ปชป.เตรียมซักฟอกทุจริตรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ชี้ "สุกำพล" ยอมรับเปิดทางทุจริตโครงการจำนำข้าว 20 % เพราะจำนนต่อหลักฐาน จี้นายกฯ แสดงจุดยืนปล่อยโกงข้าว ข้องใจข้าว 1 ล้านตันล่องหน แฉผู้ชนะประมูลข้าวหอมมะลิ ไม่ยอมมารับข้าวหลังพบมีคุณภาพต่ำ ด้านศาลรัฐธรรมนูญ คาดประชุมพิจารณารับคำร้องนิด้าหรือไม่ 10 ต.ค.นี้ ส่วนทีดีอาร์ไอ ระบุ รัฐจ่ายค่าโง่จำนำข้าว เอาภาษีประชาชนไปช่วยส่งออกข้าวเวียดนาม "บุญทรง"สั่งเพิ่มกก.จุกรับจำนำ-ติดกล้องวงจรปิด ป้องกันทุจริต พร้อมสั่งโต้จีทูจีลวงโลกสัปดาห์นี้
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ออก
มาสนับสนุนให้เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล พร้อมยอมรับมีการทุจริตคอร์รัปชัน 20% และเงินถึงมือชาวนา 80% และมี
การทุจริต ว่า เข้าใจว่าก่อนหน้านี้มีนักวิชาการ หรือทีดีอาร์ไอ ออกมาระบุว่า งบประมาณในโครงการจำนำข้าวตกถึงมือชาวนาจริงแค่ 1
ใน 3 ของงบประมาณที่ใช้ไปในฤดูกาลจำนำข้าว ปี 55 ซึ่งขาดทุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท
เมื่อคนระดับรัฐมนตรีกระทรวงหลักในรัฐบาล และกำลังมีข่าวว่าเป็นหนึ่งในแคดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุ
เหมือนเป็นการยืนยันว่า เงินถึงมือชาวนา 80 % แต่ก็ยอมรับในทีว่า มีการเปิดทางให้มีการทุจริต คอร์รัปชัน ถึง 20 % คนส่วนใหญ่ใน
สังคมตกใจแน่ ที่เขายอมรับเช่นนี้เพราะรู้จุดอ่อนของคนในสังคมเวลานี้ ที่สะท้อนผ่านผลโพลว่า 64 % ของผู้ที่ถูกสำรวจรับได้กับการ
ทุจริต คดโกง แต่ว่าขอให้ตนเองมีส่วนที่จะได้รับผลประโยชน์ที่ได้จากการโกงด้วย สะท้อนภาพสังคมเวลานี้ว่า มีสัญญาณอันตรายแล้ว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ตรวจสอบ ถ่วงดุล ได้ดีที่ที่สุด
แล้ว เพราะระบอบอื่นมีการทุจริต คดโกงมากกว่า แถมตรวจสอบไม่ค่อยจะได้ แต่กลับตาลปัตรว่า ระบอบที่ดีที่สุด กลับใช้กับสังคมไทย
ไม่ได้ เพราะขนาด พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งแคดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่เอง ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวลานี้
ยังยอมรับให้มีการทุจริต ที่สุดแล้วประเทศชาติจะไปไม่รอด และน่าหวั่นใจว่า เมื่อวันนี้เขาเปิดช่องโกง และยอมรับว่าโกงกันที่ 20% ใน
โครงการจำนำข้าว ที่เกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก เป็นล้านครัวเรือนในฤดูทำนาปี 56 ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า เขาจะไม่โกงเพิ่มขึ้นเป็น 30
% เพื่อที่จะต้องแบ่งปันผลประโยชน์จากการคอร์รัปชัน โกงมากขึ้น เพื่อหาแนวร่วมหรือคนที่จะได้รับผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้
เพิ่มมากขึ้นที่จะมาเป็นพวกของเขา ขณะที่งบประมาณตัวอื่น เช่น งบบริหารจัดการน้ำ 1.2 แสนล้านบาท ที่ใช้ไป และพบการทุจริตซึ่ง
เกี่ยวข้องกับคนจำนวนน้อย เขาทุจริตมากถึง 40 % ของงบประมาณ เพราะมันทำง่ายกว่า ถามว่านายกฯ รู้หรือไม่ในจุดอ่อนของรัฐบาลใน
เรื่องเหล่านี้ เพราะถามนายกฯ ท่านก็คงไม่รู้เรื่องว่า รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง เขาใช้ช้องทางใดในการทุจริต แต่ก็ต้องรับผิดชอบใน
ฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล
** เตรียมซักฟอกเรื่องคอร์รัปชัน
เมื่อถามว่า แสดงว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน จะตั้งธงซักฟอกเกี่ยวกับการทุจริตเป็นหลัก นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า
