เกาะกระแส
00 ผลสรุปอย่างเป็นทางการหลังจากทำงานครบกำหนด 2 ปีของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ที่นำโดย คณิต ณ นคร ซึ่งเป็นการตรวจสอบและค้นหาความจริงเหตุการณ์ชุมนุมในช่วงตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค.53 สรุปความสำคัญก็คือการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ และที่สำคัญก็คือการตอกย้ำให้เห็นว่า “ชายชุดดำ” มีอยู่จริงและถืออาวุธสงครามปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง โดยมีการ์ดคนเสื้อแดงบางคนรู้เห็นเป็นใจ และสรุปให้ชัดไปอีกก็คือการเสียชีวิตของทหารและตำรวจ และที่เสียชีวิตนับสิบและบาดเจ็บอีกกว่า 300 ขอย้ำว่า “บาดเจ็บถึงสามร้อยนาย”คนมาจากฝีมือของชายชุดดำที่ยิงมาจากฝั่งผู้ชุมนุมนั่นเอง
00 ผลสรุปยังชี้ค่อนข้างชัดว่าชายชุดดำที่ว่านี้พบว่าบางคนยังใกล้ชิดกับ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อีกด้วย แม้จะไม่มีการฟันธงว่าเขาเกี่ยวข้องกับความรุนแรงดังกล่าวหรือไม่ แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าก่อนเกิดเหตุและระหว่างเกิดเหตุได้มี เสธ.แดงปรากฏตัวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย มันก็พอจะเห็นคำตอบแล้วไม่ใช่หรือ นอกจากนี้หลังเกิดเหตุที่สี่แยกคอกวัว และถนนตะนาวเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 อาวุธสงครามของทหารได้ถูกการ์ดนปช.ปล้นเอาไปนับร้อยกระบอกแต่ได้คืนมาแค่สองสามกระบอกเท่านั้น ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้แหละหากคิดให้ดีก็จะเป็นประเด็นตามมาและเป็น “คำตอบสำคัญ”ว่าการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงในเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค.53 ที่มีผลการพิสูจน์ศพว่า “ทำไมถึงถูกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่”
00 นอกจากนี้ที่น่าสนใจก็คือเหตุการณ์ในวัดปทุมฯก็มีข้อสรุปว่า มีการยิงออกมาจากภายในวัด และปืนเอ็ม 16 กระบอกหนึ่งที่ยึดได้ก็เป็นอาวุธปืนที่คนเสื้อแดงยึดไปจากทหารหลังจากมีการรุมทำร้ายก่อนหน้านั้น ส่วนเรื่องการเผาในห้างเซ็นทรัลก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่คนเสื้อแดงอยู่เต็มพื้นที่โดยที่ทหารยังไม่ได้เข้าไป แค่นี้ก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว
00 อย่างไรก็ดีหากว่าไปแล้วการสรุปของ คอป.ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเพียงตอกย้ำเพิ่มน้ำหนักให้เห็นความจริงมากขึ้นเท่านั้น และมีการพิสูจน์ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ที่รอบด้านมากขึ้น แม้ว่าในคำแถลงจะพยายามพูดให้ออกมากลางๆเบาๆมากที่สุดก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียดไม่ว่าจากการปลุกระดมจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่เข้าใจว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่สั่งการให้คนเสื้อแดงไปที่ศาลากลางจังหวัด และรับลูกจากหัวโจกที่สั่งให้ “เผาแล้วผมรับผิดชอบเอง” ผ่านทางการปลุกระดมบนเวทีทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ วีระ(กานต์) มุสิกพงศ์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นต้น มันก็เห็นภาพชัดอยู่แล้ว ซึ่งหากใครติดตามมาตั้งแต่ต้นก็ย่อมเข้าใจและรับรู้ความจริงแบบนี้มาตั้งนานแล้ว และเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อมองย้อนไปถึงความรุนแรงและความสูญเสียที่เกิดขึ้น !!
00 นึกไม่ถึงว่าเมืองไทยจะมี นายตำรวจอย่าง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง และไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีคนแบบนี้เป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ทำหน้าที่รักษากฎหมาย เพราะไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ไม่รู้ว่าสิ่งไหนควรหรือไม่ควร ไม่รู้หรือว่าสถานะของ ทักษิณ ชินวัตร นั้นไม่ต่างจากโจร หลบหนีหมายจับที่ออกโดยศาลยุติธรรม ถูกศาลสั่งยึดทรัพย์จากคดีทุจริต ใช้อำนาจมิชอบ การเคารพนับถือใครสักคนไม่ผิดหรอก คุณคำรณวิทย์ เหมือนกับเราเคารพนับถือพ่อแม่ผู้มีพระคุณ แต่ในฐานะที่เป็นตำรวจก็ต้องรู้จักแยกแยะให้เหมาะสม อย่าให้เลยเถิด เพราะคุณเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้กับทุกคน แต่วันนี้ "ความแตก"ชาวบ้านเขาจับได้ว่าคุณเลือกข้างแล้ว ถึงปฏิเสธอย่างไรชาวบ้านเขาก็เชื่อแล้วว่าคุณเป็น "ตำรวจใต้ฝ่าเท้า"ของทักษิณ และเป็นลูกน้องในเครือข่ายเท่านั้น คุณหมดความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่แล้ว มีทางเดียวก็คือ "ลาออก"แล้วลงเล่นการเมืองในนามพรรคเพื่อไทย หรือจะไปสมัครผู้ว่าฯกทม.หรือรอสมัครนายกฯอบจ.ปทุมฯตามฝันก็ได้ สำหรับสนามกทม.เวลานี้พรรคเพื่อไทยกำลังเฟ้นหาตัวกันอยู่ไม่ใช่หรือ อย่างน้อยก็ได้ควงคู่กับ "เจ๊ปิ๊ก" ปวีณา หงสกุล เดินหาเสียงกันให้ชัดๆ ได้โปรดไปเสียเถอะ อย่าดันทุรังตะแบงสร้างรอยด่างให้กับวงการสีกากีมากไปกว่านี้อีกเลย ไม่ต้องรอให้เปลี่ยนขั้วอำนาจหรอก เพราะอยู่ไปก็ยิ่งสะอิดสะเอียน ไร้ค่าไร้ความหมายแล้ว !!
