น่าจะขัดข้องอะไร ส่วนกรณีที่วุฒิสภาได้วันอภิปรายฯ เป็นวันที่ 28 พ.ย. ซึ่งเป็นวันปิดสมัยประชุม อาจจะมีเวลาไม่เพียงพอนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากวุฒิสภาต้องการเวลาอภิปรายมากขึ้น ตนคิดว่าก็สามารถอภิปรายได้ ในวันที่ 23-24 พ.ย. ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งเชื่อว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่เกิดความวุ่นวายในห้องประชุม เพราะทุกฝ่ายคงจะให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะต้องการที่จะอภิปรายอยู่แล้ว
** ปิดทางส.ว.อภิปราย 23-24 พ.ย.
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.แสดงความไม่พอใจ ที่ได้การจัดสรรเวลาการอภิปรายทั่วไปรัฐบาล โดยไม่ลงมติ เพียงแค่ช่วงครึ่งวัน ของวันที่ 28 พ.ย.ว่า ขณะนี้กำลังประสานทำความเข้าใจกับ นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานส.ว.อยู่ ซึ่งส.ว.ส่วนใหญ่เข้าใจว่า รัฐบาลมีภารกิจมาก เมื่อฝ่ายค้านอยากได้เวลาอภิปรายมากๆ ก็ไปกินเวลาของส.ว. ขอให้เข้าใจรัฐบาลด้วย เพราะขณะนี้ภารกิจของรัฐบาลแน่นไปหมด ทำให้บางฝ่ายอาจน้อยใจ ที่ไม่ให้ความสำคัญ
ส่วนที่ ส.ว.ประสานขออภิปรายทั่วไปในวันที่ 23-24 พ.ย. คงเป็นไปได้ยาก เพราะช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลติดภารกิจ อีกทั้งในวันที่ 24 พ.ย. จะมีการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งอยู่ใกล้กับรัฐสภา ก็ไม่ทราบว่า เหตุใดต้องเจาะจงอยากอภิปรายทั่วไปในวันนั้น ดูแนวโน้มแล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นช่วงครึ่งวันหลังของวันที่ 28 พ.ย. มากที่สุด
นายอุดมเดช กล่าวด้วยว่า ล่าสุด นายนิคม ได้หารือมายังตนว่า หากฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 27 พ.ย. เสร็จสิ้นลง ในเวลา 24.00 น. แล้ว อยากให้มีการโหวตลงมติทันที เพื่อให้ส.ว. ใช้เวลาตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ย. อภิปรายทั่วไปรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ ซึ่งตามข้อกฎหมาย สามารถทำได้ แต่ต้องพิจารณาดูความเหมาะสมก่อน เพราะอาจถูกตำหนิได้ คงต้องไปหารือกับประธานรัฐสภา และฝ่ายรัฐบาลก่อน เพราะเราก็อยากจะประนีประนอมกับทั้งสองฝ่าย
** ส.ส.หญิงเตรียมปกป้องนายกฯปู
เมื่อเช้าวานนี้ (15พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ประมาณ 10 คน นำโดย นางอรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเด็กสตรีเยาวชนผู้สูงอายุ และผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์ ส.ส.เลย นางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น เป็นต้น เดินทางมามอบดอกไม้แสดงความยินดีกับ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบเข็มกลัด “ริบบิ้นสีขาว” เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ในฐานะที่น.ส.ศันสนีย์ รับผิดชอบดูแลกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี
จากนั้นนางอรุณี ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ทางส.ส.หญิงของพรรค ได้พูดคุยกันเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา และได้ข้อสรุปว่า เรามีแนวทางชัดเจนว่า จะไม่มีการปกป้อง นายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรียินดีให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายอย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะตอบคำถามอยู่แล้ว ซึ่งหลักการทำงานในสภาฯ หากฝ่ายค้านทำผิดกรอบกติกา ข้อบังคับของสภาฯ โดยนำเรื่องส่วนตัวมาพูด หรือเสียดสี ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับการอภิปราย เราก็พร้อมลุกขึ้นประท้วง และทำหน้าที่ในฐานะส.ส.หญิง
