ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-รัฐบาลคงเบาใจลงได้ในระดับหนึ่ง หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับฟ้องคดีที่อาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ฟ้องให้สั่งรัฐบาลยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ยังคงเดินหน้าอภิมหาโปรเจ็กต์โครงการจำนำข้าวแสนล้านต่อไปได้ แม้จะถูกต่อต้าน ถูกค้าน ถูกกล่าวหาว่าเกิดการทุจริตโกงกิน ทั้งจากนักวิชาการ ฝ่ายค้าน หรือกระทั่งคนกันเองอย่างดร.โกร่ง วีระพงษ์ รามางกูร ก็ฉุดไม่อยู่
รัฐบาลสั่งลุย ขอไปตายเอาดาบหน้า เพราะเรื่องนี้ นายใหญ่ ได้ออกมาส่งซิกแล้ว ให้เดินหน้าต่อ หยุดไม่ได้ ถือว่าจบเรื่องจำนำข้าวร้อนๆ ไปได้
แต่ทว่าเผือกร้อนที่กลายเป็นหอกทิ่มแทงรัฐบาลในขณะนี้ กระแสได้พลิกกลับไปที่การโกหกสีขาว เรื่องการขายข้าวจีทูจี หรือการขายข้าวในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล ที่วันนี้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ขายให้ประเทศไหน ปริมาณเท่าใด มีออเดอร์จริงหรือไม่ หรือแค่ออเดอร์ลม จนทำให้ทั้งยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ออกอาการหลุด “จีทูจี” สุดมั่ว ให้ข้อมูลคนละทิศละทาง
ยิ่งลักษณ์ บอกได้เห็นเอ็มโอยูข้าวจีทูจีแล้ว แต่บุญทรงบอกว่า เป็นสัญญาซื้อขาย แล้วจะเชื่อใครดี ?
ทั้งนี้ หากข้าวจีทูจี เป็นเพียงแค่เอ็มโอยูอย่างที่ยิ่งลักษณ์ว่าไว้ ก็แสดงว่า ไม่มีการซื้อขายจริง เพราะที่ผ่านมา ไทยได้ทำเอ็มโอยูในการจะซื้อจะขายข้าวกับหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ประเทศละเป็นล้านตัน แต่ในทางปฏิบัติจนวันนี้ ก็ไม่เคยมีการซื้อขายจริงเกิดขึ้น หรือหากเป็นสัญญาซื้อขายอย่างที่บุญทรงว่า แล้วอะไร คือ สัญญาซื้อขายที่ว่านั่น เพราะจนวันนี้ ก็ยังไม่มีใครเคยได้เห็น
ย้อนความให้เห็นที่มาที่ไปของการขายข้าวจีทูจี ปกติการขายข้าวจีทูจี ประเทศผู้ซื้อจะเสนอคำขอซื้อข้าวมายังรัฐบาลไทย ซึ่งอาจจะส่งตรงถึงรัฐบาล หรือส่งถึงกระทรวงพาณิชย์ หรืออีกกรณีหนึ่ง เป็นการเจรจาซื้อขายระหว่างผู้นำรัฐบาล หรือรัฐมนตรี แล้วแต่จะตกลงกัน จากนั้นก็ส่งไม้ต่อให้ข้าราชการไปเจรจาในเงื่อนไขต่างๆ ต่อ ทั้งราคา การส่งมอบ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากจีทูจีในยุคที่บุญทรงนั่งกำกับกระทรวงพาณิชย์ หาเป็นไปตามเงื่อนไขการซื้อขายจีทูจีที่ว่าไม่
คำถามตอนนี้ การเจรจาขายข้าวจีทูจี ประเทศไหนขอซื้อ หรือใครไปเจรจาซื้อขาย รัฐบาลไปเจรจาเองหรือไม่ หรือส่งใครไปเจรจา รัฐทำเองหรือใช้พ่อค้าไปเจรจา