แน่นอน เรื่องการทุจริต คอร์รัปชันเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องหลักในการอภิปรายครั้งนี้ แต่ยังคงไม่บอกว่ามีอะไรบ้าง เพราะเก็บ
ข้อมูลอยู่ ซึ่งน่าวิตกในความเสื่อมของสังคมไทย หากเปรียบกับสมัยที่ตนเป็นส.ส.ใหม่ เมื่อ 20 ปีก่อน คนในสังคมไม่ยอมรับการทุจริต
พอถูกสื่อตีแผ่การโกง คอร์รัปชัน สังคมกดดัน สื่อกดดัน รัฐบาลอยู่ไม่ได้
แต่วันนี้เปลี่ยนไปหมด และน่ากลัวมาก เพราะการทุจริตจากต้นทุนงบประมาณในการพัฒนาประเทศชาติ โดยการร่วมกัน
โกงทุกวิถีทางแล้วแต่จะสรรหามา ซึ่งไม่ได้ทุจริตจากงบบริษัท แต่ทุจริตกันจากงบประมาณ จากภาษีของประชาชน หากเป็นเช่นนี้ก็รอ
วันประเทศไทยล้ม เปรียบไปก็เหมือนเราอยู่ในบ้านหลังใหญ่ คนในบ้านไม่ช่วยรักษาบ้าน แถมยังขโมยเอาของในบ้านออกไป เอามา
เป็นสมบัติส่วนตัว จนโครงสร้างบ้านมันผุ กร่อน ไม่มีการซ่อมแซม ที่สุดบ้านหลังนี้ก็จะล้มลงมาทับคนในบ้านเอง ซึ่งคนที่รับผลกระทบ
มากที่สุดก็คือคนจน คนรากหญ้า เพราะเมื่อทุกอย่างพัง คนรวยเขารับผลแค่ขาดทุนจากกำไร แต่คนจนล้มละลาย หนี้สินท่วมตัว มัน
กระทบและลามไปหมด เพราะวันนี้ค่านิยมของสังคมไทยเปลี่ยนไป หรือสังคมไทย จะรอวันล้ม หากคนในบ้านไม่ลุกมาช่วยกันซ่อม
บ้านของเราเอง ก็ไม่มีใครมาซ่อมให้แน่นอน รัฐบาลต้องตระหนักในข้อนี้
**จี้นายกฯแสดงจุดยืนปล่อยโกงข้าว
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีราชชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ยอม
รับว่ามีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลถึง 20 % ว่า เป็นเรื่องที่น่าละอาย ที่คนระดับรัฐมนตรีจะออกมายอมรับว่า ปล่อยให้
มีการทุจริตในโครงการดังกล่าวได้ แต่คนที่น่าละอายยิ่งกว่าน่าจะเป็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะครั้งหนึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์
เคยร่วมรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน แต่เมื่อรัฐมนตรีออกมายอมรับเรื่องการทุจริต 20%ได้ นายกฯ ควรแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะ
จัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเพื่อไม่ให้มีการทุจริต
ทั้งนี้ไม่ควรมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับปลายแถวเท่านั้น เพราะการทุจริตได้มีความไม่ชอบ
มาพากลมากขึ้น โดยเมื่อคำนวณงบประมาณแล้วพบว่าโครงการนี้มีการใช้งบประมาณปี 54-55 ประมาณ 3.46 แสนล้านบาท และปี 55-56
อีก 4.05 แสนล้านบาท ดังนั้นหากคิดเป็นการทุจริต20 % ของงบประมาณทั้ง 2 ปี จะเท่ากับ 150,200 ล้านบาท ดังนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ที่
นายกฯต้องแสดงจุดยืน
นอกจากนี้ตนทราบว่าได้มีตัวแทนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ออกมายอมรับกับคณะกรรมาธิการชุด
หนึ่งว่า ขณะนี้เงินที่ใช้ในการรับจำนำข้าวหมดแล้ว จึงอยากทราบว่านายกรัฐมนตรี ทราบข้อมูลนี้หรือไม่ และจะทำอย่างไรกับเงินที่
หมดไปแล้ว
นอกจากนี้ตนยังทราบมาว่า กรณีที่องค์การค้าต่างประเทศมีหนังสือไปที่กรมการค้าข้าว ขอเบิกข้าว 1 ล้านตัน ซึ่งอ้างว่าจะนำ
ไปส่งออกในลักษณะรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) นั้น ไม่น่าเป็นความจริง เพราะในขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขการส่งออกข้าวดังกล่าวเลย จึงอยากให้
กระทรวงพาณิชย์ ออกมาตอบว่าข้าวจำนวนดังกล่าวนั้นไปอยู่ที่ไหน หรือว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่ข้าวดังกล่าวจะถูกเวียนเทียนกลับมาใช้
ในโครงการจำนำข้าวอีก
นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า ในการประมูลขายข้าวหอมมะลินั้น ผู้ชนะการประมูลยังไม่ยอมมารับข้าว เพราะทราบภายหลังว่าข้าว
ที่ประมูลได้ มีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมโครงการจำนำข้าวจึงมีปัญหา และจะสร้างปัญหาในอนาคต โดยรัฐบาลไม่มีสิทธิ์
เอาเงินแผ่นดินไปให้ใครเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า แต่ควรคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องยอม
รับความจริงแล้วรีบหาทางยุติปัญหา
*** ศาลรธน.ประชุมคำร้องยับยั้งจำนำข้าว 10 ตค.
นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการ
เศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลขัดต่อรัฐ
ธรรมนูญ มาตรา 43 และ 81 (1) หรือไม่ ว่า จากการที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเอกสารที่ผู้ร้องยื่นเข้ามาเพิ่มเติม พบว่า มีการ
ทำสำเนาให้ศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 9 ชุด พร้อมทั้งเพิ่มเติมงานวิจัย และบทความที่อ้างเป็นพยานหลักฐานในคำร้อง โดยเป็นไปตาม
ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ทำสรุป และ
เตรียมเสนอต่อองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณา ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และถ้าสรุปเสร็จเร็ว คาดว่าจะนำเข้าที่
ประชุมตุลาการฯ ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ทั้งนี้ การพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องดังกล่าว ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของตุลาการฯ
** ทีดีอาร์ไอชี้ไทยเสีค่าโง่ให้เวียดนาม
นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า รัฐบาลควรฟังคำ
ท้วงติงเรื่องนโยบายข้าว และควรจะทบทวนนโยบายก่อนที่นโยบายนี้จะเสียหายมากไปกว่านี้
นายนิพนธ์ กล่าวว่ารัฐบาลกำลังเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยการส่งออกข้าวของเวียดนาม และอินเดีย เพราะผลจาก
โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด นอกจากทำให้ระบบพังแล้วยังทำให้ราคาข้าวส่งออกของไทยแพง เสียเปรียบ
ประเทศคู่แข่ง
ทั้งนี้นโยบายจำนำส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ แห่กันปลูก และนำไปจำนำขาด เพราะราคาจำนำ
สูงกว่าราคาตลาด ในขณะที่รัฐขายข้าวต่ำกว่าราคาจำนำ โรงสีข้าวก็ลงทุนสร้างไซโลมากขึ้น เพื่อรับจ้างเก็บข้าวของรัฐ และในที่สุดแล้ว
นโยบายนี้จะละลายงบประมาณมหาศาลไปโดยไม่ช่วยเพิ่มคุณภาพ และประสิทธิภาพการผลิตอันเป็นหัวใจของการปลูกข้าว
"นโยบายเศรษฐกิจที่ดีไม่ควรมุ่งช่วยไปที่คนกลุ่มหนึ่ง แต่กลับไปทำร้ายคนกลุ่มอื่น ส่วนนี้ยังไม่นับรวมการทุจริตที่เกิดขึ้นใน
กระบวนการต่างๆ อีก" นายนิพนธ์ กล่าว
นอกจากนี้รัฐบาลกำลังเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยการส่งออกข้าวของเวียดนาม และอินเดีย เพราะผลจากโครงการ
รับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาที่สูงกว่าตลาด ทำให้ราคาข้าวส่งออกของไทยแพง เสียเปรียบประเทศคู่แข่ง
** เพิ่มก.ก.-ติดกล้องCCTVป้องกันทุจริต
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตลอด 1 ปีที่ผ่านมาว่า เป็นโครงการที่เพิ่มราย
ได้ให้แก่ชาวนา โดยมีระบบการตรวจสอบข้อมูลที่เข้มงวด ชัดเจน มีหนังสือรับรองที่ระบุพื้นที่เพาะปลูก พันธุ์ข้าว และจำนวนผลผลิต
ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย จะตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน ชาวนาไม่ประสงค์ไถ่ถอน รัฐบาล