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่านายกรัฐมนตรี จะไม่ถูกกลั่นแกล้งในสภาฯ นางเปล่งมณี กล่าวว่า ต้องดูเหตุการณ์ แต่ข้อมูลทุกอย่างเป็นข้อมูลที่เปิดเผย และเราก็รู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้ว หากมีการกลั่นแกล้ง เราก็ต้องลุกขึ้นตอบโต้ แต่ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี เพราะทุกคนทำตามหน้าที่ และข้อบังคับการประชุมสภาฯ มีอยู่แล้ว หากใครทำผิด ก็ต้องลุกขึ้นประท้วง
ขณะที่ นางมุกดา กล่าวว่า พวกเรามั่นใจในความรู้ความสามารถ และการทำงานของนายกรัฐมนตรีว่ามีพร้อม และทำงานด้วยตัวเอง สามารถตอบข้อซักถามของฝ่ายค้านได้ และมั่นใจว่าสังคมยอมรับในตัวนายกรัฐมนตรี
ด้านนางเปล่งมณี กล่าวว่า ส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่มีบางฝ่ายออกมาพูดให้แช่แข็งประเทศเป็นเวลา 5 ปี นั้น ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะจากที่ได้เดินทางไปดูงานหลายประเทศในฐานะ ส.ส. ทูตทุกประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกภูมิใจที่ ส.ส.ทุกคนมาจากประชาธิปไตย และการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้เขาทำงานร่วมได้เต็มที่ และให้เกียรติประเทศไทย ซึ่งผิดกับสมัยที่ผ่านมา ที่เขารู้สึกอับอาย และต้องร่วมกิจกรรมแบบหลบๆ ซ่อน ๆ สิ่งนี้เป็นเสียงที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเดินมาถูกต้องแล้ว จึงอยากให้ใช้เวทีสภาฯ สอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ มากกว่าการมากดดันนอกสภาฯ ที่จะก่อให้เกิดแนวโน้มทำความรุนแรงจนทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไป เอาทหารมาควบคุมประเทศถึง 5 ปี เพราะแค่ 2 ปี 8 เดือน เรายังล้าหลังไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
ด้านน.ส.ศันสนีย์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มาตามครรลองที่ถูกต้อง และนายกรัฐมนตรี ก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ เราเชื่อว่าท่านนำพาประเทศให้เป็นไปตามกรอบกติกา และภายใต้กฎหมาย การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบในกติกา จึงอยากให้ประชาชนใช้เวลาฟังการอภิปรายในรัฐสภา เพราะเป็นการช่วยสร้างเครดิตให้ประเทศว่า เรายึดมั่นในหลักการ ตนยืนยันว่านายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกคนที่ถูกอภิปราย มีคำตอบสำหรับประชาชนอย่างแน่นอน
**"มาร์ค"ยัน"บิ๊กโอ๋"ถอดยศไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีมอบหมายให้นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้พิจารณาเรื่องที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ออกคำสั่งถอดยศร้อยตรีของตัวเอง ว่า เรื่องนี้เป็นการดำเนินการทางอาญากับ พล.อ.อ.สุกำพล ที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ ไม่ได้ดำเนินการตามวินัยทหาร กระทำความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 157 ซึ่งเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็เคยวินิจฉัยกรณีของ พล.อ.นิพนธ์ ธีระพงษ์ อดีตเจ้ากรมทหารสื่อสาร กองทัพบก ที่ป.ป.ช.ชี้มูลเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ มาตรา 157 ว่า กระทรวงกลาโหม ไม่สามารถถอดยศ หรือปลดออกจากราชการได้ หากพ้นจากราชการไปแล้ว ซึ่งถือเป็นการวินิจฉัยที่ชัดเจนเลยว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะถอดยศไม่ได้ และไม่ทราบว่า ป.ป.ช. จะใช้เรื่องนี้เป็นบรรทัดฐานหรือไม่ แต่สิ่งที่ พล.อ.อ.สุกำพล ทำนั้น เป็นการกระทำผิดทางอาญา
อย่างไรก็ตาม คำร้องต่อป.ป.ช.นั้นเป็นการยื่นร้องทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล และคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งของกระทรวงกลาโหม
