xs
xsm
sm
md
lg

"ประยุทธ์"พาลสื่อทำขัดแย้ง ชี้ข้อมูลสไนเปอร์ไม่ใช่ความลับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- "ผบ.ทบ." คำรามลั่น ยันเอกสาร "สไนเปอร์" ที่หลุดออกมา ไม่ใช่เอกสารลับ ติงสื่อเสนออะไร ควรระมัดระวัง ถ้าวันนี้ถามตน-อีกวันไปถามอีกข้าง เสี้ยมอย่างนี้ก็ไม่มีวันจบ แต่ถ้าอยากให้เป็นเรื่อง ก็เอาออกมาเยอะๆ ขณะที่ "มาร์ค-เทือก" ก้นร้อน ร่อน จม.เลื่อนให้ปากคำอีก 15 วัน อ้างทนายโจทก์ส่งหมายเรียกกระชั้นชิด เผยมีคดีรุมตอมเพียบ แต่มั่นใจชนะด้วยความจริง ขู่ฟ้อง "ดีเอสไอ" หากบิดเบือนข้อมูล เอาใจรัฐบาล "ธาริต"ยันไม่เปลี่ยนสี ไม่เคยพูดเรื่องสไนเปอร์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณี เอกสารการใช้สไนเปอร์ ในการขอกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) หลุดออกมาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ "ประชาไท" ว่า เอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสารลับ แต่ก็อยากให้สื่อระมัดระวังในการนำเสนอในสิ่งที่จะทำให้เป็นเรื่อง แต่ถ้าอยากให้เป็นเรื่อง ก็เอาออกมาเยอะๆ ไม่เป็นไร

เมื่อถามว่า การนำเอกสารดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ถือว่าเป็นการสร้างความกดดันให้ ผบ.ทบ. หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ได้มากดดันอะไรตนทั้งสิ้น แต่อยู่ที่อะไรควรไม่ควร ไม่อยากจะพูดแล้ว เบื่อ

เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่ากลุ่มเสื้อแดง พยายามที่จะระรานมาถึงตัว ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่กลัว ไม่เกรงใครทั้งนั้น เพราะเป็นเรื่องของกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ก็อยากขอร้องสื่อว่า อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องทำให้เกิดความขัดแย้ง ช่วยเพลาๆ ลงมานิดหนึ่ง ช่วยลดระดับลง ถ้าขุดคุ้ยกันไปทุกเรื่อง ทุกวัน ไม่มีวันจะยุติลงได้สักข้าง และไม่จบ ปล่อยให้กฎหมายดำเนินการไป ถ้ามาถามตนในวันนี้ อีกวันก็ไปถามอีกข้างหนึ่ง แล้วเอาสองข้างมาพิจารณาร่วมกัน ก็ไม่มีวันไปด้วยกันได้ เพราะฉะนั้นอย่ามาหาเลยว่าจะหาทางสงบ สันติ ได้เวลาไหน ไม่มีทาง อยู่ที่สื่อนั้นแหละ

เมื่อถามว่า เตรียมรับสถานการณ์ กรณีที่มีการตัดสินว่าใช้ความรุนแรงเกินไป พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มี ไม่รุนแรง สถานการณ์ปกติ

** "เทือก"ขู่ฟ้องดีเอสไอ หากบิดเบือน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และฝ่ายกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ขณะนี้ตนมีคดีความอยู่ที่ศาลหลายคดี เช่น มีหมายศาลให้ไปเป็นพยานในคดีที่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุม ชื่อนายอำพัน คำกอง คนขับแท๊กซี่ ชาวยโสธร ที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าคอนโดมีเนียม ใกล้สถานีรถไฟฟ้าราชปรารภ เมื่อ 15 พ.ค. 53 ซึ่งเป็นหนึ่งใน 13 ผู้เสียชีวิตที่กำลังไต่สวนอยู่ในชั้นศาล โดยให้ตนไปให้ปากคำ ในวันที่ 21 ส.ค.นี้ แต่ตนได้ทำหนังสือขอเลื่อนไปอีก 15 วัน เพื่อเตรียมข้อมูล เนื่องจากเพิ่งได้รับหมายเรียก วันที่ 15-16 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการส่งหมายเรียกที่กระชันชิด เพราะทนายของผู้เสียหายส่งหมายมาทางไปรษณีย์ แต่ก่อนหน้านั้นมีการออกข่าวไปหลายวันแล้ว ซึ่งขั้นตอนการส่งหมายเรียก ตนก็งงเหมือนกัน เพราะปกติศาลจะเป็นผู้ส่งหมายเรียกโดยไม่ต้องให้ทนายโจทก์ เป็นผู้ส่ง

