ผ่าประเด็นร้อน
“ถ้าพี่น้องเสื้อแดงเป็นอะไรไปขอให้ไปรวมตัวกันที่หน้าศาลากลางทั่วประเทศ”
“เมื่อพี่น้องไปรวมตัวกันที่หน้าศาลากลางแล้วจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของพี่น้อง”
“ให้พี่น้องเอาขวดน้ำกันไปคนละขวดแล้วไปเติมน้ำมันข้างหน้า รับรองว่ากรุงเทพฯจะต้องเป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
“เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง”
...........!!!!!?????..................
เชื่อว่าคำพูดปลุกระดมดังกล่าวข้างต้นคงจะคุ้นหูของชาวบ้านส่วนหนึ่งที่ได้รับรู้ความจริงมาช้านาน และชาชิน เพราะมีสื่อหลายแห่งที่ไม่ใช่ฟรีทีวี ไม่ใช่ทีวีเสื้อแดง สื่อเสื้อแดงได้นำมาเสนอกันหลายครั้ง อีกทั้งยังได้เห็นกับตาว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง มีการใช้อาวุธ มวลชน ส.ส.ในสภาประสานกันชุมนุมกดดันเพื่อนำไปสู่การยุบสภาให้ได้
ทำทุกทางเพื่อให้เกิดความฉิบหายย่อยยับ เพราะแม้แต่การย้ายสถานที่ไปชุมนุมย่านราชประสงค์ก็มีเจตนาชัดเจนว่าเป้าหมายต้องการแบบไหน เพราะว่าไม่ว่ามองในมุมไหนก็ต้องรับรู้ว่าพื้นที่ย่านดังกล่าวเป็นเขตเศรษฐกิจ เป็นสัญลักษณ์ของเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ ที่สำคัญล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ทำมาหากินของเอกชน นักลงทุน ไม่มีสถานที่ราชการ ที่มีความหมายในทางอำนาจทางการเมือง เช่น ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา
ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเคลื่อนย้ายการชุมนุมไปปักหลักอยู่ที่นั่น นอกจากต้องการทำลายเศรษฐกิจสำคัญ ต้องการทำให้ฉิบหายของภาคเอกชนจับมา “เป็นตัวประกัน” เพียงเพื่อทำตามความต้องการของตัวเองเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เมื่อวกกลับมาที่ผลสรุปของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่นำโดย คณิต ณ นคร แถลงในวาระครบกำหนดการตรวจสอบและค้นหาความจริงมา 2 ปีเต็ม ซึ่งหากพิจารณาประเด็นสำคัญก็จะมีความน่าสนใจคือ
มีชายชุดดำจริง และมีความสัมพันธ์กับการ์ดของ นปช. ก่อเหตุใช้อาวุธสงครามยิงถล่มทหาร มีการลงมือปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องหลายเหตุการณ์
ชายชุดดำดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และที่สำคัญก่อนและระหว่างเกิดเหตุได้พบเห็น พล.ต.ขัตติยะ ปรากฏตัวทุกครั้ง
เหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว และถนนตะนาว มีชายชุดดำยิงมาจากฝั่งผู้ชุมนุมเสื้อแดงไปยังทหารและตำรวจทำให้มีทหารเสียชีวิตนับสิบนายและบาดเจ็บอีกหลายร้อยนาย โดยเฉพาะกรณีของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ก็มีผลสรุปออกมาว่าเสียชีวิตด้วยสะเก็ดระเบิด ไม่ใช่เกิดจากกระสุนปืนที่ก่อนหน้านี้บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงระบุว่าเป็นฝีมือของทหารด้วยกันเอง
เหตุการณ์ทั้งที่สี่แยกคอกวัวและถนนตะนาวเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 รวมทั้งที่อื่นๆมีการปล้นอาวุธปืนจากทหารไปนับร้อยกระบอก แต่ได้คืนมาแค่สิบกว่ากระบอกเท่านั้น ที่น่าสนใจก็คือมีการพบปืนเอ็ม 16 ที่วัดปทุมวนาราม หลังถูกคนเสื้อแดงยึดไปจากทหารหลังจากรุมทำร้ายที่หน้าแฟลตดินแดง และผลการตรวจสอบของ คอป.ยังระบุว่ามีการยิงสวนออกมาจากภายในวัดปทุมฯอีกด้วย
กรณีที่ต่อเนื่องกันและกลายเป็นประเด็นที่ต้อง “ขีดเส้นใต้” เอาไว้ก็คือ หลังจากมีการยึดอาวุธปืนไปจากทหารนับร้อยกระบอก แต่ได้คืนมาเพียงสิบกว่ากระบอก นั่นคือ ปืนและกระสุนถูกยึดไปตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553 แต่ขณะเดียวกันวันที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากก็คือ วันที่ 19 พฤษภาคม 2553
คำถามก็คือ อาวุธเหล่านั้นได้ถูกนำมาใช้หรือสังหารคนเสื้อแดง และทหาร “ในภายหลัง”ใช่หรือไม่ และเชื่อว่าผลจากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตย่อมต้องมีกระสุนที่มีใช้ในกองทัพปะปนอยู่แน่นอน
อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้เคยแถลงถึงเรื่องดังกล่าวเอาไว้ว่าหลังจากอาวุธปืนถูกปล้นเอาไปก็ได้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้ว
การเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เกิดขึ้นในช่วงที่คนเสื้อแดงยังอยู่เต็มพื้นที่ โดยที่ทหารยังไม่ได้เคลื่อนกำลังเข้าไปแต่อย่างใด
นั่นคือข้อสรุปของ คอป.ที่แถลงออกมาเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งน่าสนใจก็คือ ชายชุดดำมีจริง และเป็นพวกเดียวกับคนเสื้อแดง มี เสธ.แดง เกี่ยวข้องอยู่ด้วย เหตุการณ์ในวัดปทุมฯเอาเข้าจริงปรากฎว่ามีการยิงออกจากภายในวัดเข้าใส่ทหาร และปืนเอ็ม 16 หนึ่งกระบอกที่พบก็เป็นของทหารที่ถูกทำร้ายที่บริเวณหน้าแฟลตดินแดง
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ผลสรุปดังกล่าวที่ออกมาจะทำให้บรรดาแกนนำเสื้อแดงต่างเรียงหน้าออกโวยวาย ไม่ยอมรับ ทั้งที่เป็นความจริงที่ตัวเองก็รับรู้อยู่เต็มอก เพียงแต่ที่ผ่านมาได้พยายามบิดเบือนกรอกหูมวลชนแบบซ้ำๆ ว่า “ทหารฆ่าประชาชนๆ” เมื่อผลออกมาไปอีกทาง จนทำให้สื่อประเภทฟรีทีวีและสื่อหนังสือพิมพ์ต้องเสนอข่าวตามน้ำ แต่มันก็ย่อมเห็นความจริงอีกด้านหนึ่งที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน
ทั้งที่จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา มีเจตนาสร้างความรุนแรงตั้งแต่ต้น หากพิจารณาจากคำพูดหลายครั้งของ ทักษิณ ชินวัตร ที่รับรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นหัวหน้าใหญ่และอยู่เบื้องหลังของแกนนำ และเหตุการณ์ความรุนแรงที่สี่แยกคอกวัวและถนนตะนาวเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่เป็นการวางแผนให้เกิดความรุนแรง ต้องการฆ่าทหาร เพื่อกดดันให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยุบสภา เพราะมั่นใจว่าด้วยระบบการเลือกตั้งที่เป็นอยู่เลือกตั้งกี่สิบครั้งก็ต้องชนะ แล้วนำไปแอบอ้างว่ามาจากประชาธิปไตย
ขณะเดียวกัน หากมองในมุมของคนที่ติดตามเหตุการณ์ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องและรู้ทันก็ต้องบอกว่าข้อสรุปของ คอป.ดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่รับรู้กันอยู่แล้ว มีเพียงคนเสื้อแดงเท่านั้นที่ไม่ยอมรับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วนี่เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความไม่เอาไหนของรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่คิดจะปรองดอง คิดว่าเมื่อทำอย่างนั้นแล้วทุกอย่างจะคลี่คลายจบลงง่ายๆ ปล่อยให้ทุกอย่างบานปลายจนเกินเยียวยา เกิดความสูญเสียอย่างน่าเศร้า
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือความจริง เหมือนกับความเห็นพิลึกของบรรดาสื่อที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาแกนนำที่ออกมาขานรับคำสั่งการไต่สวนของศาลอาญากรณีการเสียชีวิตของคนขับแท็กซี่เสื้อแดงคนหนึ่งว่าเป็นการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งที่นี่เพิ่งเริ่มต้นกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น ไม่ใช่คำพิพากษาชี้ขาดคดี แต่กลายเป็นว่าพวกแกนนำกลับนำไปสดุดีกันยกใหญ่ ว่าศาลมีความยุติธรรม แต่หากย้อนกลับไปคนพวกนี้กลับโจมตีให้ร้ายศาลอย่างป่นปี้ หาว่าเป็นเครื่องมืออำมาตย์บ้างละ สองมาตรฐานบ้างละ หากเห็นว่าไม่เป็นคุณตัวเอง
กรณีของ คอป.ก็เช่นเดียวกัน แม้จะได้รับการแต่งตั้งสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่ในยุคของ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีการลงนามสั่งการให้ทำหน้าที่ต่อไป นั่นก็แสดงให้เห็นว่าให้การยอมรับมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อมีผลสรุปเป็นความจริงที่ตัวเองไม่ชอบใจก็โวยวาย
แต่เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์แล้วก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก!!