** ท้า"มาร์ค"ชี้แจงในสภา
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์ ฟ้องร้อง ก็ต้องสู้กัน ส่วนเงื่อนไขที่นายอภิสิทธิ์ ใช้เป็นข้ออ้างในการฟ้องร้อง ทำได้หรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องเร็วเกินไปที่จะตอบ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ตนมั่นใจว่าการดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้กระทำผิดตาม มาตรา 157 ตามที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา ถ้าเขาฟ้องก็ให้ฟ้องไป แล้วมาสู้กัน ไม่มีปัญหา ขอยืนยันว่า ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า กระทรวงกลาโหม กำลังดำเนินการสอบสวน นายกรณ์ จาติกวณิช และ นายศิริโชค โสภา เรื่องการหนีทหาร พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมไม่เคยมีความคิดเรื่องนี้ และตนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องนี้ไม่ได้ออกมาจากกระทรวงกลาโหม และตนไม่เคยตรวจสอบทั้งสองบุคคล เพราะเราจะตรวจสอบเฉพาะคนที่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น เช่น กรณีนายอภิสิทธิ์ ส่วนนายกรณ์ กับนายศิริโชค ไม่ได้ตรวจสอบ และไม่คิดจะสอบ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกุข่าว
ทั้งนี้ตนไม่รู้สึกหนักใจทุกรูปแบบ ไม่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือจะฟ้อง ป.ป.ช. ตนดำเนินการมาอย่างนี้แล้วจะหนักใจได้อย่างไร แต่ขอร้องว่า อย่าพูดโกหกกันมาก ไปอ้างโน่น อ้างนี่ ว่า ทางกฤษฎีกาไม่ให้ลงโทษแล้ว ถ้าไปอ่านให้ดี เป็นคนละเรื่อง พูดไม่ตรงประเด็น ซึ่งตนไม่กลัว และพิสูจน์ได้ว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ผ่านการเกณฑ์ทหารจริง รวมทั้งการใช้เอกสารเท็จ ในการเป็นทหาร ถ้าแน่ใจต้องมาถามกันที่สภาฯ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ต้องรออกทีวี ขอให้ออกสภาฯ เลยดีกว่า โดยมาชี้แจงกันตามหลักฐาน นายอภิสิทธิ์กล้านำเอกสารมายื่นหรือไม่ เพราะหลักฐานไม่มีความจริง
"วันนี้เรื่องต่างๆ ค่อนข้างชุกเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวน การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การยื่นถอดถอน นายอภิสิทธิ์ อยากให้เกิดแล้วจบกันตรงนี้ไปเลย ผมขอย้ำว่าไมได้แกล้ง อยากให้คนกลางช่วยดูว่า ผมกลั่นแกล้งหรือไม่ ผมเตรียมข้อมูลต่างๆ ที่คิดว่า น่าจะถูกอภิปราย ตั้งแต่เรื่องการถอดถอนนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ฝ่ายค้านถาม จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร ผมมีสิทธิ์ออกคำสั่งหรือไม่ ผมไม่อยากตอบเรื่องนี้แล้ว อยากเก็บไว้ตอบในสภาฯ ทีเดียว การที่ผมลงนามคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา การลงนามก่อนหรือหลังยื่นอภิปราย มีค่าเท่ากัน คิดว่าการลงนามก่อนที่จะยื่นอภิปรายฯ ดีกว่าเสียอีก แต่คิดว่า ไม่ใช่ประเด็นหลัก ว่าจะยื่นก่อนหรือหลัง แต่ขอให้ไปดูที่สาเหตุแรกว่า คืออะไร นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร และใช้เอกสารเท็จจริง หรือไม่ อยากให้พูดถึงประเด็นหลัก อย่าพูดถึงประเด็นรอง หาว่าแกล้งอย่างโน้น อย่างนี้ หรือมีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะความจริง ก็คือความจริง วันอภิปรายจะได้เห็นกัน ขอให้ถามมา เรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกผู้ชาย คนที่สอนทหารให้เป็นทหาร แต่ใช้เอกสารเท็จในการเป็นทหาร ถ้าผมเป็นนักเรียนจปร.อยู่ตรงนั้น ผมก็ไม่พอใจ ส่วนสัสดีที่เคยช่วยกันไว้ ก็ไปกล่าวหาว่า ออกเอกสารเท็จให้ ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าเป็นอย่างไร" พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว
** พร้อมขอขมาถ้ามาร์คไม่ผิด
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า พล.อ.นิพนธ์ ธีระพงษ์ อดีตเจ้ากรมสื่อสารทหารบก ที่เคยถูกดำเนินการให้ถอดยศ แต่คณะกรรมการกฎีกา ระบุว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะ พล.อ.นิพนธ์ เกษียณอายุราชการไปแล้ว พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนสามารถดำเนินการได้ เพราะขณะนี้นายอภิสิทธิ์ อายุ 46 ปี เป็นทหารนอกประจำการ ต้องไปดูคำจำกัดความให้ดี ว่าทหารมีกี่ชนิด และตนยังสามารถควบคุมได้หรือไม่
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารปี 2476 ธรรมเนียมทหารต้องดูให้ดีว่า ดำเนินการอย่างไร ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า หลังตรวจสอบแล้วให้ยุติการดำเนินการเรื่องนี้ เพราะหน้าที่ต่อไปเป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งก็ถูกต้อง แต่เป็นการยุติเรื่องที่มีผู้ร้องเรียนตนว่า ตนไม่ทำเรื่องนี้ ส่วนกระทรวงกลาโหมจะดำเนินการอะไรต่อ ก็เป็นสิทธิของกระทรวงกลาโหม และสามารถดำเนินการได้เลย และรายงานให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทราบ โดยไม่ได้บอกให้หยุดดำเนินการ
ส่วนที่นำกรณีดังกล่าวไปเทียบเคียงกับกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไม่ถูกต้อง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามารับราชการตำรวจอย่างถูกต้อง แต่ในส่วนของนายอภิสิทธิ์ ยศที่ได้ไป คือ ทรัพย์สินของกระทรวงกลาโหม ถือเป็นสิ่งมีค่าของกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้ไปไม่ถูกต้อง จึงต้องดำเนินการปลด และทวงเอายศคืนมา ถ้าทำถูกต้องตนจะไม่ทวง เรื่องนี้หากตนทำไม่ถูกตนพร้อมขอโทษ และขอขมา ส่วนกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมานั้น ตนจะดำเนินการตอบไปว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ส่วนที่เรื่องยืดยาว ไม่จบสักที เพราะมีคนไม่จริงจังทำเรื่องนี้สักที จึงไม่จบ เพราะมีการช่วยเหลือกัน แต่วันนี้ตนจริงจังในเรื่องนี้
นายสมศักดิ์ เกียตริสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในวันที่ 25-26 พ.ย. ว่า ช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ที่จะเริ่งในวันที่ 24 พ.ย. จึงได้มอบหมายให้ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 รับผิดชอบดูแลความเรียบร้อยในสภาฯ จะไม่ประมาท ทั้งนี้หากการชุมนุมอยู่ในกรอบ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ส่วนเรื่องเวลาการอภิปรายของวุฒิสภานั้น ได้มอบหมายให้วิปทั้ง 3 ฝ่ายไปหารือร่วมกัน หากได้ข้อสรุปก็จะประสานไปยังรัฐบาล ไม่น่าจะขัดข้องอะไร ส่วนกรณีที่วุฒิสภาได้วันอภิปรายฯ เป็นวันที่ 28 พ.ย. ซึ่งเป็นวันปิดสมัยประชุม อาจจะมีเวลาไม่เพียงพอนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากวุฒิสภาต้องการเวลาอภิปรายมากขึ้น ตนคิดว่าก็สามารถอภิปรายได้ ในวันที่ 23-24 พ.ย. ก็ไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งเชื่อว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่เกิดความวุ่นวายในห้องประชุม เพราะทุกฝ่ายคงจะให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะต้องการที่จะอภิปรายอยู่แล้ว
