“กองทัพบก” โต้ “ดีเอสไอ” ยันทหารในคลิปภาพไม่ใช่สไนเปอร์ แต่ถืออาวุธประจำกายเอ็ม 16 อยู่ในท่าตรวจการณ์ด้วยกล้องที่ติดอยู่กับปืน แฉส่งหลักฐานชายชุดดำร่วมแก๊งแดงถล่มทหาร ทั้งปืนเอ็ม 16 กระสุนนับพันนัดไปให้แต่กลับไม่นำไปประกอบสำนวนจนศาลยกฟ้อง ไล่ “ประเวศน์” ไปถาม “ธาริต” เหตุสลายแดง เพราะอยู่ใน ศอฉ. รู้ดีทุกขั้นตอน ระบุต้องให้ความเป็นธรรมทหาร พร้อมกระตุ้นจิตสำนึก ขรก.พึงสำเหนียกต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนได้
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แถลงถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน ออกมาเปิดเผยผลสอบเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 โดยระบุว่าจะเรียกสอบมือปืนสไนเปอร์ตามคลิปที่ได้มาว่า ขอชี้แจงกรณีที่หัวหน้าชุดสอบสวนระบุว่าจะเรียกทหารสไนเปอร์ในภาพคลิปไปสอบสวนนั้น ยืนยันว่า คลิปดังกล่าวเป็นภาพชุดของพลระวังป้องกันถืออาวุธประจำกายปืนเอ็ม 16 อยู่ในท่าตรวจการณ์ด้วยกล้องที่ติดอยู่กับตัวปืน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตามท้องตลาด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการมองเห็น ไม่ใช่อาวุธสไนเปอร์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม กองทัพบกขอบคุณนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ที่เข้าใจความรู้สึกของกองทัพ แต่ในส่วน พ.ต.อ.ประเวศน์ ที่ระบุว่าที่ผ่านมากองทัพไม่ได้ส่งข้อมูลหลักฐานที่ทหารอ้างว่ามีชายชุดดำทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร และฆ่าประชาชน ทั้งนี้ ภายหลังจากที่เหตุการณ์สิ้นสุดลง ทางกองทัพได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวข้องส่งมอบให้พนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว เช่น กรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารถืออาวุธประจำกายที่เรียกว่า “พลระวังป้องกัน” ซึ่งเหตุการณ์ขณะนั้นชุลมุนมีทั้งชายชุดดำ และผู้ไม่หวังดี ปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมตลอด และใช้อาวุธยิงไปในสถานที่ต่างๆ สื่อมวลชนก็รับทราบ ขณะนั้นเราอธิบายชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่เป็นพลระวังป้องกัน ไม่ได้มีจุดประสงค์ดักซุ่มยิง หรือทำร้ายใคร แต่มีหน้าที่ตรวจการณ์ป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีทำร้ายเจ้าหน้าที่ และประชาชน เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จึงมีความจำเป็นต้องใช้อาวุธ
พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ส่วนหลักฐานที่กองทัพบกได้ส่งให้พนักงานสอบสวน เช่น เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 ที่กองทัพบกนำเฮลิคอปเตอร์ไปโปรยใบปลิวเพื่อยุติการชุมนุม ขณะนั้นได้มีการยิงอาวุธขึ้นไปบน ฮ. เมื่อเหตุการณ์จบลง เราได้มีการจับกุมผู้กระทำความผิด 3 ราย ยึดของกลางได้จำนวนมาก ทั้งอาวุธสงครามปืนเอ็ม 16 ปืนอาก้า กระสุนปืนความเร็วสูงเป็นพันนัด ซึ่งเราได้ส่งหลักฐานให้พนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่ปรากฏว่า การพิจารณาของศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีหลักฐานประกอบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายต้องการได้รับความเป็นธรรมเช่นเดียวกัน จึงอยากถามว่า เอกสารและหลักฐานที่ส่งมอบให้พนักงานสอบสวนหายไปไหน เหตุใดจึงไม่ได้นำมาประกอบหลักฐานในการพิพากษา
