xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ถวิล ไม่เปลี่ยนสี”สวนกระแสแดง โต้ข้อหา “ทหารฆ่าประชาชน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายถวิล เปลี่ยนศรี
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-วาทกรรม “ทหารฆ่าประชาชน”จากกรณีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ถูกตีปี๊บจากฝ่ายบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาตลอด ช่วงเดือนที่ผ่านมา เพื่อบีบให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่แผนปรองดอง อันจะนำไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรม

ทั้งกรณีการออกมาแถลงข่าวอย่างถี่ยิบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถึงความคืบหน้าของคดี “98 ศพ” ถึงขั้นระบุว่าจะเรียกมือยิง “สไนเปอร์” มาสอบสวน เพื่อสืบหาตัวการผู้สั่งยิง

เช่นเดียวกับฝ่ายตำรวจ ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น.เป็นหัวหน้า นำตำรวจ 50 นายไปร่วมสอบสวนคดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงกับดีเอสไอ ซึ่ง พล.ต.ต.อนุชัย ก็แถลงข่าวคืบหน้าของคดีอย่างถี่ยิบเช่นกัน โดยเน้นไปที่คดีที่สันนิษฐานว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ โดยมีแกนนำคนเสื้อแดงนำไปตีปี๊บขยายผล

ขณะที่คดีที่ฝ่ายทหารและประชาชนทั่วไปเป็นฝ่ายถูกกระทำถึงขั้นเสียชีวิตและบาดเจ็บ กลับไม่มีความหน้าในกระบวนการยุติธรรมแม้แต่น้อย

ส่วนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปจากที่เคยพูดเสียงดังฟังชัดในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าชายชุดดำที่อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นฝ่ายยิงใส่เจ้าหน้าที่ มาวันนี้กลับไม่พูดถึงอีกเลย หันไปพูดแต่คดีการตายของคนเสื้อแดงเท่านั้น เพื่อโยงความผิดไปยังผู้สั่งการ ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย แถมยังโบ้ยว่า นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่งคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) รู้ดีว่าใครสั่งยิง

นี่คือสิ่งที่ นายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ไม่อาจจะทนได้ จึงถือโอกาสเปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในช่วงการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา

นายถวิลนั้น เคยถูก น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี สั่งย้ายจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพื่อหาที่นั่งว่างให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ซึ่งถูกย้ายออกจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อหลีกทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ญาติใกล้ชิดของฝ่ายอดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นมานั่งเก้าอี้แทน

การแถลงข่าวเที่ยวนี้ นายถวิลสวนออกไปตรงๆ ว่า กรณีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงกำลังถูกบิดเบือนให้กลับตาลปัตร ข้อเท็จจริงในเวลานั้นเป็นเรื่องถูกต้องชอบธรรม แต่พอมาอีกเวลาหนึ่งกลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จากขาวเป็นดำ เวลาผ่านมาไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนไป

นายถวิลระบุว่าเหตุการณ์ปี 2553 เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ออกมารักษาความสงบ และศาลแพ่งก็มีการวินิจฉัยว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้

“ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ไม่มีอะไรทำแล้วคว้าอาวุธมาไล่ฆ่าประชาชน อย่างที่มีความพยายามจะกล่าวหากัน ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ออกไปจะเป็นเรื่องที่แปลก เพราะตอนนั้นต้องรักษาความสงบให้ได้ และระงับการชุมนุมที่ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งการออกของเจ้าหน้าที่ ผมยืนยันว่าทำไปด้วยความรู้สำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี”นายถวิลกล่าวยืนยัน และว่า เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ควรได้รับคำชมมากกว่าคำด่า หรือการหาว่าเขาไปฆ่าคน เราควรดำเนินการตามยุติธรรมมากกว่าในการไปค้นหาความจริง ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่ามีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธ เอาสไนเปอร์ออกไปไล่ฆ่าคน ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ เพราะคำสั่งที่ออกไปเป็นการพิจารณาที่รอบคอบแล้ว

ส่วนที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในการณ์จำนวนมากนั้น นายถวิลกล่าวว่า ในจำนวนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจจำนวนมาก เหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว หรือเกิดเพราะเจ้าหน้าที่ลุยปราบปรามสลายการชุมนุม ส่วนใหญ่เป็นการยิงเจ้าหน้าที่ และเหตุการณ์กระชับวงล้อม ซึ่งเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค.2553 นั้นเจ้าหน้าที่ไม่ได้บุกเข้าไป เพียงแต่ไปตั้งกำลังเพื่อปิดล้อม เจตนาที่พูดกันใน ศอฉ.คือต้องการให้สลายการชุมนุมเอง โดยไม่มีผู้เข้าไปร่วมชุมนุมใหม่ ให้ผู้ชุมนุมเก่าเดินทางกลับภูมิลำเนา จึงไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ตะลุยเข้าไปยิง

ส่วนการทำงานใน ศอฉ.นายถวิลกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นมอบให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.และเป็นหัวหน้าผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจะมีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการ รวมถึงนายธาริตด้วย ส่วนตนเป็นเลขานุการตามกฎหมาย

