นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า ตนทราบว่าใครสั่งสลายการชุมนุมเหตุการณ์เดือน เม.ย.-พ.ค.53 ว่า ตนจะแถลงเรื่องนี้ ในวันนี้ ( 23 ส.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบฯ ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้ความจริงต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่ใช่วันหนึ่งเคยถูกต้อง แต่มาอีกวันหนึ่งเป็นความผิด สถานการณ์ในวันนั้นคือ มีการชุมนุมยืดยื้อและไม่สงบ โดยมีคำสั่งศาล คำพิพากษาทั้งศาลแพ่ง และศาลปกครองกลาง ออกมาชัดเจนว่าเป็นการชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชาวบ้านเดือดร้อนมาก เจ้าหน้าที่ที่ออกมาก็เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย โดยหลักต้องให้รับทราบในส่วนนี้ก่อน
สำหรับประเด็นปลีกย่อยที่ว่า อาจมีบางส่วนที่เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ประเด็นใหญ่คือ เจ้าหน้าที่ออกมาเพราะบ้านเมืองวิกฤต เกิดความไม่สงบเรียบ ร้อย ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กินอิ่มแล้วเอาปืนเที่ยวมาไล่ยิง ไม่มีใครอยากจะทำ หรือใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ เขาไม่อยากทำหรอก ถ้าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปก็ไม่มีอยากออกมารับผิดชอบ
** ทหารออกมาเพราะบ้านเมืองไม่สงบ
เมื่อถามว่า ขณะนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ถูกพุ่งเป้าในฐานะผู้สั่งการ นายถวิล กล่าวว่า เป็นโครงเรื่องเดิม หมาหางด้วน เมื่อจะปรองดอง นิรโทษกรรม ก็ต้องทำให้มันเหมือนกัน ซึ่งเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ก็เข้มแข็งดี เพราะเป็นการปฏิบัติโดยชอบ
"อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้มีการเมืองเข้าไปแทรกแซง แต่ดูเหมือนว่ามันจะกลับซ้ายเป็นขวา กลับหน้าเป็นหลัง เพราะทหารออกมาเพื่อชาติบ้านเมือง เขาก็เสียชีวิต ไม่ได้เดินสบาย มีปืนยิงออกมาตลอด ส่วนท่าทีของนายธาริต นั้นผมก็เห็นใจ เพราะอยู่ในฐานะที่ต้องทำงานอย่างนี้ เคยทำงานกับรัฐบาลที่แล้ว มาวันนี้ก็ทำให้รัฐบาลนี้ มันก็ขัดกันไปมา แต่ผมหวังในคุณธรรม และความเป็นมืออาชีพที่ต้องมีความตรงไปตรงมา อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด อะไรถูกก็ว่าถูก" อดีตเลขาฯสมช. กล่าว
เมื่อถามว่าประเด็นที่นายธาริต ออกมาระบุมันบิดเบี้ยวไปหรือไม่ นายถวิล ตอบว่า นายธาริต ยังอยู่ในหลักเกณฑ์ แต่บางทีอาจพูดความจริงไม่หมด ควรจะพูดถึงบริบท และความจำเป็นด้วย
**จวก"เหวง"บิดเบือนแดงไม่มีอาวุธ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ผลการพิจารณาอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน 9 ชุด ที่สรุปว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีความชอบธรรมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในปี 2553 มีการละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่ต้องชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ทำให้แกนนำเสื้อแดงเช่น นพ. เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้ว่า ไม่มีการใช้อาวุธและความรุนแรงในกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ตนถือว่าเป็นการดูถูกคนไทยมากเกินไป เพราะภาพความรุนแรงจากคนเสื้อแดง มีการถ่ายทอดออกมาให้คนไทย และต่างประเทศได้เห็นอย่างชัดเจน แต่กลับมาแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ หน้าด้านๆ อ้างว่าไม่มีความรุนแรง ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ที่ สี่แยกคอกวัว สีลม เกิดจากกองกำลังชุดดำที่แฝงตัวในผู้ชุมนุมทั้งสิ้น ตนคิดว่าคนเหล่านี้ต้องกล้ายอมรับความจริงบ้าง ไม่ใช่กลับข้อเท็จจริงให้อยู่ตรงกันข้าม จึงขอสันนิษฐานว่า ขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกแล้ว จึงเกิดความหวาดกลัว