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า หมายเรียกดังกล่าว เป็นการเรียกให้ตนเป็นพยานฝ่ายทนายโจทก์ แต่กลับมีความพยายามเสนอข่าวให้ดูเหมือนว่าตนเป็นจำเลย ซึ่งในคดีนี้นายอภิสิทธิ์ ก็ได้รับหมายเหมือนตนเช่นกัน และได้ส่งหนังสือเลื่อนการให้ปากคำเหมือนกันด้วย แต่ตนไม่ได้คิดว่าจะมีนัยยะอะไร คอยทำใจให้เกลี้ยงๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเรียกไปให้การด้วยนัยยะอะไรก็แล้วแต่ ทั้งพยานโจทก์ หรือเป็นโจทก์เอง เราก็จะพูดแต่ในสิ่งที่เรารู้ เห็น และปฏิบัติ

"เรื่องนี้ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ จะพูดอะไรก็พูดไป แต่ผมยืนหยัดที่จะต่อสู้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง โดยไม่ได้หารือกับอดีต ศอฉ. รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ด้วย เพราะรัฐบาล และร.ต.อ.เฉลิม มีเป้าหมายคือผม และนายอภิสิทธิ์ เท่านั้น จึงไม่ต้องเป็นห่วงกรรมการศอฉ.คนอื่น รวมถึงนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะเขาย้ายข้างไปแล้ว ส่วนเรื่องนี้จะส่งผลทางจิตวิทยาต่อมวลชนอย่างไรนั้น ถือเป็นเรื่องที่ต้องแยกออกจากกัน แต่ผมเป็นห่วงประชาชน เพราะรัฐบาลพูดข้างเดียว ร.ต.อ.เฉลิม ก็พ่นอยู่ข้างเดียว ใส่ร้ายป้ายสีทุกวัน ขอเรียกร้องประชาชนให้เปิดใจฟังเรื่องนี้ เพราะเขาพยายามใส่ร้ายทหาร เพื่อโยนความผิดให้กับผมและนายอภิสิทธิ์ ทั้งที่ผม และนายอภิสิทธิ์ ไม่เคยสั่งการให้มีการฆ่าประชาชน แต่ผมมั่นใจว่า จะสู้ได้ด้วยความจริง" นายสุเทพกล่าว

เมื่อถามว่า มักจะมีคำขู่ว่า จะเอานายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เข้าคุกให้ได้ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่กลัว ถ้าต้องติดคุกเพราะเราตั้งใจดีต่อบ้านเมือง ก็ให้มันรู้ไป แต่ก็ยอมรับว่า ตอนนี้กำลังเข้าสู่การเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ โดยคนชนะ แต่ไม่มีใครลบความจริงได้ เพราะประชาชนเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งประเทศ มีหลักฐานมากมาย แต่ขณะนี้มีความพยายามไม่พูดถึงชายชุดดำ แต่เป็นเรื่องที่เราต้องพูด ถ้าดีเอสไอ จงใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อเอาใจรัฐบาลและร.ต.อ.เฉลิม ตนจะดำเนินคดีกับ ดีเอสไอ

** "มาร์ค"พร้อมให้ปากคำตามความจริง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีคดีที่เรียกให้ตนไปให้ปากคำ คือ คดีที่ดีเอสไอ เชิญไปให้ถ้อยคำเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบ ช่วงปี 2553 ซึ่งอยู่ในกลุ่มคดีที่ดีเอสไอ รับผิดชอบอยู่ จึงต้องการสอบถามตนเกี่ยวกับการออกคำสั่งในช่วงเกิดเหตุการณ์

ทั้งนี้คิดว่าเป็นดุลพินิจของดีเอสไอ ที่จะเชิญใครไปให้ถ้อยคำ ซึ่งในช่วงเหตุการณ์ตนก็มีคำสั่งแต่งตั้ง ศอฉ. เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็เป็นส่วนหนึ่งของ ศอฉ. จึงน่าจะทราบดีถึงการทำงานของ ศอฉ. เพราะเป็นกรรมการ ศอฉ. อยู่ด้วย ส่วนที่อ้างว่าเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนข้าราชการพลเรือน ไม่ได้เกี่ยวโยงกับสายบังคับบัญชานั้น นายธาริต น่าจะทราบดีว่าการประชุม ศอฉ. มีโครงสร้างตามกฎหมายรองรับ ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะรับไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรที่ ดีเอสไอ มารุกคืบในช่วงเวลานี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าคดีต่างๆ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จอย่างเที่ยงตรง ถูกต้อง เพราะก่อนหน้านี้ทางดีเอสไอ เคยส่งหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไปที่อัยการ และส่งฟ้องไปแล้ว ทั้งคดีก่อการรายและคดีอื่นๆ จึงต้องมีความสม่ำเสมอ และตรงไปตรงมาในการทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ

แต่ที่ตนแปลกใจคือ มีการเรียกคนที่เคยบริจาคเงินน้ำท่วม ผ่านพรรคให้รัฐบาล 100 บาท หรือต่ำกว่านั้น ถูกเรียกไปให้ปากคำ และ ดีเอสไอ รับเรื่องไว้ดำเนินคดี ทั้งที่ กกต.ที่มีหน้าที่โดยตรงก็สอบสวนเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งคงต้องดูข้อสรุปว่า ดีเอสไอ ให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ แต่ตนเห็นว่ากรณีนี้ไม่เหมาะสม และมองไม่เห็นเหตุผลที่จะนำเรื่องคดีการบริจาคเงินมาเป็นคดีพิเศษ แต่เป็นการหวังผลทางการเมืองมากกว่า ทั้งนี้ เหตุการณ์ในช่วงที่เกิดความไม่สงบนั้น ข้อเท็จจริงจะต้องสอดคล้องกัน ทั้งการหาข้อเท็จจริงในส่วนการกระทำเจ้าหน้าที่รัฐ และคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งต้องดูว่าจะมีการสรุปคดีออกมาอย่างไร ตนไม่ติดใจที่มีการเรียกให้ไปให้ถ้อยคำในช่วงนี้ ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ทำความจริงให้ปรากฏ และพร้อมให้ความร่วมมือทุกประการ

"ผมไม่เคยใช้วิธีข่มขู่คุกคาม ไม่ว่าจะวันที่มีอำนาจ หรือไม่มีอำนาจ เราให้การตามข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่ผมอยากย้ำคือ ลักษณะการให้ข่าว และลักษณะที่มีกระบวนการของเจ้าหน้าที่ ฝ่ายคุ่ความ หรือสื่อบางส่วน กระทำในลักษณะชี้นำสังคมให้เกิดความเข้าใจผิด สิ่งเหล่านี้ไม่เหมาะสม เพราะในวันที่พวกเราเป็นรัฐบาลไม่เคยใช้วิธีการเหล่านี้ ไม่เคยกดดันเจ้าหน้าที่ในการทำคดี แต่เราระมัดระวังในการให้ข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและนำไปสู่ความปรองดอง เพราะรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะชี้นำ แต่ที่ผ่านมาถ้ามีผลสรุปออกมาในทางที่กลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจก็จะมีการกดดันอยู่ตลอดเวลา ผมยืนยันว่า ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะมีใครกลั่นแกล้ง หรือปั้นพยานหลักฐานเท็จอย่างไร ในที่สุดจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

** ซัดดีเอสไออย่าบิดเบือนคดี"ร่มเกล้า"

เมื่อถามว่า มองอย่างไร ที่ผู้จะทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏต่อศาล คือ ดีเอสไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานตั้งต้นของกระบวนการยุติธรรม มีการเปลี่ยนท่าทีไปแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ดีเอสไอต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง และขอเตือนเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมว่า อย่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือไปตอบสนองความต้องการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะสุดท้ายเจ้าหน้าที่คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ และเห็นว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ ดีเอสไอ ระบุว่า หาผู้กระทำความผิดไม่ได้ ต่างจากเดิมที่เคยมีการระบุถึงผู้กระทำความผิดชัดเจนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ เพราะดีเอสไอ เคยทำสำนวนไว้กว่า 10 คดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่า มีคนติดอาวุธ และอยู่ในฝ่ายผู้ชุมนุมที่ทำให้เกิดความสูญเสีย

ส่วนกรณีที่มีหมายศาลเรียกให้เป็นพยานในคดีที่ศาลไต่สวนการเสียชีวิต ว่าอาจเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งตนเพิ่งจะได้เห็นหมายศาลเมื่อเช้านี้ (20 ส.ค.55) เนื่องจากเอกสารที่ส่งมาไม่ได้ประทับตราหมายศาล แต่ส่งโดยทนายผู้เสียหาย ประกอบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็อยู่ที่สภาเพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ตลอด จึงทำหนังสือขอเลื่อนไป 2 สัปดาห์

