ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การแถลงข่าวผลการตรวจสอบและค้นหาความจริงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง 10 เหตุการณ์ เท่ากับเป็นการตอกย้ำ ความจริงที่สังคมเห็น และเชื่อมาตลอดเวลาว่า...
กลุ่มนปช. มีกำลังติดอาวุธที่เรียกกันว่า เป็นคนชุดดำ
ทำให้ความเกลียดชังเกิดขึ้นทั่วประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) พร้อมกรรมการคอป. แถลงสรุปผลรายงาน การค้นหาความจริงเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 ของ คอป. ฉบับสมบูรณ์ หลังครบวาระการทำงาน 2 ปี
สมชาย หอมละออ คณะอนุกรรมการคอป. แถลงว่า จากการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือน เม.ย. ถึง พ.ค.53 พบว่ามีเหตุปัจจัยมาจากความขัดแย้งและความไม่ไว้วางใจต่อกัน ระหว่างรัฐบาล กับ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสืบเนื่องมาจากปี 2552
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 มีผู้เสียชีวิต 92 คน เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร 8 คน เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปีก่อนแทบจะไม่มี เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คน พลเรือน 82 คน
โดยในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ชุมนุม บางคนเป็นประชาชนที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ มีช่างภาพชาวต่างประเทศ 2 คน และกลุ่มคนรักสีลม ซึ่งไม่เห็นด้วยต่อการชุมนุม นปช. 1 คน
“ในจำนวน 92 คน มีข้อมูลพยานหลักฐานว่า เสียชีวิตจากการโจมตีของคนชุดดำ 9 คน เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร 6 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คน และกลุ่มคนรักสีลม 1 คน ส่วนประชาชนจำนวนมาก เสียชีวิตจากกระสุนที่ยิงมาจากทิศทางที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่”
จากการตรวจสอบเหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 เม.ย. กรณีสถานีดาวเทียมไทยคม อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี อย่างละเอียด แม้จะมีความรุนแรง แต่ก็ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่การที่เจ้าหน้าที่ทหารระงับการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ของกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการยกระดับความรุนแรง
การที่เจ้าหน้าที่นำอาวุธสงครามไปในการปฏิบัติ โดยเก็บไว้ในรถเสบียง ซึ่งผู้ชุมนุมยึดมา แล้วนำมาแสดงต่อสื่อมวลชน ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจจากผู้ชุมนุมมากยิ่งขึ้น
ในเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53 พบว่าอย่างน้อย 2 พื้นที่ ที่ปืนลูกซองของทหาร 35 กระบอก ปืนเล็กยาวหรือ ปลย. ชนิดทราโว่จำนวน 12 กระบอก พร้อมกระสุนจริง 700 นัด ถูกการ์ดนปช. ยึดไป
ในเหตุการณ์ที่โรงเรียนสตรีวิทยา ที่เจ้าหน้าที่สูญเสียมาก รถสายพานลำเลียงถูกเผา ปืนเอ็ม 16 จำนวน 9 กระบอก ทราโว่จำนวน 13 กระบอก และอื่นๆ ถูกยึดไป อาวุธเหล่านี้ทางราชการได้กลับคืนมาเพียงปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก และปืนทราโว่ 2 กระบอกเท่านั้น ที่เหลือยังไม่ได้คืน
นั่นทำให้หลายคนนึกภาพที่ ไอ้ตู่ ชูปืนทราโว่บนเวทีนปช.
สมชาย ยังอธิบายอีกว่า ประเด็นสำคัญก็คือ อาวุธปืนเหล่านี้การ์ด นปช. ได้นำไปมอบไว้ให้ที่เวที นปช. ตรงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่พนักงานสอบสวนคงต้องสอบสวนต่อไป เพื่อให้ความจริงเกี่ยวกับปืนจำนวนนี้ปรากฏ
การปฏิบัติของผู้ชุมนุมบางคนต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ปรากฏเป็นภาพที่เผยแพร่ที่ทำให้ทหารเกิดความรู้สึกสะเทือนใจ เช่น ผู้ชุมนุมบังคับให้ทหารคุกเข่า ส่วนทหารมีเหตุผลที่นำอาวุธสงครามแตกต่างกันไป เช่น เป็นอาวุธประจำตัว หรือเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย แต่การที่เกิดการระงับการออกอากาศของพีเพิลแชนแนล แม้จะใช้อำนาจที่ถูกต้องหรือไม่ เป็นการกระตุ้นและยกระดับความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิดความสูญเสียมากที่สุดคือ ที่สี่แยกคอกวัวและถนนดินสอ วันที่ 10 เม.ย.53 มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นพลเรือน 21 คน รวมทั้ง นายมูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ทหาร 5 คน รวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม มีผู้บาดเจ็บทั้งผู้ชุมนุมและทหารรวมกว่า 864 คน เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร กว่า 300 คน โดยพบหลักฐานว่า