ที่น่าสงสัยไปกว่านั้น และเป็นสิ่งที่คนในวงการค้าข้าวต่างก็ตั้งข้อสงสัย การขายข้าวจีทูจีมีการขายจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การอุปโลกน์ขึ้นมา แล้วใช้วิธีการแอบอ้างชื่อจีทูจี มั่วนิ่มสวมสิทธิ์จีทูจี เพื่อหาประโยชน์จากคำว่าจีทูจี เพราะจีทูจี มันปิดง่าย แค่อ้างว่าเป็นความลับของประเทศผู้ซื้อ ประเทศผู้ซื้อไม่อยากให้เปิดเผย ก็ถูๆ ไถๆ ปกปิดกันไปได้
เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจกันจริง กระทรวงพาณิชย์น่าจะนำใบเสร็จมาโชว์ได้ แต่จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่กล้านำมาโชว์
ที่ผ่านมา ปกติการขายข้าวจีทูจี จะมีการขายทั้งในรูปแบบเอฟโอบีและซีไอเอฟ โดยเมื่อรัฐได้รับคำสั่งซื้อมาแล้ว ก็จะนำคำสั่งซื้อนั้นๆ มาเปิดประมูลเพื่อหาผู้ปรับปรุงคุณภาพข้าวเพื่อนำไปส่งมอบ ซึ่งการส่งข้าวจะส่งถึงท่าเรือ หรือต้องจัดหาเรือด้วย ก็แล้วแต่ว่าจะตกลงซื้อแบบไหน แบบเอฟโอบีหรือซีไอเอฟ ก็แล้วแต่จะตกลงกัน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับการขายข้าวจีทูจีวันนี้ กระทรวงพาณิชย์บอกว่า เป็นการขายจีทูจีแบบหน้าคลัง คนซื้อต้องรับผิดชอบทั้งการหาผู้ปรับปรุงคุณภาพข้าว หากระสอบบรรจุข้าว หาเรือเอง ขนส่งไปท่าเรือเอง กระทรวงพาณิชย์ไม่รับรู้ เพราะถือว่าขายไปแล้ว
นั่นจึงเป็นที่มาของจีทูจีลวงโลก
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับจีทูจี มีข่าวลือว่า มีการอ้างชื่อจีทูจี แล้วเอาข้าวในสต๊อกรัฐบาลขายให้กับเอกชนบางราย ที่ปรากฏชื่อ ปรากฏนามตอนนี้ ก็คือบริษัท ส-เอ-เจ และที ที่เข้ามาทำหน้าที่ในการรับซื้อข้าวจากสต๊อกรัฐบาล โดยบริษัท ส ได้โควตาไปมากที่สุด เพราะถือเป็นมือเป็นไม้ให้กับรัฐบาล แต่รับคนเดียวไม่ไหว ก็เลยต้องดึงบริษัท เอ เจ และที เข้ามาร่วม
วิธีการทำกำไรจากกระบวนการสวมสิทธิ์จีทูจี เริ่มต้นจาก การอ้างว่ามีคำสั่งซื้อจีทูจี จากนั้นก็สั่งให้เจ้าหน้าที่นำข้าวในสต๊อกขายให้กับผู้ส่งออกที่ว่าข้างต้น โดยขายในราคาที่ถูกกว่าตลาดปกติ เช่น ราคาปกติตันละ 500 เหรียญ ก็อาจจะขายแค่ตันละ 400 เหรียญ แล้วมาบอกต่อสาธารณชนว่าเป็นการขายราคามิตรภาพโดยอ้างการขายจีทูจี แต่จริงๆ แล้ว ขายให้กับผู้ส่งออกที่รับเป็นมือเป็นไม้ให้นั่นเอง
ทั้งนี้ การแอบอ้างจีทูจี ก็อาจจะมีจริงบ้าง ปลอมบ้าง ซึ่งจีทูจีหลักแสนตันก็น่าจะมีจริง แต่หลักล้านตัน มีความเป็นไปได้น้อย แต่สามารถทำปลอมขึ้นมาได้ โดยใช้วิธีการร่วมกับรัฐวิสาหกิจของบางประเทศ มาทำทีเป็นซื้อข้าวในสต๊อก แต่จริงๆ แล้วคนที่มาซื้อข้าว ก็รู้กันกับบริษัทผู้ส่งออกที่ว่าข้างต้น ร่วมกันทำออเดอร์ซื้อปลอมๆ ขึ้นมา แค่นี้ก็นำมาอ้างว่าเป็นออเดอร์จีทูจีได้แล้ว
โดยทุกบริษัทที่ได้ข้าวไป จะต้องตัดกำไรที่จะได้ส่งคืนให้นักการเมือง ว่ากันว่า ไม่มากไม่น้อย แค่ตันละ 20-30 เหรียญสหรัฐ แค่นั้นเอง ส่วนที่เหลือบริษัทที่ได้ไป ก็จะไปหากำไรต่อ โดยมีวิธีการหากำไร ดังนี้
1.เอาไปเร่ขาย โดยขายให้กับผู้ส่งออกรายอื่นที่ต้องการข้าว
2.ขายให้กับโรงสี ที่ต้องการข้าว หลังจากเล่นแร่แปรสภาพข้าวในโกดังตัวเองไปหมดแล้ว หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ต้องซื้อข้าวมาใส่คืน มิฉะนั้น อาจจะเจอข้อหาทุจริตยักยอกข้าวได้
3.นำข้าวไปเร่ขายให้กับโรงสี ที่ต้องการข้าวนำกลับเข้าไปเวียนเทียนในโครงการรับจำนำ จนส่งผลให้รัฐบาลรับจำนำข้าวเท่าไร ก็รับไม่เต็ม
ได้กำไรกันถ้วนหน้า ตั้งแต่นักการเมือง ผู้ส่งออกที่เป็นมือไม้ ผู้ส่งออกที่มาซื้อข้าว และโรงสี
จากนั้น เมื่อปฏิบัติการบรรลุผล ผู้ส่งออกที่ซื้อข้าวไป ก็จะนำเงินที่ซื้อข้าวมาคืนให้กับกระทรวงพาณิชย์ แล้วกระทรวงพาณิชย์ก็อ้างต่อสาธารณชนได้ว่า มีการขายข้าวจริง ได้เงินจริง ออกขายใหญ่โตจนถึงสิ้นปีนี้จะมีเงินเข้ามา 8.5 หมื่นล้านบาท และจนวันนี้ได้ส่งเงินคืนหลวงไปแล้ว 4 หมื่นกว่าล้านบาท โดยจนถึงสิ้นปี 2556 จะได้เงินคืนรวม 2.6 แสนล้านบาท แต่ก็ไม่รู้ว่า เมื่อถึงสิ้นปี 2556 จะมีเงินคืนตามที่ระบุไว้จริงหรือไม่ ยังไงๆ ก็จดๆ จำๆ ตัวเลขนี้ไว้ให้ดี ถึงเวลาจะได้เอามายันได้ถูก
ทางด้านความเคลื่อนไหวของนายบุญทรง หลังจากที่ทำตัวนิ่งเงียบอยู่เป็นนานสองนาน จนยิ่งลักษณ์ ฝ่ายค้าน นักวิชาการ และใครต่อใครออกมากระทุ้ง ก็ได้ฤกษ์ชี้แจงข้าวจีทูจี โดยระบุว่า มีการขายข้าวจีทูจีให้กับรัฐบาล 4 ประเทศ รวม 6 สัญญา ปริมาณรวม 7.3 ล้านตัน ได้แก่ รัฐบาลของประเทศจีน, อินโดนีเซีย, บังคลาเทศ และโกตดิวัวร์ ซึ่งบางสัญญาได้มีการส่งมอบข้าวไปแล้ว และจนถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะส่งมอบข้าวได้รวม 2 ล้านตัน และจะทยอยส่งมอบข้าวได้ครบทั้ง 7.3 ล้านตันภายในสิ้นปีหน้า
เป็นการชี้แจงข้าวจีทูจีแบบงงๆ กลบข่าวจีทูจีลวงโลกได้สำเร็จ จนคนลืมว่าไส้ในที่แท้เป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่น่าจะเรียก จีทูจี ยุคนี้ว่า เจี๊ยะทูเจ๊ง เพราะกินกันจนหลวงเจ๊ง!!!
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากคำชี้แจงเรื่องจีทูจีที่ภาครัฐกระทำราวกับว่า คนไทยทั้งประเทศไทย “บื้อ ใบ้ บอด หนวก” ไม่รู้ไม่เห็นอะไรแล้ว โครงการรับจำนำข้าวยังก่อให้เกิดความพินาศฉิบหายต่ออุตสาหกรรมข้าวของราชอาณาจักรไทยอย่างย่อยยับในประวัติศาสตร์การค้าข้าวเลยทีเดียว
โดยเฉพาะข้อมูลที่ตีแสกหน้าโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ผลประโยชน์มิได้ตกถึงชาวนาอย่างแท้จริง แถมยังต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลโดยไม่ได้อะไรคืนมา และทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบที่ประเทศไทยใช้เวลายาวนานนับสิบๆ ปีพัฒนาคุณภาพข้าวเพื่อให้ขายได้ในราคาสูง กลายเป็นการส่งเสริมการปลูกข้าวคุณภาพต่ำเพื่อเร่งเก็บเกี่ยวและนำมาจำนำกับรัฐบาล
“รัฐใช้จ่ายเงินในการรับจำนำข้าว 2 รอบรวม 335,576 ล้านบาท แต่ผลประโยชน์ตกถึงมือชาวนา 72,245 ล้านบาท ผลประโยชน์ดังกล่าวไปอยู่กับชาวนา 1 ล้านครัวเรือที่มีฐานะดีอยู่แล้วจากชาวนา 4 ล้านครัวเรือทั่วประเทศ นี่คือตัวชี้วัดของข้ออ้างที่ว่าโครงการรับจำนำข้าวเพื่อช่วยชาวนา ซึ่งไม่รู้ว่าต่างอะไรกับการนำเงินไปโปรยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์
“สมมติว่า มองโลกในแง่ดี รัฐบาลขายข้าวในสต๊อกได้หมดในปีเดียวโดยที่ราคาข้าวไม่ตก รัฐก็ต้องขาดทุนจากราคาขาย 112,521 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริงคือ เราขายข้าวในสต็อกไม่ได้หมด ต้องเก็บข้าวไว้ในโกดังเฉยๆ แล้วเสียค่าดอกเบี้ยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ปีละ 5,515 ล้านบาท แล้วข้าวที่เก็บไว้ก็เสื่อมราคาลงไปอีกปีละ 5,531 ล้านบาท หรือเสียเงินไปจากการสต๊อกข้าวปีละ 11,047 ล้านบาท นี่คือเงินที่ผู้เสียภาษีทุกคนต้องสูญเสียไป ไม่ได้อะไรคืนมา”
“หากรัฐบาลยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องผลที่เกิดขึ้นก็คือ การทำลายอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบที่ประเทศไทยใช้เวลายาวนานนับสิบๆ ปีพัฒนาข้าวคุณภาพขายได้ราคาสูง โดยชาวนาจะหันไปปลูกข้าวคุณภาพต่ำเพื่อเร่งเก็บเกี่ยวและรีบนำมาเข้าร่วมโครงการ ตลาดกลางค้าข้าวจะถูกทำลายไป เพราะรัฐบาลซื้อผลผลิตข้าวทั้งประเทศมารวมไว้ แล้วทำหน้าที่เป็นผู้ระบายสินค้าให้แก่เอกชน สิ่งที่ตามมาคือการค้าแบบระบบเส้นสาย เอกชนที่เหลืออยู่ในระบบก็เป็นพวกที่แข่งขันไม่ได้ เพราะใช้เส้นสายมาโดยตลอด ส่วนผู้ส่งออกที่เก่งแต่ไม่มีเส้นสาย ต้องไปตั้งสำนักงานส่งออกค้าข้าวในประเทศเพื่อนบ้านแทน”
นั่นคือข้อเท็จจริงที่ออกมาจาก “นิพนธ์ พัวพงศกร” นักวิชาการกิตติคุณจากทีดีอาร์ไอให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา
สอดคล้องกับ นายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ และนักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่ขียนบทความหัวข้อ “นักเศรษฐศาสตร์ทนไม่ไหวแล้ว กับความเลวร้ายเรื่องจำนำข้าว” เอาไว้ว่า...