** จี้กก.สิทธิฯ เปิดผลสอบเหตุจลาจลปี 53

น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลการสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ความไม่สงบจากการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ในช่วงปี52-53 ต่อสาธารณชน เนื่องจากมีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 9 ชุด ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย

อย่างไรก็ตาม ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในกรรมการสิทธิฯ ทำให้ยังไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชน ทั้งนี้มีการสรุปผลจากอนุกรรมการชุดที่ศึกษากรณีเหตุการณ์ 10 เม.ย.53 ที่สี่แยกคอกวัว ซึ่งมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด มีข้อสรุปว่า ผู้ชุมนุมมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น ส่วนการดำเนินการของรัฐบาลเป็นการค่อยๆ รุกคืบปฏิบัติหน้าที่ตามหลักสากล จึงเป็นการกระทำภายใต้อำนาจที่กฎหมายมอบให้ ไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ เหตุระเบิดในที่ชุมนุมมีการวางแผนฆาตกรรม พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และทหารรายอื่น จึงเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายอาญา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งข้อมูลนี้สอดคล้องกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่หลังเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีการจับกุมตัวชายชุดดำได้จำนวนหนึ่ง ขณะที่บางคนยังหลบหนีการจับกุมอยู่ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งสิ้น

นอกจากนี้ยังมีภาพจากกล้องวงจรปิด ที่พบว่ามีรถตู้ขับมาส่งชายชุดดำไปยังที่เกิดเหตุด้วย อีกทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็ระบุชัด ถึงการสอบสวนในช่วงเวลาดังกล่าวว่า รายละเอียดเป็นอย่างไร โดยทั้งหมดอยู่ในกระบวนการยุติธรรม จึงขอเรียกร้องให้คนที่ทำหน้าที่ต้องเอาข้อเท็จจริงออกมา ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงตามอำนาจของรัฐบาล นักการเมืองมีสิทธิออกนโยบาย แต่ไม่มีสิทธิแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม จึงขอให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าโดยอิสระ ไม่ถูกแทรกแซง และให้มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างถึงที่สุด พร้อมกับเรียกร้องกรรมการสิทธิมนุษยชนที่ไม่ควรนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ แต่ต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดออกมา เพราะทราบว่า ประธานอนุฯ แต่ละชุดต้องการให้ข้อมูลต่อสาธารณชน แต่กรรมการสิทธิฯ ชุดปัจจุบันไม่มีนโยบายให้ทำเช่นนั้น จึงขอตั้งข้อสงสัยว่า มีกรรมาการสิทธิฯ รับงานใครมา หรือรับคำขอร้องจากใครหรือไม่ ถึงได้ไม่มีการแถลงผลการสืบสวนสอบสวนของอนุกรรมการที่กรรมการสิทธิฯ ตั้งขึ้นมา

** "ธาริต"อ้างไม่เคยพูดเรื่องสไนเปอร์

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวถึง การประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้า คดีผู้เสียชีวิต 91 ศพ จากเหตุการณ์การชุมนุม เมื่อปี 53 ว่า มีการประชุม 3 หน่วยงาน คือ ดีเอสไอ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อคลี่คลายเรื่องการเสียชีวิต และจะแถลงความคืบหน้าเป็นระยะ โดยตนจะแถลงเพียงผู้เดียว เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข้อมูล ขณะที่ การสอบสวนพยาน มีการดำเนินหลายมิติ อาทิ สื่อมวลชน ผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมให้ครบมิติ และสรุปสำนวนให้ความจริงคลี่คลาย

ทั้งนี้ นายธาริต ยืนยันว่า ตนไม่ได้เปลี่ยนสี เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล เพราะเมื่อครั้งที่ตนร่วมเป็นคณะทำงานของ ศอฉ. ก็เห็นด้วยกับการดำเนินการของ ศอฉ. ว่า มีความเหมาะสม และสามารถนำความสงบกลับสู่สังคม

นอกจากนี้ นายธาริต ยังยืนยันว่า ไม่เคยให้สัมภาษณ์เรื่องอาวุธ ที่ใช้ยิงผู้ชุมนุม หรือ สไนเปอร์ รวมทั้ง กองทัพ ก็ยืนยันว่า อาวุธที่ทหารใช้เป็นเพียงอาวุธประจำกายติดลำกล้อง เท่านั้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น