มีกระบวนการระบายข้าว ทั้งการประมูลจากเอกชน และการระบายจากหน่วยงานต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้รัฐบาลได้เพิ่มคณะกรรมการประจำจุดรับจำนำข้าว จากเดิมที่มีชาวนาเป็นผู้ร่วมคณะกรรมการเพียง 1 คน
เพิ่มเป็น 3 คน ตัวแทนจากโรงสี และหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมเพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ และติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อลดการ
ทุจริตในการรับจำนำ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลมีกระบวนการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ทุจริตอย่างเข้มงวด
นายบุญทรง กล่าวด้วยว่า ในรอบ 12 เดือนนับจากนี้ชาวนาจะสามารถนำข้าวเข้าโครงการรับจำนำได้ถึง 2 ครั้งโดยไม่คำนึงว่า
จะเป็นข้าวนาปี หรือนาปรัง เพื่อให้สอดคล้องกับฤดูน้ำหลาก
**“บุญทรง”สั่งแจงข้าวจีทูจีลวงโลก
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า นายบุญทรง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรับจำนำ
ข้าวและการระบายข้าวเตรียมข้อมูลเพื่อแถลงข่าวชี้แจงถึงแนวทางการปฎิบัติงาน และข้อเท็จจริงทั้งหมดในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะเรื่อง
การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะได้สร้างความสับสนและเกิดความสงสัยเกิดขึ้นมาก
ทั้งนี้ สาเหตุที่ยอดการส่งออกข้าวไทยไม่ปรากฏยอดส่งออกจีทูจี เพราะการขายจีทูจีในครั้งนี้เป็นการขายหน้าโกดัง ทำให้
กรมการค้าต่างประเทศในฐานะตัวแทนขายหมดหน้าที่ตั้งแต่ขายไปแล้ว จากนั้นประเทศผู้ซื้อจะว่าจ้างเอกชนรายใดรายหนึ่งให้เป็นผู้
ปรับปรุงคุณภาพข้าวและส่งออกไปให้ ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน โดยยืนยันได้จากยอดส่งออกข้าวในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้ 5 ล้านตัน
เพราะได้รวมข้าวจีทูจีเข้าไปด้วย เพราะเอกชนพูดมาโดยตลอดว่าไม่มีข้าวส่งออก แสดงว่าข้าวที่ขายออกไป เป็นข้าวจีทูจีด้วย แต่ที่เปิดเผย
สัญญาไม่ได้ เนื่องจากเป็นเหตุผลของประเทศผู้ซื้อที่ห่วงเรื่องการเมืองในประเทศ
**โกตดิวัวร์จ่อเลิกซื้อจีทูจี
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การขายข้าวจีทูจีให้กับรัฐบาลโกตดิวัวร์ 2.4 แสนตัน ทั้งข้าวขาว 5% และข้าวหอมมะลิไทย 100% ชั้น 2
ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยกำหนดส่งมอบข้าวภายใน 6 เดือน จนขณะนี้ยังไม่สามารถส่งออกให้รัฐบาลโกตดิวัวร์ได้ เนื่องจากติด
ปัญหารัฐบาลโกตดิวัวร์นำคำสั่งซื้อดังกล่าวให้เอกชนในประเทศเป็นผู้ซื้อ ซึ่งไทยขายข้าวขาว 5% ในราคาต่ำ 450 เหรียญสหรัฐ/ตัน
แต่มีเงื่อนไขต้องพ่วงการซื้อข้าวหอมมะลิขายในราคา 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปรากฎว่าเอกชนของโกตดิวัวร์ไม่สนใจข้าวหอมมะลิใน
สต๊อกรัฐบาลไทย เนื่องจากไม่มั่นใจคุณภาพข้าว ทำให้การส่งมอบยังคาราคาซังถึงทุกวันนี้ และอาจะมีการยกเลิกการซื้อข้าวล็อตดังกล่าว
**ปัญหาทุจริตจะทำรัฐบาลพัง
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยผลวิจัยเชิงสำรวจในหัวข้อประเด็นสำคัญทางการเมือง ในความรู้สึกนึก
คิดของประชาชน โดยสำรวจประชาชนทั่วไปใน 17 จังหวัด พบว่า ประชาชนร้อยละ 68.3 เห็นควรให้เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวต่อ
ไป แต่ร้อยละ 91.9 อยากให้ปรับเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินของเกษตรกร
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน จะทำให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่นาน ร้อยละ 88.3 และร้อยละ 82.6 สนับสนุน
ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำงานต่อไป
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ออก
มาสนับสนุนให้เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล พร้อมยอมรับมีการทุจริตคอร์รัปชัน 20% และเงินถึงมือชาวนา 80% และมี
การทุจริต ว่า เข้าใจว่าก่อนหน้านี้มีนักวิชาการ หรือทีดีอาร์ไอ ออกมาระบุว่า งบประมาณในโครงการจำนำข้าวตกถึงมือชาวนาจริงแค่ 1
ใน 3 ของงบประมาณที่ใช้ไปในฤดูกาลจำนำข้าว ปี 55 ซึ่งขาดทุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท
เมื่อคนระดับรัฐมนตรีกระทรวงหลักในรัฐบาล และกำลังมีข่าวว่าเป็นหนึ่งในแคดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุ
เหมือนเป็นการยืนยันว่า เงินถึงมือชาวนา 80 % แต่ก็ยอมรับในทีว่า มีการเปิดทางให้มีการทุจริต คอร์รัปชัน ถึง 20 % คนส่วนใหญ่ใน
สังคมตกใจแน่ ที่เขายอมรับเช่นนี้เพราะรู้จุดอ่อนของคนในสังคมเวลานี้ ที่สะท้อนผ่านผลโพลว่า 64 % ของผู้ที่ถูกสำรวจรับได้กับการ
ทุจริต คดโกง แต่ว่าขอให้ตนเองมีส่วนที่จะได้รับผลประโยชน์ที่ได้จากการโกงด้วย สะท้อนภาพสังคมเวลานี้ว่า มีสัญญาณอันตรายแล้ว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อว่า เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ เพราะระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ตรวจสอบ ถ่วงดุล ได้ดีที่ที่สุด
แล้ว เพราะระบอบอื่นมีการทุจริต คดโกงมากกว่า แถมตรวจสอบไม่ค่อยจะได้ แต่กลับตาลปัตรว่า ระบอบที่ดีที่สุด กลับใช้กับสังคมไทย
ไม่ได้ เพราะขนาด พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งแคดิเดตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่เอง ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเวลานี้
ยังยอมรับให้มีการทุจริต ที่สุดแล้วประเทศชาติจะไปไม่รอด และน่าหวั่นใจว่า เมื่อวันนี้เขาเปิดช่องโกง และยอมรับว่าโกงกันที่ 20% ใน
โครงการจำนำข้าว ที่เกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก เป็นล้านครัวเรือนในฤดูทำนาปี 56 ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่า เขาจะไม่โกงเพิ่มขึ้นเป็น 30
% เพื่อที่จะต้องแบ่งปันผลประโยชน์จากการคอร์รัปชัน โกงมากขึ้น เพื่อหาแนวร่วมหรือคนที่จะได้รับผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้
เพิ่มมากขึ้นที่จะมาเป็นพวกของเขา ขณะที่งบประมาณตัวอื่น เช่น งบบริหารจัดการน้ำ 1.2 แสนล้านบาท ที่ใช้ไป และพบการทุจริตซึ่ง
เกี่ยวข้องกับคนจำนวนน้อย เขาทุจริตมากถึง 40 % ของงบประมาณ เพราะมันทำง่ายกว่า ถามว่านายกฯ รู้หรือไม่ในจุดอ่อนของรัฐบาลใน
เรื่องเหล่านี้ เพราะถามนายกฯ ท่านก็คงไม่รู้เรื่องว่า รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง เขาใช้ช้องทางใดในการทุจริต แต่ก็ต้องรับผิดชอบใน
ฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล
** เตรียมซักฟอกเรื่องคอร์รัปชัน
เมื่อถามว่า แสดงว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน จะตั้งธงซักฟอกเกี่ยวกับการทุจริตเป็นหลัก นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า
แน่นอน เรื่องการทุจริต คอร์รัปชันเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องหลักในการอภิปรายครั้งนี้ แต่ยังคงไม่บอกว่ามีอะไรบ้าง เพราะเก็บ
ข้อมูลอยู่ ซึ่งน่าวิตกในความเสื่อมของสังคมไทย หากเปรียบกับสมัยที่ตนเป็นส.ส.ใหม่ เมื่อ 20 ปีก่อน คนในสังคมไม่ยอมรับการทุจริต
พอถูกสื่อตีแผ่การโกง คอร์รัปชัน สังคมกดดัน สื่อกดดัน รัฐบาลอยู่ไม่ได้