** ปิดทางส.ว.อภิปราย 23-24 พ.ย.
นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณีที่ ส.ว.แสดงความไม่พอใจ ที่ได้การจัดสรรเวลาการอภิปรายทั่วไปรัฐบาล โดยไม่ลงมติ เพียงแค่ช่วงครึ่งวัน ของวันที่ 28 พ.ย.ว่า ขณะนี้กำลังประสานทำความเข้าใจกับ นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานส.ว.อยู่ ซึ่งส.ว.ส่วนใหญ่เข้าใจว่า รัฐบาลมีภารกิจมาก เมื่อฝ่ายค้านอยากได้เวลาอภิปรายมากๆ ก็ไปกินเวลาของส.ว. ขอให้เข้าใจรัฐบาลด้วย เพราะขณะนี้ภารกิจของรัฐบาลแน่นไปหมด ทำให้บางฝ่ายอาจน้อยใจ ที่ไม่ให้ความสำคัญ
ส่วนที่ ส.ว.ประสานขออภิปรายทั่วไปในวันที่ 23-24 พ.ย. คงเป็นไปได้ยาก เพราะช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลติดภารกิจ อีกทั้งในวันที่ 24 พ.ย. จะมีการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งอยู่ใกล้กับรัฐสภา ก็ไม่ทราบว่า เหตุใดต้องเจาะจงอยากอภิปรายทั่วไปในวันนั้น ดูแนวโน้มแล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมน่าจะเป็นช่วงครึ่งวันหลังของวันที่ 28 พ.ย. มากที่สุด
นายอุดมเดช กล่าวด้วยว่า ล่าสุด นายนิคม ได้หารือมายังตนว่า หากฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 27 พ.ย. เสร็จสิ้นลง ในเวลา 24.00 น. แล้ว อยากให้มีการโหวตลงมติทันที เพื่อให้ส.ว. ใช้เวลาตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ย. อภิปรายทั่วไปรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ ซึ่งตามข้อกฎหมาย สามารถทำได้ แต่ต้องพิจารณาดูความเหมาะสมก่อน เพราะอาจถูกตำหนิได้ คงต้องไปหารือกับประธานรัฐสภา และฝ่ายรัฐบาลก่อน เพราะเราก็อยากจะประนีประนอมกับทั้งสองฝ่าย
** ส.ส.หญิงเตรียมปกป้องนายกฯปู
เมื่อเช้าวานนี้ (15พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ประมาณ 10 คน นำโดย นางอรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเด็กสตรีเยาวชนผู้สูงอายุ และผู้พิการ สภาผู้แทนราษฎร นางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์ ส.ส.เลย นางมุกดา พงษ์สมบัติ ส.ส.ขอนแก่น เป็นต้น เดินทางมามอบดอกไม้แสดงความยินดีกับ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมมอบเข็มกลัด “ริบบิ้นสีขาว” เพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ในฐานะที่น.ส.ศันสนีย์ รับผิดชอบดูแลกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี
จากนั้นนางอรุณี ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ทางส.ส.หญิงของพรรค ได้พูดคุยกันเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา และได้ข้อสรุปว่า เรามีแนวทางชัดเจนว่า จะไม่มีการปกป้อง นายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรียินดีให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายอย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะตอบคำถามอยู่แล้ว ซึ่งหลักการทำงานในสภาฯ หากฝ่ายค้านทำผิดกรอบกติกา ข้อบังคับของสภาฯ โดยนำเรื่องส่วนตัวมาพูด หรือเสียดสี ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับการอภิปราย เราก็พร้อมลุกขึ้นประท้วง และทำหน้าที่ในฐานะส.ส.หญิง
เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่านายกรัฐมนตรี จะไม่ถูกกลั่นแกล้งในสภาฯ นางเปล่งมณี กล่าวว่า ต้องดูเหตุการณ์ แต่ข้อมูลทุกอย่างเป็นข้อมูลที่เปิดเผย และเราก็รู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้ว หากมีการกลั่นแกล้ง เราก็ต้องลุกขึ้นตอบโต้ แต่ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี เพราะทุกคนทำตามหน้าที่ และข้อบังคับการประชุมสภาฯ มีอยู่แล้ว หากใครทำผิด ก็ต้องลุกขึ้นประท้วง
ขณะที่ นางมุกดา กล่าวว่า พวกเรามั่นใจในความรู้ความสามารถ และการทำงานของนายกรัฐมนตรีว่ามีพร้อม และทำงานด้วยตัวเอง สามารถตอบข้อซักถามของฝ่ายค้านได้ และมั่นใจว่าสังคมยอมรับในตัวนายกรัฐมนตรี
ด้านนางเปล่งมณี กล่าวว่า ส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่มีบางฝ่ายออกมาพูดให้แช่แข็งประเทศเป็นเวลา 5 ปี นั้น ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะจากที่ได้เดินทางไปดูงานหลายประเทศในฐานะ ส.ส. ทูตทุกประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกภูมิใจที่ ส.ส.ทุกคนมาจากประชาธิปไตย และการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้เขาทำงานร่วมได้เต็มที่ และให้เกียรติประเทศไทย ซึ่งผิดกับสมัยที่ผ่านมา ที่เขารู้สึกอับอาย และต้องร่วมกิจกรรมแบบหลบๆ ซ่อน ๆ สิ่งนี้เป็นเสียงที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเดินมาถูกต้องแล้ว จึงอยากให้ใช้เวทีสภาฯ สอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ มากกว่าการมากดดันนอกสภาฯ ที่จะก่อให้เกิดแนวโน้มทำความรุนแรงจนทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไป เอาทหารมาควบคุมประเทศถึง 5 ปี เพราะแค่ 2 ปี 8 เดือน เรายังล้าหลังไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว
ด้านน.ส.ศันสนีย์ กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มาตามครรลองที่ถูกต้อง และนายกรัฐมนตรี ก็ตั้งใจทำงานเต็มที่ เราเชื่อว่าท่านนำพาประเทศให้เป็นไปตามกรอบกติกา และภายใต้กฎหมาย การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะมีขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบในกติกา จึงอยากให้ประชาชนใช้เวลาฟังการอภิปรายในรัฐสภา เพราะเป็นการช่วยสร้างเครดิตให้ประเทศว่า เรายึดมั่นในหลักการ ตนยืนยันว่านายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกคนที่ถูกอภิปราย มีคำตอบสำหรับประชาชนอย่างแน่นอน
**"มาร์ค"ยัน"บิ๊กโอ๋"ถอดยศไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีมอบหมายให้นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความ ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้พิจารณาเรื่องที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ออกคำสั่งถอดยศร้อยตรีของตัวเอง ว่า เรื่องนี้เป็นการดำเนินการทางอาญากับ พล.อ.อ.สุกำพล ที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยไว้ ไม่ได้ดำเนินการตามวินัยทหาร กระทำความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 157 ซึ่งเรื่องดังกล่าวคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็เคยวินิจฉัยกรณีของ พล.