“ในทรรศนะของผู้เขียนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นนโยบายสาธารณะที่เลวที่สุดที่ประเทศเคยผิดโดยเฉพาะจากรัฐบาลประชาธิปไตยที่ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก อาจเป็นอุทาหรณ์ก็ได้ว่าการแข่งขันทางการเมืองสามารถผลิตนโยบายเลวๆ ออกมาได้ เพียงเพื่อต้องการชัยชนะในการเลือกตั้ง สาเหตุที่นโยบายนี้เป็นนโยบายที่ใช้ไม่ได้มองจากเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ก็คือว่าถ้าเรามีเป้าหมาย หรือ End ในการช่วยเหลือชาวนาเพราะชาวนาเป็นกลุ่มคนที่ยากจน (สมมุติว่า สมมติฐานนี้ถูกต้องซึ่งจริงๆ อาจไม่จริง) และสังคมต้องการกระจายรายได้จากกลุ่มคนอื่นไปสู่พวกเขา เราอาจจะกล่าวได้ว่าวิธีการที่ใช้ในการบรรลุเป้าหมายนี้สามารถมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าโครงการที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ เกิดความสูญเปล่าไร้ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เนื่องจากโครงการมีการออกแบบที่ผิดในหลักการ แม้ให้สามารถมีการจัดการให้เกิดการทุจริตน้อยที่สุดหรือหมดไป โครงการรับจำนำข้าวก็เป็นนโยบายที่ไม่ดีหรือไม่ถูกต้องอยู่นั่นเอง
“โครงการนี้ถ้าผู้ร่างนโยบายของพรรคเพื่อไทยไม่โง่เขลาเบาปัญญา ก็คงต้องเป็นเพราะความบ้าบิ่นหรือเป็นเพราะแรงผลักดันของการแข่งขันทางการเมืองเพื่อเอาชนะเลือกตั้งให้ได้ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต ที่ผู้เขียนคิดว่าโง่เขลาและเบาปัญญานั้นเป็นเพราะว่า โครงการนี้ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จไม่ว่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่เรื่องใด เพราะผู้ออกแบบโครงการขาดความเข้าใจหรือเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาลจะสามารถเอาชนะกลไกตลาดข้าวซึ่งเกิดจากการทำงานของอุปสงค์อุปทานของข้าวในตลาดโลกทั้งการผลิตและการค้า ผู้ออกแบบโครงการเชื่ออย่างผิดๆ คิดแบบง่ายๆ ว่าถ้ารัฐบาลจะผูกขาดการซื้อข้าวทุกเม็ดที่ผลิตโดยชาวนา และเพื่อช่วยให้ชาวนามีรายได้สูงตั้งราคาให้สูงกว่าราคาตลาดไว้มากๆ เก็บข้าวไว้สักระยะเวลาหนึ่ง ทยอยขายเมื่อเห็นว่าได้ราคาที่เหมาะสม เช่น มีกำไรหรือขาดทุนไม่มาก อำนาจผูกขาดนี้ย่อมมีลักษณะเป็น win-win”
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ ผลพวงของโครงการรับจำนำข้าวจากรัฐบาลเลดี้กูกู้ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์อันเลวร้ายต่ออุตสาหกรรมข้าวไทย แต่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมข้าวของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและกัมพูชาอีก 2 ปรากฏการณ์
ปรากฏการณ์แรกคือ-การที่ข้าวหอมจากกัมพูชาสามารถขึ้นแท่นข้าวคุณภาพดีที่สุดในโลกประจำปีนี้ (World's Best Rice 2012) ในการประกวดที่บาหลี อินโดนีเซีย ระหว่างการประชุมข้าวโลก (World Rice Conference) ทั้งๆ ที่ประเทศนี้เพิ่งฟื้นฟูการปลูกข้าวและเพิ่งจะเริ่มส่งออกเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่ปริมาณเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวเบอร์ 1ของโลกตลอดมาจนกระทั่งปีที่แล้วและข้าวหอมมะลิ 105 ของไทย ยังเป็นข้าวหอมที่ขายได้ราคาแพงที่สุดในโลก
รวมทั้งส่งผลทำให้ตัวเลขการส่งออกข้าวของกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น โดย นายจอม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า เปิดเผยว่า จนถึงปลายเดือน กันยายน กัมพูชาส่งออกข้าวสารได้ทั้งหมด 123,000 ตัน กับข้าวเปลือกอีก 167,000 ตัน หรือคิดเป็นข้าวสารรวมกันประมาณ 180,000 ตัน เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2554
ขณะที่ปรากฏการณ์ที่สองคือ การที่ประเทศเวียดนามซึ่งครองอันดับสองในฐานะกลุ่มประเทศส่งออกข้าวมากที่สุดของโลกรองจากไทยมายาวนาน แต่ในปีนี้เวียดนามคาดการว่าจะสามารถส่งออกข้าวได้ราวๆ 7 ล้านตัน มากกว่าการประมาณการส่งออกข้าวของไทยที่ราวๆ 6 ล้าน 5 แสนตันเท่านั้น
เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งกับคำพูดของ Nguyen Van Don ผู้บริหาร บริษัท Viet Hung บริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ของเวียดนาม บอกว่า ในปีนี้ยอดการส่งออกข้าวของเวียดนามจนถึงขณะนี้มีมากกว่าประเทศไทย ซึ่งต้องขอบคุณนโยบายการรับประกันราคาข้าวของรัฐบาลไทยที่ส่งผลทำให้ยอดการส่งออกข้าวของไทยลดลง
เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งที่นักธุรกิจส่งออกข้าวชาวเวียดนาม บอกว่า เหตุผลก็คือนโยบายการรับประกันราคาข้าวของไทยนั้นรัฐบาลจะสนับสนุนชาวนาไทยด้วยการรับซื้อข้าวในราคาสูงไปเก็บไว้ แต่เป็นเรื่องยากที่จะนำข้าวออกขายในตลาดโลกเพราะมีราคาสูงกว่าตลาดทั่วไป ทำให้แต่ละประเทศเช่นเวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน และพม่าต่างแข่งขันเพื่อแย่งตลาดในส่วนนี้
และทั้งหมดนั้นคือฝีมือของรัฐบาลเลดี้กูกู้ที่ยังคงหาคำแก้ตัวและดันทุรังโครงการรับจำนำข้าวต่อไปโดยที่ไม่สนใจคำท้วงติงของผู้รู้
แน่นอน คงไม่ต้องสอบถามถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความดันทุรังดังกล่าว เพราะชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า งานนี้พรรคพวกและวงศ์วานว่านเครือของระบอบทักษิณอิ่มหมีพีพันกันอย่างถ้วนหน้า ส่วนประเทศชาติจะพินาศฉิบหายอย่างไร.....ชั่งหัวมัน....