แต่วันนี้เปลี่ยนไปหมด และน่ากลัวมาก เพราะการทุจริตจากต้นทุนงบประมาณในการพัฒนาประเทศชาติ โดยการร่วมกัน
โกงทุกวิถีทางแล้วแต่จะสรรหามา ซึ่งไม่ได้ทุจริตจากงบบริษัท แต่ทุจริตกันจากงบประมาณ จากภาษีของประชาชน หากเป็นเช่นนี้ก็รอ
วันประเทศไทยล้ม เปรียบไปก็เหมือนเราอยู่ในบ้านหลังใหญ่ คนในบ้านไม่ช่วยรักษาบ้าน แถมยังขโมยเอาของในบ้านออกไป เอามา
เป็นสมบัติส่วนตัว จนโครงสร้างบ้านมันผุ กร่อน ไม่มีการซ่อมแซม ที่สุดบ้านหลังนี้ก็จะล้มลงมาทับคนในบ้านเอง ซึ่งคนที่รับผลกระทบ
มากที่สุดก็คือคนจน คนรากหญ้า เพราะเมื่อทุกอย่างพัง คนรวยเขารับผลแค่ขาดทุนจากกำไร แต่คนจนล้มละลาย หนี้สินท่วมตัว มัน
กระทบและลามไปหมด เพราะวันนี้ค่านิยมของสังคมไทยเปลี่ยนไป หรือสังคมไทย จะรอวันล้ม หากคนในบ้านไม่ลุกมาช่วยกันซ่อม
บ้านของเราเอง ก็ไม่มีใครมาซ่อมให้แน่นอน รัฐบาลต้องตระหนักในข้อนี้
**จี้นายกฯแสดงจุดยืนปล่อยโกงข้าว
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีราชชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ยอม
รับว่ามีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลถึง 20 % ว่า เป็นเรื่องที่น่าละอาย ที่คนระดับรัฐมนตรีจะออกมายอมรับว่า ปล่อยให้
มีการทุจริตในโครงการดังกล่าวได้ แต่คนที่น่าละอายยิ่งกว่าน่าจะเป็นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะครั้งหนึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์
เคยร่วมรณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชัน แต่เมื่อรัฐมนตรีออกมายอมรับเรื่องการทุจริต 20%ได้ นายกฯ ควรแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะ
จัดการกับเรื่องนี้อย่างไรเพื่อไม่ให้มีการทุจริต
ทั้งนี้ไม่ควรมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับปลายแถวเท่านั้น เพราะการทุจริตได้มีความไม่ชอบ
มาพากลมากขึ้น โดยเมื่อคำนวณงบประมาณแล้วพบว่าโครงการนี้มีการใช้งบประมาณปี 54-55 ประมาณ 3.46 แสนล้านบาท และปี 55-56
อีก 4.05 แสนล้านบาท ดังนั้นหากคิดเป็นการทุจริต20 % ของงบประมาณทั้ง 2 ปี จะเท่ากับ 150,200 ล้านบาท ดังนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ที่
นายกฯต้องแสดงจุดยืน
นอกจากนี้ตนทราบว่าได้มีตัวแทนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ออกมายอมรับกับคณะกรรมาธิการชุด
หนึ่งว่า ขณะนี้เงินที่ใช้ในการรับจำนำข้าวหมดแล้ว จึงอยากทราบว่านายกรัฐมนตรี ทราบข้อมูลนี้หรือไม่ และจะทำอย่างไรกับเงินที่
หมดไปแล้ว
นอกจากนี้ตนยังทราบมาว่า กรณีที่องค์การค้าต่างประเทศมีหนังสือไปที่กรมการค้าข้าว ขอเบิกข้าว 1 ล้านตัน ซึ่งอ้างว่าจะนำ
ไปส่งออกในลักษณะรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) นั้น ไม่น่าเป็นความจริง เพราะในขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขการส่งออกข้าวดังกล่าวเลย จึงอยากให้
กระทรวงพาณิชย์ ออกมาตอบว่าข้าวจำนวนดังกล่าวนั้นไปอยู่ที่ไหน หรือว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่ข้าวดังกล่าวจะถูกเวียนเทียนกลับมาใช้
ในโครงการจำนำข้าวอีก
นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า ในการประมูลขายข้าวหอมมะลินั้น ผู้ชนะการประมูลยังไม่ยอมมารับข้าว เพราะทราบภายหลังว่าข้าว
ที่ประมูลได้ มีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมโครงการจำนำข้าวจึงมีปัญหา และจะสร้างปัญหาในอนาคต โดยรัฐบาลไม่มีสิทธิ์
เอาเงินแผ่นดินไปให้ใครเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า แต่ควรคำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องยอม
