ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การไม่เอาจริงเอาจังของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ปล่อยปละละเลยไม่ขุดรากถอนโคนกลุ่มคนเสื้อแดงให้สิ้นซากหลังจากก่อเหตุความไม่สงบเผาบ้านเผาเมือง เมื่อปี 53 ทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และอดีตผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีวันนี้
วันที่ทั้งสองถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เรียกไปสอบเค้นมาราธอนแบบผิดปกติวิสัย จนกระทั่ง สุเทพ ซัดกลับดีเอสไอว่า งานนี้มีการตั้งธงสนองการเมือง เพื่อพลิกคดีให้ทั้งสองตกเป็นจำเลยในข้อหาพยายามฆ่า ในคดีสลายการชุมนุมที่มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ
นับจากช่วงบ่ายวันที่ 27 ส.ค. ต่อเนื่องจนถึงตีสองในวันที่ 28 ส.ค. เป็นเวลา 12 ชั่วโมงที่พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชน 91 ศพ ในเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค. 53 ร่วมกับอัยการคดีพิเศษ ได้สอบสวนนายสุเทพ ถึงรายละเอียดขั้นตอนการควบคุมและกระชับพื้นที่การชุมนุม
การสอบเค้นที่ใช้เวลายาวนาน วกไปวนมา ลักษณะคำถามที่เหมือนดีเอสไอมีธงอยู่แล้ว รวมทั้งสำนวนคดีบางส่วนที่ดีเอสไอเคยทำไว้หายไป ทำให้นายสุเทพ กังวลและไม่มั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนสำนวนใหม่ พลิกคดีหรือไม่
นายสุเทพ ตั้งข้อสงสัยต่อการสอบสวนของดีเอสไอภายหลังการถูกเรียกสอบว่ามีหลายเรื่องที่ส่อพิรุธ เช่น การนำคลิปจากยูทูบที่ขึ้นข้อความว่าทหารยิงเสื้อแดงตอนกลางวัน ทั้งที่เหตุการณ์ตอนกลางวันของวันที่ 10 เม.ย. 53 เจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้ใช้อาวุธ มีหลักฐานจากสื่อที่ติดตามทำข่าวถ่ายทอดสด การใช้แก๊สน้ำตา ยิงกระสุนยาง ไม่มีการใช้อาวุธสงคราม การเสียชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเวลา 19.00 น. เมื่อมีกลุ่มคนชุดดำติดอาวุธสงครามยิงประชาชนและทหาร
ที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งก็คือ พนักงานสอบสวนดีเอสไอชุดนี้ถามเหมือนพวกกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ถ้าหากมีชายชุดดำแต่ทำไมจับไม่ได้สักคนและคนที่ตายก็ไม่มีใครใส่ชุดดำ ทำให้นายสุเทพ ถึงกับหัวเราะพร้อมกับบอกอย่ามาปฏิเสธว่า ไม่มีคนชุดดำติดอาวุธเพราะสำนวนคดีของดีเอสไอ ก็ระบุว่า จับได้ 8-9 คน และดีเอสไอ ก็ตั้งข้อหาในคดีก่อการร้ายร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการจับกุมและปล่อยให้ประกันตัวออกไป ส่วนพวกที่หลบหนีดีเอสไอก็ไปขอหมายศาลเพื่อออกหมายจับ
ในสำนวนสอบสวนคดีก่อนหน้านี้ของดีเอสไอ ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายชุดนั้นหลายคนยังรับสารภาพว่า ได้รับการฝึกอาวุธจากต่างประเทศ เป็นกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก เอาปืนทราโวยิงใส่โรงแรมดุสิตธานี เอาปืนเอ็ม 79 ไปยิงที่นั่นที่นี่ แต่พนักงานสอบสวนชุดนี้ระบุว่าไม่มีข้อมูลชายชุดดำ
นอกจากนั้น ยังมีเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. จุดที่สวนลุมพินีซึ่งเป็นที่ซ่องสุมกำลังผู้ก่อการร้ายและใช้อาวุธยิงเจ้าหน้าที่และประชาชน จุดนี้เจ้าหน้าที่ทหารอยู่ห่างจากเวทีชุมนุมเกือบ 1 กม. แต่พนักงานสอบสวนดีเอสไอ เอาภาพคนใส่ชุดทหารแต่คลุมหัวไอ้โม่งติดอาวุธมาอ้างเป็นทหาร นายสุเทพ จึงยืนยันไปว่าไม่ใช่ทหาร เพราะทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกคนใส่เครื่องแบบ มีสัญลักษณ์ติดปลอกแขนชัดเจน “ถือว่าเขาซักหนัก อุตลุดไปหมด จะทำให้จากพยานต้องกลายเป็นจำเลยให้ได้”