เมื่อมีองค์กรใดสรุปว่า เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง ทำให้ต้องการทาสีให้เป็นผ้าขาว เพื่อให้พ้นผิด แต่ตนเชื่อว่าเปลี่ยนประวัติศาสตร์ไม่ได้ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย จะเป็นรัฐบาลอีกกี่สมัยก็ตาม จึงขอให้เลิกบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำตัวปากกล้า ขาสั่น แต่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนคนอื่น ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความปรองดองให้กับประเทศ
ส่วนที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ ระบุว่า การเลื่อนเข้าให้ปากคำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการไต่สวนของศาลอาญาในคดีการเสียชีวิตที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐออกไป 15 วัน เป็นการแสดงออกแบบปากกล้าขาสั่นนั้น ความจริงการเลื่อนดังกล่าวเป็นกระบวนการตามปกติของกระบวนการยุติธรรม
" การที่ทั้งสองคนเลื่อนออกไป ก็เพื่อเตรียมเอกสาร หลักฐาน เพื่อให้คำให้การเป็นประโยชน์ในทุกคดี ต่อการสะสางคดีความของประเทศชาติ เป็นการแสดงให้เห็นว่า กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ตรงกันข้ามกับนายณัฐวุฒิ และพวกที่ปากกล้าขาสั่น เพราะที่่ผ่านมากล่าวหาศาล แต่พอศาลพิจารณาไต่สวนถอนประกัน ก็หน้าซีด ขอโทษศาล ทั้งนี้ขอเรียกร้องอีกครั้งให้รัฐบาลถอน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ออกจากรัฐสภา อย่านิรโทษกรรมให้ตัวเอง เพราะคนที่ถูกกล่าวหาว่าผิด อย่างนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ ไม่เอานิรโทษกรรม ถ้าไม่กล้าทำก็เลิกพูดได้แล้ว เพราะคนผิดเท่านั้นที่จะขอล้างผิดให้ตัวเอง" นายชวนนท์ กล่าว
** "เหลิม"สั่ง"ธาริต"หยุดจ้อ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พลระวังป้องกัน (สไนเปอร์) ขอเลื่อนการให้ปากคำกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ดีเอสไอ ได้เชิญมาให้ปากคำ เมื่อมีการขอเลื่อน ก็มีสิทธิที่จะเลื่อนได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องระหว่างดีเอสไอ กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่มีบานปลาย ทุกอย่างเรียบร้อย และทุกภาคส่วนเข้าใจหมด ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวตนได้บอกกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ และ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดี ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีการเสียชีวิต 91 ศพว่า สำนวนการสอบสวนเป็นความลับราชการ ไม่ควรนำมาพูดเอง แต่ถ้าเป็นรายงานข่าว ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะนำผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐนั้นปลอดภัย แต่ผู้สั่งการนั้นก้ำกึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวจะหาว่ามีการชี้นำ
** กสม.ยันยังไม่สรุปกรณีสลายแดง
วานนี้ ( 22 ส.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่มีนางอมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธานได้ออกแถลงการณ์ กรณีปรากฎข่าวทางสื่อมวลชนว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้มีรายงานผลการตรวจสอบเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในช่วงเดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคม 2553 แล้ว และมีการวิพากษ์วิจารณ์ผลตามรายงานฯ ดังกล่าว รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์กสม.ด้วยนั้น ขอชี้แจงว่า รายงานที่มีรายละเอียดปรากฏในสื่อนั้น ไม่ใช่รายงานที่กสม.ได้จัดทำเป็นข้อยุติแต่อย่างใด เนื่องจากขณะนี้กสม.ได้จัดทำร่างรายงานฯ เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ เพื่อให้การทำงานสำเร็จลุล่วงไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ของกสม.
ทั้งนี้กสม.ตระหนักดีว่า ภาระอำนาจหน้าที่ดังกล่าว เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การดำเนินการจัดทำรายงานดังกล่าวต้องประกอบด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานที่เกี่ยวข้องทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุเพื่อนำมาวิเคราะห์อย่างถ่องแท้ โดยจะสรุปให้สาธารณชนได้ทราบในโอกาสต่อไปโดยไม่ชักช้า
สำหรับประเด็นปลีกย่อยที่ว่า อาจมีบางส่วนที่เสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ประเด็นใหญ่คือ เจ้าหน้าที่ออกมาเพราะบ้านเมืองวิกฤต เกิดความไม่สงบเรียบ ร้อย ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่กินอิ่มแล้วเอาปืนเที่ยวมาไล่ยิง ไม่มีใครอยากจะทำ หรือใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะทหาร ตำรวจ เขาไม่อยากทำหรอก ถ้าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปก็ไม่มีอยากออกมารับผิดชอบ
** ทหารออกมาเพราะบ้านเมืองไม่สงบ
เมื่อถามว่า ขณะนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ถูกพุ่งเป้าในฐานะผู้สั่งการ นายถวิล กล่าวว่า เป็นโครงเรื่องเดิม หมาหางด้วน เมื่อจะปรองดอง นิรโทษกรรม ก็ต้องทำให้มันเหมือนกัน ซึ่งเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ก็เข้มแข็งดี เพราะเป็นการปฏิบัติโดยชอบ
"อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้มีการเมืองเข้าไปแทรกแซง แต่ดูเหมือนว่ามันจะกลับซ้ายเป็นขวา กลับหน้าเป็นหลัง เพราะทหารออกมาเพื่อชาติบ้านเมือง เขาก็เสียชีวิต ไม่ได้เดินสบาย มีปืนยิงออกมาตลอด ส่วนท่าทีของนายธาริต นั้นผมก็เห็นใจ เพราะอยู่ในฐานะที่ต้องทำงานอย่างนี้ เคยทำงานกับรัฐบาลที่แล้ว มาวันนี้ก็ทำให้รัฐบาลนี้ มันก็ขัดกันไปมา แต่ผมหวังในคุณธรรม และความเป็นมืออาชีพที่ต้องมีความตรงไปตรงมา อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด อะไรถูกก็ว่าถูก" อดีตเลขาฯสมช. กล่าว
เมื่อถามว่าประเด็นที่นายธาริต ออกมาระบุมันบิดเบี้ยวไปหรือไม่ นายถวิล ตอบว่า นายธาริต ยังอยู่ในหลักเกณฑ์ แต่บางทีอาจพูดความจริงไม่หมด ควรจะพูดถึงบริบท และความจำเป็นด้วย
**จวก"เหวง"บิดเบือนแดงไม่มีอาวุธ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ผลการพิจารณาอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน 9 ชุด ที่สรุปว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีความชอบธรรมเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในปี 2553 มีการละเมิดสิทธิผู้อื่น ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่ต้องชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ทำให้แกนนำเสื้อแดงเช่น นพ. เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้ว่า ไม่มีการใช้อาวุธและความรุนแรงในกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ตนถือว่าเป็นการดูถูกคนไทยมากเกินไป เพราะภาพความรุนแรงจากคนเสื้อแดง มีการถ่ายทอดออกมาให้คนไทย และต่างประเทศได้เห็นอย่างชัดเจน แต่กลับมาแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ หน้าด้านๆ อ้างว่าไม่มีความรุนแรง ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ที่ สี่แยกคอกวัว สีลม เกิดจากกองกำลังชุดดำที่แฝงตัวในผู้ชุมนุมทั้งสิ้น ตนคิดว่าคนเหล่านี้ต้องกล้ายอมรับความจริงบ้าง ไม่ใช่กลับข้อเท็จจริงให้อยู่ตรงกันข้าม จึงขอสันนิษฐานว่า ขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกแล้ว จึงเกิดความหวาดกลัว เมื่อมีองค์กรใดสรุปว่า เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง ทำให้ต้องการทาสีให้เป็นผ้าขาว เพื่อให้พ้นผิด แต่ตนเชื่อว่าเปลี่ยนประวัติศาสตร์ไม่ได้ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย จะเป็นรัฐบาลอีกกี่สมัยก็ตาม จึงขอให้เลิกบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำตัวปากกล้า ขาสั่น แต่ให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเหมือนคนอื่น ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความปรองดองให้กับประเทศ
ส่วนที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ ระบุว่า การเลื่อนเข้าให้ปากคำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการไต่สวนของศาลอาญาในคดีการเสียชีวิตที่อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐออกไป 15 วัน เป็นการแสดงออกแบบปากกล้าขาสั่นนั้น ความจริงการเลื่อนดังกล่าวเป็นกระบวนการตามปกติของกระบวนการยุติธรรม
" การที่ทั้งสองคนเลื่อนออกไป ก็เพื่อเตรียมเอกสาร หลักฐาน เพื่อให้คำให้การเป็นประโยชน์ในทุกคดี ต่อการสะสางคดีความของประเทศชาติ เป็นการแสดงให้เห็นว่า กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ตรงกันข้ามกับนายณัฐวุฒิ และพวกที่ปากกล้าขาสั่น เพราะที่่ผ่านมากล่าวหาศาล แต่พอศาลพิจารณาไต่สวนถอนประกัน ก็หน้าซีด ขอโทษศาล ทั้งนี้ขอเรียกร้องอีกครั้งให้รัฐบาลถอน ร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ออกจากรัฐสภา อย่านิรโทษกรรมให้ตัวเอง เพราะคนที่ถูกกล่าวหาว่าผิด อย่างนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ ไม่เอานิรโทษกรรม ถ้าไม่กล้าทำก็เลิกพูดได้แล้ว เพราะคนผิดเท่านั้นที่จะขอล้างผิดให้ตัวเอง" นายชวนนท์ กล่าว
** "เหลิม"สั่ง"ธาริต"หยุดจ้อ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พลระวังป้องกัน (สไนเปอร์) ขอเลื่อนการให้ปากคำกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ดีเอสไอ ได้เชิญมาให้ปากคำ เมื่อมีการขอเลื่อน ก็มีสิทธิที่จะเลื่อนได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องระหว่างดีเอสไอ กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่มีบานปลาย ทุกอย่างเรียบร้อย และทุกภาคส่วนเข้าใจหมด ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวตนได้บอกกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ และ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดี ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีการเสียชีวิต 91 ศพว่า สำนวนการสอบสวนเป็นความลับราชการ ไม่ควรนำมาพูดเอง แต่ถ้าเป็นรายงานข่าว ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะนำผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐนั้นปลอดภัย แต่ผู้สั่งการนั้นก้ำกึ่ง อย่างไรก็ตาม ยังไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวจะหาว่ามีการชี้นำ
** กสม.ยันยังไม่สรุปกรณีสลายแดง
วานนี้ ( 22 ส.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่มีนางอมรา พงศาพิชญ์ เป็นประธานได้ออกแถลงการณ์ กรณีปรากฎข่าวทางสื่อมวลชนว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้มีรายงานผลการตรวจสอบเหตุการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในช่วงเดือนมีนาคม – เดือนพฤษภาคม 2553 แล้ว และมีการวิพากษ์วิจารณ์ผลตามรายงานฯ ดังกล่าว รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์กสม.ด้วยนั้น ขอชี้แจงว่า รายงานที่มีรายละเอียดปรากฏในสื่อนั้น ไม่ใช่รายงานที่กสม.ได้จัดทำเป็นข้อยุติแต่อย่างใด เนื่องจากขณะนี้กสม.ได้จัดทำร่างรายงานฯ เพื่อระดมความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ เพื่อให้การทำงานสำเร็จลุล่วงไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ของกสม.
ทั้งนี้กสม.ตระหนักดีว่า ภาระอำนาจหน้าที่ดังกล่าว เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การดำเนินการจัดทำรายงานดังกล่าวต้องประกอบด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานที่เกี่ยวข้องทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุเพื่อนำมาวิเคราะห์อย่างถ่องแท้ โดยจะสรุปให้สาธารณชนได้ทราบในโอกาสต่อไปโดยไม่ชักช้า