รับความจริงแล้วรีบหาทางยุติปัญหา
*** ศาลรธน.ประชุมคำร้องยับยั้งจำนำข้าว 10 ตค.
นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าคณะโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่นายอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการ
เศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลขัดต่อรัฐ
ธรรมนูญ มาตรา 43 และ 81 (1) หรือไม่ ว่า จากการที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเอกสารที่ผู้ร้องยื่นเข้ามาเพิ่มเติม พบว่า มีการ
ทำสำเนาให้ศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 9 ชุด พร้อมทั้งเพิ่มเติมงานวิจัย และบทความที่อ้างเป็นพยานหลักฐานในคำร้อง โดยเป็นไปตาม
ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ทำสรุป และ
เตรียมเสนอต่อองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณา ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และถ้าสรุปเสร็จเร็ว คาดว่าจะนำเข้าที่
ประชุมตุลาการฯ ในวันที่ 10 ต.ค.นี้ ทั้งนี้ การพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องดังกล่าว ขึ้นอยู่ดุลยพินิจของตุลาการฯ
** ทีดีอาร์ไอชี้ไทยเสีค่าโง่ให้เวียดนาม
นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า รัฐบาลควรฟังคำ
ท้วงติงเรื่องนโยบายข้าว และควรจะทบทวนนโยบายก่อนที่นโยบายนี้จะเสียหายมากไปกว่านี้
นายนิพนธ์ กล่าวว่ารัฐบาลกำลังเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยการส่งออกข้าวของเวียดนาม และอินเดีย เพราะผลจาก
โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด นอกจากทำให้ระบบพังแล้วยังทำให้ราคาข้าวส่งออกของไทยแพง เสียเปรียบ
ประเทศคู่แข่ง
ทั้งนี้นโยบายจำนำส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ แห่กันปลูก และนำไปจำนำขาด เพราะราคาจำนำ
สูงกว่าราคาตลาด ในขณะที่รัฐขายข้าวต่ำกว่าราคาจำนำ โรงสีข้าวก็ลงทุนสร้างไซโลมากขึ้น เพื่อรับจ้างเก็บข้าวของรัฐ และในที่สุดแล้ว
นโยบายนี้จะละลายงบประมาณมหาศาลไปโดยไม่ช่วยเพิ่มคุณภาพ และประสิทธิภาพการผลิตอันเป็นหัวใจของการปลูกข้าว
"นโยบายเศรษฐกิจที่ดีไม่ควรมุ่งช่วยไปที่คนกลุ่มหนึ่ง แต่กลับไปทำร้ายคนกลุ่มอื่น ส่วนนี้ยังไม่นับรวมการทุจริตที่เกิดขึ้นใน
กระบวนการต่างๆ อีก" นายนิพนธ์ กล่าว
นอกจากนี้รัฐบาลกำลังเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยการส่งออกข้าวของเวียดนาม และอินเดีย เพราะผลจากโครงการ
รับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาที่สูงกว่าตลาด ทำให้ราคาข้าวส่งออกของไทยแพง เสียเปรียบประเทศคู่แข่ง
** เพิ่มก.ก.-ติดกล้องCCTVป้องกันทุจริต
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตลอด 1 ปีที่ผ่านมาว่า เป็นโครงการที่เพิ่มราย
ได้ให้แก่ชาวนา โดยมีระบบการตรวจสอบข้อมูลที่เข้มงวด ชัดเจน มีหนังสือรับรองที่ระบุพื้นที่เพาะปลูก พันธุ์ข้าว และจำนวนผลผลิต
ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย จะตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อถึงกำหนดไถ่ถอน ชาวนาไม่ประสงค์ไถ่ถอน รัฐบาล
มีกระบวนการระบายข้าว ทั้งการประมูลจากเอกชน และการระบายจากหน่วยงานต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้รัฐบาลได้เพิ่มคณะกรรมการประจำจุดรับจำนำข้าว จากเดิมที่มีชาวนาเป็นผู้ร่วมคณะกรรมการเพียง 1 คน
เพิ่มเป็น 3 คน ตัวแทนจากโรงสี และหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมเพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ และติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อลดการ
ทุจริตในการรับจำนำ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลมีกระบวนการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ทุจริตอย่างเข้มงวด
นายบุญทรง กล่าวด้วยว่า ในรอบ 12 เดือนนับจากนี้ชาวนาจะสามารถนำข้าวเข้าโครงการรับจำนำได้ถึง 2 ครั้งโดยไม่คำนึงว่า
จะเป็นข้าวนาปี หรือนาปรัง เพื่อให้สอดคล้องกับฤดูน้ำหลาก
**“บุญทรง”สั่งแจงข้าวจีทูจีลวงโลก
ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า นายบุญทรง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรับจำนำ
ข้าวและการระบายข้าวเตรียมข้อมูลเพื่อแถลงข่าวชี้แจงถึงแนวทางการปฎิบัติงาน และข้อเท็จจริงทั้งหมดในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะเรื่อง
การระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะได้สร้างความสับสนและเกิดความสงสัยเกิดขึ้นมาก
ทั้งนี้ สาเหตุที่ยอดการส่งออกข้าวไทยไม่ปรากฏยอดส่งออกจีทูจี เพราะการขายจีทูจีในครั้งนี้เป็นการขายหน้าโกดัง ทำให้
กรมการค้าต่างประเทศในฐานะตัวแทนขายหมดหน้าที่ตั้งแต่ขายไปแล้ว จากนั้นประเทศผู้ซื้อจะว่าจ้างเอกชนรายใดรายหนึ่งให้เป็นผู้
ปรับปรุงคุณภาพข้าวและส่งออกไปให้ ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน โดยยืนยันได้จากยอดส่งออกข้าวในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทำได้ 5 ล้านตัน
เพราะได้รวมข้าวจีทูจีเข้าไปด้วย เพราะเอกชนพูดมาโดยตลอดว่าไม่มีข้าวส่งออก แสดงว่าข้าวที่ขายออกไป เป็นข้าวจีทูจีด้วย แต่ที่เปิดเผย
สัญญาไม่ได้ เนื่องจากเป็นเหตุผลของประเทศผู้ซื้อที่ห่วงเรื่องการเมืองในประเทศ
**โกตดิวัวร์จ่อเลิกซื้อจีทูจี
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า การขายข้าวจีทูจีให้กับรัฐบาลโกตดิวัวร์ 2.4 แสนตัน ทั้งข้าวขาว 5% และข้าวหอมมะลิไทย 100% ชั้น 2
ตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา โดยกำหนดส่งมอบข้าวภายใน 6 เดือน จนขณะนี้ยังไม่สามารถส่งออกให้รัฐบาลโกตดิวัวร์ได้ เนื่องจากติด
ปัญหารัฐบาลโกตดิวัวร์นำคำสั่งซื้อดังกล่าวให้เอกชนในประเทศเป็นผู้ซื้อ ซึ่งไทยขายข้าวขาว 5% ในราคาต่ำ 450 เหรียญสหรัฐ/ตัน
แต่มีเงื่อนไขต้องพ่วงการซื้อข้าวหอมมะลิขายในราคา 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปรากฎว่าเอกชนของโกตดิวัวร์ไม่สนใจข้าวหอมมะลิใน
สต๊อกรัฐบาลไทย เนื่องจากไม่มั่นใจคุณภาพข้าว ทำให้การส่งมอบยังคาราคาซังถึงทุกวันนี้ และอาจะมีการยกเลิกการซื้อข้าวล็อตดังกล่าว
**ปัญหาทุจริตจะทำรัฐบาลพัง
สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เผยผลวิจัยเชิงสำรวจในหัวข้อประเด็นสำคัญทางการเมือง ในความรู้สึกนึก
คิดของประชาชน โดยสำรวจประชาชนทั่วไปใน 17 จังหวัด พบว่า ประชาชนร้อยละ 68.3 เห็นควรให้เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวต่อ
ไป แต่ร้อยละ 91.9 อยากให้ปรับเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินของเกษตรกร
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน จะทำให้รัฐบาลอยู่ได้ไม่นาน ร้อยละ 88.3 และร้อยละ 82.6 สนับสนุน
ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำงานต่อไป