ไม่นับว่า การสอบสวนนายสุเทพ ยังมีการตั้งคำถามในลักษณะที่โยงถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ว่าประกาศใช้พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังพยายามรีดเค้นนายสุเทพ ให้ตอบว่า นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เข้ามาสั่งในการปฏิบัติการของ ศอฉ.หรือไม่ แต่นายสุเทพ ยืนยันว่า มีการมอบหมายเชิงนโยบาย โดยตนเองเป็นผู้ดูแลและสั่งการลงนามทั้งหมด
ความผิดปกติในการสอบสวนคดีใหม่ของดีเอสไอ ทำให้อดีตผู้อำนวยการ ศอฉ. เชื่อว่า มีความพยายามทำคดีขึ้นมาใหม่ และอาจมีการกระทำเพื่อให้พยานกลับคำให้การ รูปการณ์ที่ออกมาเช่นนี้น่าเป็นห่วง ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะพรรคเพื่อไทย นปช. และกองกำลังติดอาวุธชุดดำล้วนเป็นพวกเดียวกัน มีพฤติกรรมเชื่อมโยงกัน เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนที่เคยเป็นจำเลยในคดีก่อการร้ายกลายมาเป็น ส.ส.หรือรัฐมนตรี ทำให้กังวลใจและยอมรับว่าไม่มั่นใจว่าจะผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้อย่างไร
ขนาดคนระดับนายสุเทพ ยังหวั่นไหวกับความพยายามตั้งประเด็นสอบใหม่ของดีเอสไอซึ่งต้องการยัดข้อหาหนักให้กับอดีตผู้อำนวยการศอฉ. เรื่องนี้ย่อมหนักหนาสาหัสไม่น้อย
ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. โดยใช้เวลานานถึง 7 ชั่วโมง ก็ตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ว่า นายอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ลงนามในคำสั่งใดๆ เหมือนกับนายสุเทพ ยังวางมาดนิ่ง เพราะคาดหมายไว้ล่วงหน้าแล้วว่า เรื่องนี้เป็นความพยายามของฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะร.ต.อ.เฉลิม ที่ต้องการสร้างผลงานให้เข้าตานายใหญ่มาโดยตลอด พร้อมกับส่งเสียงปรามว่า หากมีการกลั่นแกล้งหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจะต้องถูกฟ้องกลับอย่างแน่นอน
การถูกต้อนจนต้องดิ้นรนเอาตัวให้ได้ในขณะนี้ของคู่หู "มาร์ค-เทือก" จะไม่เกิดขึ้น หากนายอภิสิทธิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขณะนั้น และผู้อำนวยการศอฉ. เอาจริงเอาจังในการติดตามเอาคนกระทำผิดมาลงโทษให้สาสมกับที่ทำกับบ้านเมือง เพราะหากฟังตามที่นายสุเทพให้ข้อมูลต่อดีเอสไอ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ใครเป็นผู้บงการ และมีการสอบสวนเชื่อมโยงเอาผิดในข้อหาก่อการร้ายยกโขยงตั้งแต่พ.ต.ท.ทักษิณ ลงมาจนถึงชายชุดดำ
และที่น่าสมเพชที่สุดคือในขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษยื่นคัดค้านการประกันตัวของแกนนำเสื้อแดงในคดีเผาบ้านเผาเมืองอย่างแข็งขัน นายอภิสิทธิ์ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นกลับมีท่าทีจะปรองดองกับระบอบทักษิณ จนในที่สุดผู้ต้องหาในคดีเผาบ้านเผาเมืองก็ได้รับการปล่อยตัวมากระทั่งถึงทุกวันนี้
เชื่อว่า หลายคนคงจำเหตุการณ์ที่ “นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีไปเป็นพยานให้กับนายวีระ หรือ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.จนในที่สุดศาลก็อนุญาตให้มีการประกันตัว