ทั้งนี้ ไม่อยากระบุว่าเป็นความผิดของใคร เพียงแต่ต้องการตั้งข้อสังเกตว่าผู้เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีความระบุว่าทหารไม่ได้นำหลักฐานไปให้เลย แต่ความจริงเราได้ให้ไปแล้ว ซึ่งสมัยนั้นนายธาริตก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ร่วมประชุมทุกครั้ง รับรู้เหตุการณ์ และร่วมกันตกลงใจ และตัดสินใจมาโดยตลอด ซึ่งน่าจะทราบเหตุการณ์ดีว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำอะไรลงไปบ้าง
“ส่วนกรณีที่ของชายชุดดำที่นั่งรถตู้สีขาวเข้ามาที่บริเวณสี่แยกคอกวัวและใช้อาวุธสงครามยิงใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ จนทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากและเสียชีวิต โดยกองทัพให้รายละเอียด ข้อมูลทั้งหมดต่อพนักงานสอบสวนไปแล้ว ทั้งทะเบียนรถ ชื่อเจ้าของรถ เชื่อว่าน่าจะเชื่อมโยงหาผู้กระทำความผิดได้ แต่เรื่องกลับเงียบหายไปอีก กองทัพบกหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พนักงานสอบสวนจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่กองทัพบกส่งไปให้ เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และหวังว่าคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปี 53 ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้ถูกกล่าวหา และเจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ ให้มีความคืบหน้าในลักษณะใกล้เคียงกัน อย่าเน้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนทำให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่เกิดความไม่สบายใจ เพราะคดีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้ถูกกระทำไม่คืบหน้า แต่คดีที่เจ้าหน้าที่ตกเป็นผู้ต้องหากลับคืบหน้า”
พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า กองทัพไม่อยากมีปัญหากับทุกฝ่าย แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีความได้ให้ข้อมูลต่อสังคมในรายละเอียดเนื้อหาสำนวนการสอบสวน ทั้งที่กระบวนการไต่สวนทั้งหลายยังไม่จบ ถามว่าสามารถทำได้หรือไม่ และหัวหน้าของท่านเองก็เป็นหนึ่งใน ศอฉ. ท่านได้สอบถามข้อมูลจากนายธาริตหรือไม่ ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าไม่อยากให้ทหารไม่สบายใจนั้น ตนต้องฝากขอบคุณ ร.ต.อ.เฉลิมที่เข้าใจกองทัพ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทัพไม่เคยออกมาชี้แจงอะไรก่อน หรือกวนน้ำให้ขุ่น อย่างไรก็ตาม กองทัพบกไม่ได้รู้สึกเสียเปรียบ หรือต้องการได้เปรียบใคร เราไม่ต้องการทำร้ายประชาชน แต่วันนี้ผู้เกี่ยวข้องดูเหมือนจะเร่งรัดคดีทางด้านหนึ่ง และไม่คืบหน้าอีกด้านหนึ่ง ปัจจุบันทหารที่บาดเจ็บและตายจากเหตุการณ์การชุมนุมดังกล่าวก็อยากได้รับความยุติธรรมเช่นเดียวกับทุกฝ่าย ถ้าเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในรูปคดีมีความมั่นคง และยุติธรรมตามหลักการ ก็ไม่น่ากังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนขั้วทางการเมือง ทั้งนี้เรามั่นใจในกระบวนการ และในหน่วยงานทั้งหลายมีจรรยาบรรณ เพราะเป็นข้าราชการ ทุกคนได้เห็นข้อความตัวหนังสือที่ติดไว้ในรถราชการที่ระบุว่า ข้าราชการต้องเป็นคนดี คนเก่งของบ้านเมือง และเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้ ถ้าหน่วยงานได้สำเหนียกเรื่องนี้ก็เชื่อมั่นว่าสังคมน่าจะไปต่อได้