อ.นิพนธ์ ธีระพงษ์ อดีตเจ้ากรมทหารสื่อสาร กองทัพบก ที่ป.ป.ช.ชี้มูลเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ มาตรา 157 ว่า กระทรวงกลาโหม ไม่สามารถถอดยศ หรือปลดออกจากราชการได้ หากพ้นจากราชการไปแล้ว ซึ่งถือเป็นการวินิจฉัยที่ชัดเจนเลยว่า พล.อ.อ.สุกำพล จะถอดยศไม่ได้ และไม่ทราบว่า ป.ป.ช. จะใช้เรื่องนี้เป็นบรรทัดฐานหรือไม่ แต่สิ่งที่ พล.อ.อ.สุกำพล ทำนั้น เป็นการกระทำผิดทางอาญา
อย่างไรก็ตาม คำร้องต่อป.ป.ช.นั้นเป็นการยื่นร้องทั้ง พล.อ.อ.สุกำพล และคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตามคำสั่งของกระทรวงกลาโหม
** ท้า"มาร์ค"ชี้แจงในสภา
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์ ฟ้องร้อง ก็ต้องสู้กัน ส่วนเงื่อนไขที่นายอภิสิทธิ์ ใช้เป็นข้ออ้างในการฟ้องร้อง ทำได้หรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องเร็วเกินไปที่จะตอบ เพราะยังไม่ทราบรายละเอียด แต่ตนมั่นใจว่าการดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้กระทำผิดตาม มาตรา 157 ตามที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา ถ้าเขาฟ้องก็ให้ฟ้องไป แล้วมาสู้กัน ไม่มีปัญหา ขอยืนยันว่า ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่า กระทรวงกลาโหม กำลังดำเนินการสอบสวน นายกรณ์ จาติกวณิช และ นายศิริโชค โสภา เรื่องการหนีทหาร พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมไม่เคยมีความคิดเรื่องนี้ และตนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ เรื่องนี้ไม่ได้ออกมาจากกระทรวงกลาโหม และตนไม่เคยตรวจสอบทั้งสองบุคคล เพราะเราจะตรวจสอบเฉพาะคนที่มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น เช่น กรณีนายอภิสิทธิ์ ส่วนนายกรณ์ กับนายศิริโชค ไม่ได้ตรวจสอบ และไม่คิดจะสอบ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกุข่าว
ทั้งนี้ตนไม่รู้สึกหนักใจทุกรูปแบบ ไม่ว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือจะฟ้อง ป.ป.ช. ตนดำเนินการมาอย่างนี้แล้วจะหนักใจได้อย่างไร แต่ขอร้องว่า อย่าพูดโกหกกันมาก ไปอ้างโน่น อ้างนี่ ว่า ทางกฤษฎีกาไม่ให้ลงโทษแล้ว ถ้าไปอ่านให้ดี เป็นคนละเรื่อง พูดไม่ตรงประเด็น ซึ่งตนไม่กลัว และพิสูจน์ได้ว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ผ่านการเกณฑ์ทหารจริง รวมทั้งการใช้เอกสารเท็จ ในการเป็นทหาร ถ้าแน่ใจต้องมาถามกันที่สภาฯ จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ต้องรออกทีวี ขอให้ออกสภาฯ เลยดีกว่า โดยมาชี้แจงกันตามหลักฐาน นายอภิสิทธิ์กล้านำเอกสารมายื่นหรือไม่ เพราะหลักฐานไม่มีความจริง
"วันนี้เรื่องต่างๆ ค่อนข้างชุกเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวน การอภิปรายไม่ไว้วางใจ การยื่นถอดถอน นายอภิสิทธิ์ อยากให้เกิดแล้วจบกันตรงนี้ไปเลย ผมขอย้ำว่าไมได้แกล้ง อยากให้คนกลางช่วยดูว่า ผมกลั่นแกล้งหรือไม่ ผมเตรียมข้อมูลต่างๆ ที่คิดว่า น่าจะถูกอภิปราย ตั้งแต่เรื่องการถอดถอนนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเรื่องนี้อยากให้ฝ่ายค้านถาม จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร ผมมีสิทธิ์ออกคำสั่งหรือไม่ ผมไม่อยากตอบเรื่องนี้แล้ว อยากเก็บไว้ตอบในสภาฯ ทีเดียว การที่ผมลงนามคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา การลงนามก่อนหรือหลังยื่นอภิปราย มีค่าเท่ากัน คิดว่าการลงนามก่อนที่จะยื่นอภิปรายฯ ดีกว่าเสียอีก แต่คิดว่า ไม่ใช่ประเด็นหลัก ว่าจะยื่นก่อนหรือหลัง แต่ขอให้ไปดูที่สาเหตุแรกว่า คืออะไร นายอภิสิทธิ์ หนีทหาร และใช้เอกสารเท็จจริง หรือไม่ อยากให้พูดถึงประเด็นหลัก อย่าพูดถึงประเด็นรอง หาว่าแกล้งอย่างโน้น อย่างนี้ หรือมีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะความจริง ก็คือความจริง วันอภิปรายจะได้เห็นกัน ขอให้ถามมา เรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกผู้ชาย คนที่สอนทหารให้เป็นทหาร แต่ใช้เอกสารเท็จในการเป็นทหาร ถ้าผมเป็นนักเรียนจปร.อยู่ตรงนั้น ผมก็ไม่พอใจ ส่วนสัสดีที่เคยช่วยกันไว้ ก็ไปกล่าวหาว่า ออกเอกสารเท็จให้ ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าเป็นอย่างไร" พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว
** พร้อมขอขมาถ้ามาร์คไม่ผิด
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า พล.อ.นิพนธ์ ธีระพงษ์ อดีตเจ้ากรมสื่อสารทหารบก ที่เคยถูกดำเนินการให้ถอดยศ แต่คณะกรรมการกฎีกา ระบุว่า ไม่สามารถทำได้ เพราะ พล.อ.นิพนธ์ เกษียณอายุราชการไปแล้ว พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนสามารถดำเนินการได้ เพราะขณะนี้นายอภิสิทธิ์ อายุ 46 ปี เป็นทหารนอกประจำการ ต้องไปดูคำจำกัดความให้ดี ว่าทหารมีกี่ชนิด และตนยังสามารถควบคุมได้หรือไม่
พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ตนดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหารปี 2476 ธรรมเนียมทหารต้องดูให้ดีว่า ดำเนินการอย่างไร ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ระบุว่า หลังตรวจสอบแล้วให้ยุติการดำเนินการเรื่องนี้ เพราะหน้าที่ต่อไปเป็นหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งก็ถูกต้อง แต่เป็นการยุติเรื่องที่มีผู้ร้องเรียนตนว่า ตนไม่ทำเรื่องนี้ ส่วนกระทรวงกลาโหมจะดำเนินการอะไรต่อ ก็เป็นสิทธิของกระทรวงกลาโหม และสามารถดำเนินการได้เลย และรายงานให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทราบ โดยไม่ได้บอกให้หยุดดำเนินการ
ส่วนที่นำกรณีดังกล่าวไปเทียบเคียงกับกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไม่ถูกต้อง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามารับราชการตำรวจอย่างถูกต้อง แต่ในส่วนของนายอภิสิทธิ์ ยศที่ได้ไป คือ ทรัพย์สินของกระทรวงกลาโหม ถือเป็นสิ่งมีค่าของกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้ไปไม่ถูกต้อง จึงต้องดำเนินการปลด และทวงเอายศคืนมา ถ้าทำถูกต้องตนจะไม่ทวง เรื่องนี้หากตนทำไม่ถูกตนพร้อมขอโทษ และขอขมา ส่วนกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมานั้น ตนจะดำเนินการตอบไปว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ส่วนที่เรื่องยืดยาว ไม่จบสักที เพราะมีคนไม่จริงจังทำเรื่องนี้สักที จึงไม่จบ เพราะมีการช่วยเหลือกัน แต่วันนี้ตนจริงจังในเรื่องนี้