เชื่อว่า หลายคนคงจำได้ดีกับภาพการพบกันระหว่างนายอภิสิทธิ์กับนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ตามต่อท่าทีของนายสุเทพที่ชูรักแร้หนุนสุดหัวใจ กระทั่งเป็นที่มาซึ่งทำให้ อธิบดีดีเอสไอ“นายธาริต เพ็งดิษฐ์” ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย เกิดเปลี่ยนใจกลางอากาศ จากท่าทีเคยแข็งกร้าว เป็นปล่อยวาง ประกาศเลิกคัดค้านประกันตัวแกนนำเสื้อแดง โดยระบุว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลหากคณะรัฐมนตรีมีมติสมานฉันท์ดีเอสไอ ก็โอเค
และหลังจากนั้น แกนนำแดงก็ถูกปล่อยตัวชั่วคราวมาเป็นละลอก ไล่เรื่อยตั้งแต่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ,นายแพทย์เหวง โตจิราการ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง,นายนิสิต สินธุไพร,นายขวัญชัย ไพรพนา,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ฯลฯ
ดังนั้น การที่นายอภิสิทธิ์รวมถึงนายสุเทพตกอยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยเสียขา ถูกรุกไล่จนตัวเองจะต้องกลายเป็นจำเลยในคดีเสียเอง จึงไม่มีถ้อยคำไหนเหมาะสมเสียยิ่งกว่าคำว่า “สมน้ำหน้า” อีกแล้ว
***กองทัพปล่อยให้รัฐบาล-ดีเอสไอ หยามหน้า
ขณะที่คดีที่เชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่มีความคืบหน้าไปมากหลังจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามามีอำนาจ โดยมีการส่งสำนวนให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลถึง 19 คดี แต่สำหรับคดีเจ้าหน้าที่และนายทหารถูกกระทำให้เสียชีวิต กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ถ้อยคำที่ตัดพ้อจาก "นิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม" คู่ชีวิตของพล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมที่สี่แยกคอกวัว ชัดเจนว่า นอกจากคดีจะไม่มีความคืบหน้าแล้ว ยังถูกบิดเบือนอีกต่างหาก ดีเอสไอที่ทำทีขึงขังในตอนแรกๆ ก็เปลี่ยนท่าทีกลับไปกลับมา ที่เหลือเชื่อก็คือคดีนี้ล่วงมาถึง 2 ปีแล้ว แต่รายละเอียดความคืบหน้าของคดีซึ่งดีเอสไอทำราวกับเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2 สัปดาห์นี้เอง
ขนาดคดีของนายทหารระดับพล.อ.ร่มเกล้า ยังเป็นไปถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าหน้าที่และนายทหารคนอื่นๆ ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตที่เกิดจากปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมืองในช่วงชุมนุมทางการเมืองเวลานั้นจะอยู่สภาพเช่นใด
การบาดเจ็บล้มตายของนายทหาร เช่น พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.๒ รอ.ถูกสะเก็ดระเบิด M 79 ขาหัก ๒ ท่อน, พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ร.๑๒ พัน ๒ สะเก็ดระเบิดเข้าสมอง ต้องผ่าตัดเปิดกะโหลก, พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงษ์โสภณ ม.พัน ๓ รอ.ถูกสะเก็ดระเบิด ต้องตัดขาทิ้งทั้ง ๒ ข้าง, ร.ท.เฉลิมพล ลิ่มสกุล กองพันทหารม้าที่ ๓ รอ.บาดเจ็บสาหัส, พลฯ ภูริวัฒน์ ประพันธ์, พลฯ อนุสรณ์ หอมมาลี, สิบโทอนุพงษ์ เมืองอำพัน และพลฯ สิงหา อ่อนทรง เสียชีวิต ฯลฯ คดีของพวกเขาคืบหน้าไปสักกี่มากน้อย ทำไมรัฐบาลและดีเอสไอ ไม่เร่งหาตัวผู้ฆ่าทหารมาดำเนินคดีให้ปรากฏต่อสังคมบ้างว่าไม่ได้สองมาตรฐาน จ้องเล่นงานแต่ทหารกับพรรคฝ่ายค้านเท่านั้น