นายธาริตก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการประชุม และเป็นคนที่เสนอเรื่องที่มีประโยชน์ เมื่อประชุมเสร็จก็จะมอบให้หัวหน้าออกแผนปฏิบัติ แผนดังกล่าวเรียกว่าคำสั่งยุทธการ โดยทุกครั้งจะคำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน แต่การปฏิบัติการเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ใช่การชุมนุมที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีการใช้อาวุธ จะเห็นว่าช่วงกระชับวงล้อม 18-20 พ.ค.มีการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่

เรื่องคำสั่ง นายถวิลยืนยันว่า ได้ยึดกฎหมายและระเบียบราชการเป็นหลัก กำชับหัวหน้าผู้ปฏิบัติการตลอด ให้ระวังความปลอดภัยของประชาชนมากที่สุด เพ่งเล็งไปที่ผู้ใช้อาวุธและต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เป็นหลัก

ส่วนคำสั่งที่รั่วไหลออกมาทางสื่อ นายถวิลกล่าวว่า ยังไม่เห็นว่ามีคำสั่งไหนลุแก่อำนาจหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไปฆ่าประชาชน

คำสั่งต่างๆ ไม่ใช่เรื่องของความลับ แต่การที่มีแตงโม มะเขือเทศ ส้มโอ อยู่ด้วย ฉะนั้นการสั่งการไม่ได้มีการสั่งการที่ชัดเจน แต่ตนยืนยันว่ามีการตกลงกันในเชิงนโยบาย กรรมการ ศอฉ.ทุกคนรับทราบก่อนจะออกเป็นแผนปฏิบัติการ

กรณีคนชุดดำที่ไปปรากฏตัวในกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น นายถวิลกล่าวว่า เรื่องเหล่านี้ถูกกระแสทำให้ไม่ปรากฏขึ้นมา ความจริงมีการดำเนินคดีต่อกลุ่มที่ใช้อาวุธและกลุ่มชายชุดดำ มีการจับกุมดำเนินคดี แต่มีการประกันตัวไปเกือบทั้งหมด ขณะนี้มันมีกระแสอย่างอื่นเข้ามากลบ

ใครเผาราชประสงค์ ชายชุดดำถูกดำเนินคดีหรือไม่ มันมีการจับกุม เพราะระหว่างที่ทำงานกันมา ตำรวจและดีเอสไอ มีการรายงานเข้ามาว่ามีการจับกุม ควบคุมตัวไว้แล้ว จนกระทั่งตนถูกต่อว่า และไปยืนยันนายธาริตว่าจากการสอบสวนทราบข่าวว่ามีการไปฝึกอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้าน

เรื่องแบบนี้ถูกกลบ ถ้าบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ ความจริงก็ไม่เป็นความจริง ความจริงเวลาหนึ่ง กลายเป็นความเท็จเวลาหนึ่ง ถ้าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ความจริงก็ไม่เป็นความจริง

ส่วนบทบาทการทำงานของนายธาริตที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเปลี่ยนไปจากสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ชนิดตรงกันข้าม จนถูกล้อว่าเป็น “ธาริต เปลี่ยนสี”นั้น นายถวิลเหน็บกลับเล็กๆ ว่า นายธาริตไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะยังเป็นอธิบดีดีเอสไอเหมือนเดิม มีแต่ตนที่เปลี่ยนไป เพราะถูกย้ายจากเลขาธิการ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ

นายถวิลยอมรับว่า ตนรู้สึกเหมือนว่าข้อเท็จจริงถูกเปลี่ยนไปตามรัฐบาลในแต่ละยุค แต่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นเกินหน้าที่ของตน แค่นี้ก็กลุ้มใจพอแล้ว สักวันหนึ่งถ้าตนเดินมาแล้วเอาสองเท้าเดินแล้วคนบอกว่าเพี้ยนแล้วต้องใช้หัวเดินแทนถึงจะถูกต้อง ถ้าบ้านเมืองถึงขณะนั้นก็เลิกกัน และเจ้าหน้าที่รัฐยอมทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่งหน้าที่เอาไว้และทำทุกอย่างที่ฝืนมโนธรรม ฝืนความจริงข้อกฎหมาย ก็เป็นความโชคร้ายของเรา

คำพูดดังกล่าวจะหมายถึงนายธาริตหรือไม่นั้น นายถวิลไม่บอกตรงๆ แต่พูดรวมๆ ว่า ใครเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น รวมถึงตนหากเป็นอย่างนั้นก็จะด่าตัวเอง

ในตอนท้ายของการแถลงนายถวิลเรียกร้องให้ฉายหนังกลับไปดูว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น ซึ่งตนคิดว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หย่อนด้วยซ้ำไป ด้วยความเป็นธรรม อยากให้ไปดูพัฒนาการสถานการณ์ในขณะนั้นเทียบกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ความยุติธรรมก็มีการเรียกร้องทั้ง 2 ฝ่าย อย่าฟังฝ่ายเดียว

การออกมาดับเครื่องชนกับกระแส“ทหารฆ่าประชาชน” ที่ฝ่ายคนเสื้อแดงและรัฐบาลกำลังโหมกระพือ โดยไม่หวั่นเกรงว่าตนเองจะถูกกระทำจากระบอบทักษิณอย่างไรบ้าง ทำให้ภาพของนายถวิล เปลี่ยนศรี กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ตัดกันอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่งคงแห่งชาติ (สมช.) และอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงเปิดใจกรณีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553 เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา
กำลังโหลดความคิดเห็น