“มีคนชุดดำ ไม่ทราบฝ่ายแน่ชัด ใช้อาวุธสงคราม โจมตีเจ้าหน้าที่ทหารที่ถนนตะนาว และถนนข้าวสาร บริเวณสี่แยกคอกวัว ในเวลาประมาณ 20.00 น. โดยใช้ระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธปืนเล็กยาว หรืออาวุธสงครามยิงเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งปฏิบัติการอยู่ที่ถนนตะนาวและถนนข้าวสาร เสียชีวิต 1 นาย ”
ขณะที่ถนนดินสอ จากหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ต่อเนื่องมาถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ถูกโจมตีโดยกลุ่มคนชุดดำเช่นเดียวกัน จากการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์จากทาง คอป. หลังจากมีการโจมตีแล้วพบว่า มีร่องรอยกระสุนที่มีวิถีการยิงมาจากที่เจ้าหน้าที่อยู่
ถ้าบนถนนตะนาวก็คือจากทิศทางวงเวียนวัดบวรนิเวศวิหารมาทางสี่แยกคอกวัว ถ้าที่ถนนดินสอจากสะพานวันชาติมาทางวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีร่องรอยมากที่ถนนตะนาวนั้นนอกจากระเบิด เอ็ม 79 แล้วพบร่องรอยกระสุนที่ยิงสวนกลับไป แต่ไม่มากนัก
สำหรับที่ถนนดินสอพบร่องรอยระเบิด ซึ่งเป็นระเบิด เอ็ม 67 และผู้เชี่ยวชาญบางคนก็บอกว่าเป็นระเบิด เอ็ม 79 ด้วย โดยมีเอ็ม 67 อยู่ 2 ลูก แต่เราไม่พบร่องรอยกระสุนที่ยิงสวนไป จากวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทางสะพานวันชาติ
“จากการตรวจสอบหลายฝ่าย พบว่าระเบิด เอ็ม 67 นั้น น่าจะขว้างมาจากบ้านไม้โบราณหลังหนึ่ง ที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าของโรงเรียนสตรีวิทยา และระเบิด 2 ลูกนี้ เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย รวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมด้วย มีข่าวหรือการกล่าวในทางสื่อมวลชนว่า พ.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิตด้วยกระสุนปืน จากการชันสูตรพลิกศพไม่พบร่องรอยว่า พ.อ.ร่มเกล้า นั้นถูกยิงด้วยกระสุนปืน และน่าเชื่อได้ว่าเสียชีวิตด้วยพิษจากสะเก็ดระเบิด เอ็ม 67” สมชาย อธิบายสาเหตุการตายของ พ.อ.ร่มเกล้า
สมชาย ยังบอกอีกว่า “ประเด็นสำคัญ คอป.พบว่า ปฏิบัติการของคนชุดดำ ในทั้ง 2 พื้นที่ ได้รับการสนับสนุนจากการ์ด นปช.บางคน โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์พยายามเปรียบเทียบกล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณนั้น กับกล้องของนักข่าว เพื่อที่จะทราบเวลาที่แน่นอนของการเกิดเหตุ และจากการตรวจสอบโดยละเอียด ไม่พบหลักฐานของการเสียชีวิตของทหารทั้ง 5 นาย และบาดเจ็บจำนวนมากนั้นเกิดจากการโจมตีหรือการต่อสู้กันเองระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร”
ทั้งนี้ น่าเชื่อว่าได้เกิดจากการโจมตีและระเบิดสังหารโดยคนชุดดำ แต่ไม่พบพยานหลักฐานเช่นเดียวกันว่ามีผู้ชุมนุมรายใดเสียชีวิต หรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติการของคนชุดดำ
อย่างไรก็ตาม พบว่าคนชุดดำบางคนเป็นผู้ใกล้ชิดกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และพบว่า พล.ต.ขัตติยะ ปรากฏตัวในบริเวณดังกล่าวตั้งแต่ตอนบ่าย เช่น สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ตั้งแต่ตอนเย็น ก่อนเกิดเหตุการณ์ และหลังเหตุการณ์ ก็ได้ปรากฏตัวที่นั่นอีก
“ ทั้งนี้คนชุดดำที่มีอาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่พบว่า มีความเกี่ยวพันกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล คืออยู่ในกลุ่ม ไปไหนด้วยกัน และการปฏิบัติการของคนชุดดำในบางเหตุการณ์ ได้รับความร่วมมือและสนับสนุน รวมทั้งรู้เห็นเป็นใจจากการ์ด นปช. แต่คนชุดดำจะมีความสัมพันธ์ หรือใกล้ชิดกับแกนนำ นปช. หรือไม่ ไม่มีพยานหลักฐานที่โยงไปถึงขนาดนั้น แต่ในหลายเหตุการณ์อยู่ในพื้นที่ควบคุมโดยการ์ดนปช. ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราได้รับ ซึ่งสรุปได้ยากว่า จำนวนคนชุดดำมีเท่าไหร่ แล้วเป็นใคร” สมชาย บอกความเกี่ยวพันระหว่างนปช. กับคนชุดดำ
ข้อเท็จจริงเหล่านี้ตรงกันข้ามคนเคยที่เป็นหมออย่าง “เหวง โตจิราการ” อย่างสิ้นเชิง !!
ต่อให้เหวงและธิดาตายไป ความจริงเหล่านี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง…