xs
xsm
sm
md
lg

"ถวิล"ยันปฏิบัตการศอฉ.ชอบธรรม ธาริตอย่ากลับขาวเป็นดำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ (23 ส.ค.) นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตเลขาธิการสภาความมั่งคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร ในการสลายการการชุมนุมช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 53 ว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บ้านเมืองกลับตาลปัตร ดูแล้วสับสนวุ่นวาย ซึ่งตนจะพูดในส่วนที่เกี่ยวข้องที่ตอนนั้นตนเป็น เลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และข้อเท็จจริงในเวลานั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องชอบธรรม แต่พอมาอีกเวลาหนึ่ง กลายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จากขาวเป็นดำ เวลาผ่านมาไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนไป ข้อเท็จจริงบางอย่างถูกบิดเบือน ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไป แล้วเราจะเขียนประวัติศาสตร์ในระยะหลายๆ ปีได้อย่างไร ต่อไปข้างหน้าเราไม่ต้องเอาหัวเดินต่างเท้าหรือ โดยสิ่งตนจะพูดมี 3 ประเด็นคือ
1. เหตุการณ์ สถานการณ์ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในช่วงเกิดเหตุ พ.ค.53
2. กรณีที่หลายฝ่ายข้องใจ ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พูดถึง ศอฉ. และการทำงานของศอฉ. ในขณะนั้น
3. คำสั่งทางยุทธการหรือแผนปฏิบัติงาน ที่รั่วไหลมาทางสื่อ
นายถวิล กล่าวว่า 1. เหตุการณ์ความไม่สงบมีความต่อเนื่องตั้งแต่ปี52 จากกรณีที่ไปล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่พัทยา และต่อเนื่องมาจนถึงพ.ค.53 ซึ่งเริ่มมีความบิดเบือน ทั้งที่ความจริงมีข้อเท็จจริงเดียว และต้องไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งเหตุการณ์ปี 53 เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ออกมารักษาความสงบ และศาลแพ่ง ก็มีการวินิจฉัยว่า เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ ไม่ใช่เจ้าหน้าไม่มีอะไรทำ แล้วคว้าอาวุธมาไล่ฆ่าประชาชน อย่างที่มีความพยายามจะกล่าวหากัน
ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ออกไป จะเป็นเรื่องที่แปลก เพราะตอนนั้นต้องรักษาความสงบให้ได้ และระงับการชุมนุมที่ไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งการออกไปของเจ้าหน้าที่ ตนยืนยันว่า ทำไปด้วยความรู้สำนึก รู้ผิดชอบชั่วดี มีเจ้าหน้าที่หลายคนไม่สบายใจ ที่ออกไปทำงาน แต่ด้วยหน้าที่ที่รับผิดชอบ ก็ต้องไปปฏิบัติภารกิจให้เรียบร้อย เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ควรได้รับคำชมมากกว่าคำด่า หรือการหาว่าเขาไปฆ่าคน เราควรดำเนินการตามยุติธรรมมากกว่าในการไปค้นหาความจริง ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่ามีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธ เอาสไนเปอร์ออกไปไล่ฆ่าคน ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่ เพราะคำสั่งที่ออกไป เป็นการพิจารณาที่รอบคอบแล้ว

** ยันศอฉ.ทำตามหลักกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการแก้ต่างให้ ศอฉ.หรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า ไม่ได้แก้ต่าง แต่ตนเป็นส่วนหนึ่งของ ศอฉ. ยืนยันว่า การทำงานขณะนั้นเรายึดกฎหมาย ยึดหลักสากลในการทำงาน เป็นการออกคำสั่งโดยที่มีการพิจารณารอบคอบ เมื่อถามว่า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติเกินกว่าเหตุหรือไม่ ที่ทำให้มีคนตาย 98 ศพ และบาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน นายถวิล กล่าวว่า ตนได้สะท้อนแล้วว่า มีคนบาดเจ็บร่วมพัน ซึ่งจำนวนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ จำนวนมาก เหตุการณ์ที่ลำดับให้ฟัง จะเห็นว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว หรือเกิดเพราะเจ้าหน้าที่ลุยปราบปรามสลายการชุมนุม ส่วนใหญ่เป็นการยิงเจ้าหน้าที่ และเหตุการณ์กระชับวงล้อม ซึ่งเมื่อช่วงกลางเดือนพ.ค.53 นั้น เจ้าหน้าที่ไม่ได้บุกเข้าไป เพียงแต่ไปตั้งกำลังเพื่อปิดล้อม เจตนาที่พูดกันในศอฉ. คือ ต้องการให้สลายการชุมนุมเอง โดยไม่มีผู้เข้าไปร่วมชุมนุมใหม่ ให้ผู้ชุมนุมเก่าเดินทางกลับภูมิลำเนา จึงไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ตะลุยเข้าไปยิง
ส่วนที่ถามว่ามีบางส่วนเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่นั้น เมื่อมีข้อมูลการสอบสวนเบื้องต้นของดีเอสไอ ระบุเช่นนั้น ก็เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่จะมีการไต่สวน ร้องต่อศาล ศาลก็ให้มีการไต่สวน แต่ขณะนี้มันมีการกล่าวหานอกศาลแล้วว่า เจ้าหน้าที่ฆ่าประชาชน ซึ่งตนคิดว่าเจ้าหน้าที่ออกไปทำงาน แม้มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เขาไม่มีสิทธิที่จะทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอยู่ ถ้าเขาผิดจริงตามกระบวนการไปถึงชั้นศาล เขาก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งนั้นจะเป็นความยุติธรรม แต่ไม่ใช่มากล่าวหาเขาตรงนี้ ทั้งที่เป็นฝ่ายนำพาชาติบ้านเมืองให้ไปสู่ความสงบในขณะนั้น ถ้าสภาพที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น มีการเผาอาคาร มีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ตนก็มองไม่เห็นว่าถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทำงานในช่วงนั้นเหตุการณ์บ้านเมืองจะนำไปสู่อะไรบ้าง

เรื่องที่ 2 การทำงานในศอฉ. โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น มอบให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็น ผอ.ศอฉ. และเป็นหัวหน้าผู้ปฏิบัติงาน ส่วนนายอภิสิทธิ์ จะเข้าประชุมในฐานะนายกฯ ที่ราบ. 11 ด้วย ซึ่งการทำงานของ ศอฉ. จะมีหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการ รวมถึงนายธาริต ด้วย ส่วนตนเป็นเลขานุการตามกฎหมาย ซึ่งมีการประชุมกันทุกวัน และมีคณะกรรมการเข้าร่วมประชุม มีการประเมินสถานการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกวัน ในการประชุมมีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง แต่ไม่มีการสั่งการปฏิบัติการในที่ประชุม ใครไม่เห็นชอบกับเรื่องที่ประชุม ก็สามารถโต้แย้งได้ ซึ่งนายธาริต ก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการประชุม หากไม่มีท่านเราคงเหนื่อยกว่านี้ เพราะท่านเป็นคนที่เสนอเรื่องที่มีประโยชน์ เมื่อประชุมเสร็จก็จะมอบให้หัวหน้าออกแผนปฏิบัติ เพราะเรื่องนี้จะให้นายสุเทพ ออกไปสั่งว่าทำอย่างนั้น อย่างนี้ไม่ได้ ซึ่งแผนดังกล่าวเรียกว่า คำสั่งยุทธการ โดยทุกครั้งจะคำนึกชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน แต่การปฏิบัติการเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ใช่การชุมนุมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และมีการใช้อาวุธ จะเห็นว่าช่วงกระชับวงรอบ 18-20 พ.ค. มีการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่

** ความจริงถูกบิดเบือนจากขาวเป็นดำ

เรื่องที่ 3 เรื่องคำสั่ง ซึ่งเรายึดกฎหมาย และระเบียบราชการเป็นหลัก ซึ่งเรากำชับหัวหน้าผู้ปฎิบัติการตลอด แต่เราอาจจะไม่สามารถกำชับไปยังผู้ปฎิบัติการได้ ทั้งนี้เรากำชับให้ระวังความปลอดภัยของประชาชนมากที่สุด เพ่งเล็งไปที่ผู้ใช้อาวุธ และต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เป็นหลัก และคำสั่งที่รั่วไหลออกมาทางสื่อ ตนยังไม่เห็นว่ามีคำสั่งไหนลุแก่อำนาจ หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไปฆ่าประชาชน ซึ่งลำดับขั้นตอนต่างๆ ก็เป็นไปอย่างถูกต้อง และแน่นอนคำสั่งเหล่านี้ ไม่น่าจะออกมาตามสื่อ ซึ่งคำสั่งต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องของความลับ แต่การที่มีแตงโม มะเขือเทศ ส้มโอ อยู่ด้วย ฉะนั้นการสั่งการไม่ได้มีการสั่งการที่ชัดเจน แต่ตนยืนยันว่า มีการตกลงกันในเชิงนโยบาย กรรมการ ศอฉ.ทุกคนรับทราบก่อนจะออกเป็นแผนปฏิบัติการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่พูดมาทั้งหมดเหมือนแก้ต่างให้ ศอฉ.เพราะ ศอฉ.ไม่เคยพิสูจน์ให้เห็นเลยว่า ชายชุดดำที่ออกมายิงเป็นใครบ้าง เหตุการณ์ที่มีการเผาต่างๆ ก็ไม่เห็นคนชุดดำ นายถวิล กล่าวว่า เรื่องเหล่านี้ถูกกระแสทำให้ไม่ปรากฏขึ้นมา ความจริงการดำเนินคดีกับกลุ่มที่ใช้อาวุธ และกลุ่มชายชุดดำ มีการจับกุมดำเนินคดี แต่ขณะนี้มีการประกันตัวไปเกือบทั้งหมด แต่ขณะนี้มันมีกระแสอย่างอื่นเข้ามากลบ อย่างที่ถามเรื่องเพ่งเล็ง ใครเผาราชประสงค์ ชายชุดดำถูกดำเนินคดีหรือไม่ มันมีการจับกุม เพราะระหว่างที่ทำงานกันมา ตำรวจและดีเอสไอ มีการรายงานเข้ามาว่ามีการจับกุม ควบคุมตัวไว้แล้ว จนกระทั่งตนถูกต่อว่า และไปยืนยันนายธาริต ว่าจากการสอบสวน ทราบข่าวว่ามีการไปฝึกอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้าน ตนแถลงว่า รับทราบจริง และนายธาริต ได้มีการรายงานผลงานการสอบสวนจริงๆ เรื่องแบบนี้ถูกกลบ ถ้าบ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้ ความจริงก็ไม่เป็นความจริง ความจริงเวลาหนึ่ง กลายเป็นความเท็จเวลาหนึ่ง ถ้าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ความจริงก็ไม่เป็นความจริง

** เหน็บ"ธาริต"ไม่เปลี่ยนสี ยังเป็นDSI

เมื่อถามว่าที่บอกว่า ศอฉ. ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อความชัดเจนให้สังคมโปร่งใส คำสั่งยุทธการทั้งหมดพร้อมแสดงให้สังคมได้รับรู้ รับทราบหรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า ควรเป็นหน้าที่ของกฎหมาย ถ้าจำเป็นศาลจะเรียกดูได้ หากเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม ทางเจ้าหน้าที่ของเราคงไม่ขัดข้อง ขณะนี้เป็นกระบวนการนอกศาล ซึ่งไม่เป็นธรรม
เมื่อถามว่ามองบทบาทการทำงานของนายธาริต ในขณะนี้อย่างไรบ้าง นายถวิล กล่าวว่า นายธาริต ทำงานทั้งในฐานะกรรมการศอฉ. รวมทั้งทำงานในฐานะ อธิบดี ดีเอสไอ ได้ทำงานหลายอย่าง ซึ่งเป็นผลดีต่อการระงับความรุนแรง การรักษาความสงบเรียบร้อย นายทหารหลายคนได้พูดคุยกับตนว่า ถ้าไม่ได้นายธาริต เราจะเหนื่อยกันมากกว่านี้ เพราะนายธาริต อยู่กรมดีเอสไอ มีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในขณะนั้น โดยวิธีปฏิบัติของนายธาริตในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีด้วยกับ ศอฉ. ในขณะนั้นเพราะมีเหตุการณ์เช่นที่ว่า เราพูดเรื่องหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์หมดไปแล้วมันไม่เห็นภาพ ขณะนี้หากไปเดินแยกราชประสงค์ ก็ไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่ ณ วันนั้น มันไม่ใช่ ราชประสงค์เป็นพื้นที่ ที่รัฐเข้าไปดูแลไม่ได้
"ที่ถามถึงคุณธาริต ผมก็อยากให้กำลังใจท่าน ผมรู้จักกับท่านดี ท่านเป็นมืออาชีพ วันนี้ท่านก็ยังเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าหน่วยงานที่ต้องรักษาความยุติธรรม รักษาการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ผมว่าท่านไม่ละทิ้งตรงนั้น คนอื่นอาจจะสงสัยท่าน แต่ผมไม่เคยมีข้อสงสัยอะไรในตัวท่าน" นายถวิล กล่าว
เมื่อถามว่า สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์นายธาริต ว่าเปลี่ยนไป นายถวิล กล่าวว่า ตนไม่ขอวิจารณ์ ตนต่างหากที่เปลี่ยน เพราะตอนนั้นเป็นเลขาฯสมช. แต่ตอนนี้ตนเป็นที่ปรึกษานายกฯ แต่นายธาริต ยังเป็นอธิบดีดีเอสไอ
เมื่อถามาว่านายธาริต อ้างว่าไม่รู้ข้อมูลการสั่งการของฝ่ายยุทธการ นายถวิล กล่าวว่า การขอคืนพื้นที่ เป็นความเห็นชอบร่วมกันของศอฉ. แต่การปฏิบัติมันสั่งการในที่ประชุมไม่ได้ ผู้ปฏิบัติหรือมีหน้าที่รับผิดชอบต้องไปออกแผนปฏิบัติของตัวเอง ตามกรอบที่ ศอฉ.ให้ไว้ ถ้ามีใครไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่าการกระทำไม่ถูกต้อง ก็สามารถให้ความเห็นในที่ประชุมได้
เมื่อถามว่าแผนปฏิบัติในฐานะเลขาฯศอฉ. รับรู้ด้วยหรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า แม้จะทราบก็อ่านแผนไม่ออก ว่าสั่งการอย่างไร เมื่อถามว่าแผนออกมาแล้วต้องขออนุมัติจากใครจึงจะไปปฏิบัติได้ นายถวิล กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเร็ว มาก แค่สั่งการแล้วแยกย้ายกันปฏิบัติงานยังไม่ทันเลย ฉะนั้นคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของหัวหน้าหน่วย ผู้ที่สั่งการออกไปปฏิบัติอย่างไร แต่ถ้าบอกว่าเอาแผนมาให้นายอภิสิทธิ์ หรือนายสุเทพ ดูก่อนหรือไม่ ตนก็ไม่ยืนยัน เพราะไม่ได้เห็นในส่วนนั้น

** ใช้ทหารเพราะตำรวจไม่พร้อมทำงาน

เมื่อถามว่า การปราบจราจลทั่วโลกเขามีวิธีการสากลอยู่แล้ว ทำไมเราถึงใช้กำลังทหารติดอาวุธ และรู้ว่าทหารทำแล้วต้องรุนแรง ไม่เหมือนตำรวจดำเนินการ นายถวิล กล่าวว่า ถ้าตนพูดทุกคนอาจจะเข้าใจตนผิด ตนคิดว่าวิธีการที่เราทำงานในบ้านเมือง เราอลุ่มอล่วยมากที่สุดแล้ว ถ้าเทียบกับต่างประเทศ ส่วนที่ถามว่าทำไมใช้ทหาร เพราะตำรวจไม่เพียงพอในการปฏิบัติงาน และตำรวจไม่พร้อมทำงาน เพราะบาดเจ็บจากเหตุการณ์ 7 ต.ค. 51 ยังเลียแผลไม่หาย แม้จะบอกว่าตำรวจทำงานได้กลมกลืนมากกว่า เพราะถูกฝึกมา แต่ตำรวจก็ยังโดน เพราะฉะนั้นทหารหรือไม่ใช่ทหาร ก็ไม่สำคัญเท่ากับเราสรุปบทเรียนเมื่อ 7 ต.ค.51 เอาคำสั่งศาลมาดูขอบเขตปฏิบัติได้มากแค่ไหน มีการปรับ

**โวยความจริงถูกเปลี่ยนไปตามรัฐบาล

เมื่อถามว่า เหมือนว่าข้อเท็จจริงถูกเปลี่ยนไปตามรัฐบาลในแต่ละยุคหรือไม่ นายถวิล กล่าวว่า ตนรู้สึกอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องอื่นเกินหน้าที่ของตน แค่นี้ก็กลุ้มใจพอแล้ว สักวันหนึ่งถ้าตนเดินมาแล้วเอา 2 เท้าเดิน แล้วคนบอกว่าเพี้ยนแล้วต้องใช้หัวเดินแทน ถึงจะถูกต้อง ถ้าบ้านเมืองถึงขณะนั้นก็เลิกกัน และเจ้าหน้าที่รัฐยอมทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่งหน้าที่เอาไว้ และทำทุกอย่างที่ฝืนมโนธรรม ฝืนความจริง ข้อกฎหมาย ก็เป็นความโชคร้ายของเรา แต่ตนไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน ตนจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ส่วนว่าหมายถึงนายธาริต หรือไม่นั้น ก็ทุกท่าน ใครเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น รวมถึงตนหากเป็นอย่างนั้น ก็จะด่าตัวเอง
เมื่อถามว่า 98 ศพที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ใครจะต้องรับผิดชอบ นายถวิล กล่าวว่า ใครทำผิด ก็รับผิดชอบ แต่เจ้าหน้าที่ได้รับการคุ้มครอง เพราะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้คนที่เป็นนายกฯ ก็คงหนีไม่พ้นความรับผิดชอบ และจะต้องรับผิดชอบมากกว่านายสุเทพ ที่เป็นผอ.ศูนย์ ด้วยซ้ำ เพราะนายกฯ เป็นหัวหน้าบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะมอบให้ใครก็ต้องรับผิดชอบ ถ้ามีความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ตนขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่าให้เป็นเรื่องใครไปกล่าวหาใคร ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะไม่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่าขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังพุ่งเป้าไปที่ นายสุเทพ และ นายอภิสิทธิ์ ที่จะให้รับผิดชอบ นายถวิล กล่าวว่า สังคมมันเพี้ยนไปมาก การสั่งการเป็นไปด้วยความรอบคอบ ทำไปด้วยความยั้งคิดอย่างมาก เราผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาพอสมควร พอเวลาผ่านมาการไปรักษาความสงบเรียบร้อยในขณะนั้น แต่กระแสขณะนี้กลับบอกว่า ออกไปฆ่าประชาชน มันไม่ยุติธรรม
" ถ้านึกย้อนปี 2 ปีที่ผ่านมา ลำดับเหตุการณ์ดูว่ามันมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เรียนว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกต่อว่าด้วยซ้ำจากประชาชนทั่วไปว่า รักษาบ้านเมืองอย่างปล่อยให้คนมาละเมิดกฎหมาย เอาประเทศไทยมาเป็นตัวประกัน ผมเรียกร้องให้ฉายหนังกลับไป ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น ผมคิดว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่หย่อนด้วยซ้ำไป ด้วยความเป็นธรรม ผมอยากอยากให้ไปดูพัฒนาการสถานการณ์ในขณะนั้น เทียบกับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ความยุติธรรมก็มีการเรียกร้องทั้ง 2 ฝ่าย อย่าฟังฝ่ายเดียว ฟังส่วนที่เป็นกลาง หรือกระบวนการยุติธรรม ผมคิดว่าความเป็นธรรม ข้อเท็จจริงมันมีอยู่ 1 เดียว ความจริงมันมีอยู่แล้ว แต่การเข้าหาความจริงต้องอาศัยองค์กร ผมคาดหวังว่าถ้าจะเอาชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดต่อไปได้ เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ต้องทำงานอย่างมีจริยธรรม ตรงต่อหน้าที่ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก" นายถวิล กล่าว
เมื่อถามว่าสังคมควรเรียนรู้อย่างไร กับเรื่องที่เกิดขึ้น นายถวิล กล่าวว่า การชุมนุมเรียกร้องเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มันจะมีต่อไป ดังนั้นต้องมีกฎเกณฑ์ในเรื่องนี้ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ถูกต้องจะต้องได้รับการคุ้มครอง มิฉะนั้นเมื่อ 7 ต.ค.51 ตำรวจง่อยเปลี้ยเสียขาไป แล้วจะให้ปี 53 เจ้าหน้าที่ทหารเป็นอย่างนั้นไปด้วยหรือไม่ ต่อไปข้างหน้าจะเอาใครมาทำงาน เมื่อทำงานเสร็จสิ้น ไม่ชม แต่ไปไล่บี้อย่างนี้ มันไม่เป็นธรรม ต่อไปบ้านเมืองเกิดวิกฤตจะเรียกร้องใคร ถ้าไม่รักษาตรงนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อบางกลุ่มในระยะสั้น แต่ระยะยาวลูกหลานจะทนทุกข์ต่อสิ่งที่เราทำวันนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น