ที่น่าแปลกยิ่งกว่าแปลกก็คือ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมืองถูกใส่ร้ายให้เจ็บปวดรวดร้าวจากกลุ่มนปช.ว่า ทหารฆ่าประชาชนอยู่ตลอดมา แต่ระดับบิ๊กของกองทัพก็กลับไม่ลุกขึ้นมาปกป้องให้สมศักดิ์ศรีเยี่ยงชายชาติทหาร กลับปล่อยให้นปช.ผลิตวาทกรรมซ้ำซากทหารฆ่าประชาชนจนฝังหัวคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งที่ความจริงแล้ว หากการชุมนุมเป็นไปอย่างสงบปราศจากอาวุธ จะมีทหารที่ไหนลากปืนออกไปยิงประชาชน เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นกรณี10 เม.ย. 53 ก็เห็นอยู่แล้วว่าทหารถูกระเบิดถล่มจนบาดเจ็บและเสียชีวิตจากกลุ่มชายชุดดำที่นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ประกาศบนเวทีบอกสาวกนปช. ว่า "มีกองกำลังมาช่วยพวกเราแล้ว"
ไม่เพียงไม่ปกป้องศักดิ์ศรีอย่างแข็งขัน กองทัพบกภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ยังส่งนายทหารชั้นประทวน 2 นาย คือ ส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ และ ส.อ.คชารัตน์ เนียมรอด ทหารสังกัด ม.พัน 5 สองนายทหารประจำจุดซุ่มยิงเข้าให้ปากคำกับดีเอสไออีกด้วย
ถึงจะมีการปล่อยข่าวลวงว่า การเรียกสอบครั้งนี้เป้าหมายที่แท้จริงของดีเอสไอไม่ได้อยู่ที่นายทหารประจำจุดซุ่มยิง แต่อยู่ที่หาพยานหลักฐานเพื่อเชื่อมโยงไปยังการออกคำสั่งของศอฉ. คือ มาร์คกับเทพเทือก ซึ่งดีเอสไอ อ้างว่าเอกสารคำสั่งของศอฉ.บางคำสั่งที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อไม่ได้ส่งมอบให้กับดีเอสไอ ทั้งที่ก่อนจะมีการออกคำสั่งแนวปฏิบัติในการสลายการชุมนุมนั้น ศอฉ.ที่มีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ นั่งอยู่ด้วยก็รับทราบข้อเท็จจริงว่าจะมีการดำเนินการจากเบาไปหาหนักอย่างไรและสถานการณ์เช่นใดที่ต้องใช้นายทหารซุ่มยิง
ดังนั้น ถึงจะบอกว่า กองทัพไม่ใช่เป้าหมาย แต่การกระทำของดีเอสไอที่เรียกสอบนายทหารซุ่มยิงก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องการหยามหน้ากองทัพชัดๆ เอาแค่การจงใจปล่อยให้สองนายทหารถูกรุมล้อมถ่ายภาพเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนไปทั่วประเทศและทั่วโลก สาธุชนทั่วไปก็รู้ว่าดีเอสไอคิดอะไรอยู่ แล้วควรหรือไม่ที่บิ๊กตู่จะปล่อยให้ลูกน้องเดินเข้าสู่กับดักของรัฐบาลกับดีเอสไอ
หรือว่าเวลานี้ บิ๊กตู่เองก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับอธิบดีดีเอสไอ จนสังคมสงสัยว่า วันนี้เขากลายเป็นสมาชิกชมรม “ทหารแตงโม”ไปทั้งตัวและหัวใจหรือไม่ เพราะล่าสุด ผบ.ทบ. เปิดไฟเขียวโร่พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่หากดีเอสไอต้องการจะเรียกสอบนายทหารที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เพิ่มเติม และส่วนตัวพล.อ.ประยุทธ์ หากถูกเรียกสอบก็พร้อมให้ความร่วมมือหากไม่ติดภารกิจสำคัญ หากไปไม่ได้ก็จะมอบหมายให้คนอื่นไปแทน
การงัดคดีสลายการชุมนุมขึ้นมาเป็นเชือกบ่วงมัดคอทหาร-มาร์ค-เทพเทือก พร้อมกระตุกทันทีหากยื่นข้อต่อรองแล้วไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งว่ากันว่าคือการอย่าขวางนิรโทษกรรมล้างผิดให้กับนายใหญ่นั่นเอง แล้วมาร์คกับตู่จะปล่อยให้เรื่องเลวร้ายกลับตาลปัตรจากผิดเป็นถูกจากถูกเป็นผิดเกิดขึ้น และปล่อยให้เพื่อไทยกับเสื้อแดงหยามเหยียดต่อไปอย่างนั้นหรือ?
หมายเหตุ - 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญร่วมพูดคุยและแสดงความคิดกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend