กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอกำลังกุลีกุจออย่างออกนอกหน้า รีบเร่งสะสางคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในเหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเกิดความตรึงเครียดขึ้นระหว่างกองทัพและหน่วยงานแห่งนี้
เพราะประเด็นที่ดีเอสไอชูขึ้นมา คือ สไนเปอร์หรือพลซุ่มยิงซึ่งถือเป็นสำนวนสำคัญในการปิดคดีที่อาจมีการตั้งธงไว้แล้วว่า
กองทัพสังหารคนเสื้อแดง
เหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เพิ่งผ่านพ้นไปเพียง 2 ปีเศษ แต่ความจริงถูกบิดเบือนไปมาก การสอบสวนก็ถูกเลือกเฉพาะด้านเฉพาะประเด็น เพื่อประโยชน์ของการเมืองบางกลุ่มเท่านั้น
คดีสลายการชุมนุมวันที่ 19 พ.ค. 53 มีการเมืองแทรกหรือไม่ คงไม่ต้องตอบ และคงไม่ต้องตอบเหมือนกันว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษทำงานอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีใบสั่งหรือไม่
สถานการณ์ความวุ่นวายในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงวันที่ 19 พ.ค.53 ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ไม่ได้มีเฉพาะคนเสื้อแดงที่ตาย ไม่ได้มีเฉพาะทหารที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง และไม่ได้มีเฉพาะฝ่ายคนเสื้อแดงเท่านั้นที่ถูกกระทำ
การขอคืนพื้นที่จากกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณสี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ปรากฏความเคลื่อนไหวของชายชุดดำติดอาวุธที่ปะปนกับกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว และชายชุดดำติดอาวุธก็มีส่วนสำคัญในการจุดชนวนความรุนแรงบริเวณสี่แยกราชประสงค์
คนกลุ่มแรกที่ต้องเซ่นสังเวยชีวิตในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เป็นทหารที่ปฏิบัติตามหน้าที่ โดยเข้าขอคืนพื้นที่โดยไม่ได้ติดอาวุธตามคำสั่งของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมที่บริเวณสี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
พ.อ.ร่มเกล้า ธุวกรรม ถูกถล่มด้วยอาวุธสงครามจนเสียชีวิต พล.ต.วลิต โรจนภักดี ได้รับบาดเจ็บสาหัสหวุดหวิดไม่รอดชีวิต พร้อมนายทหารระดับพันโทอีก 1 นาย
นายทหารระดับสูงที่มีเกียรติประวัติในกองทัพ พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายนาย ต้องสังเวยชีวิตกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ความตายของทหารไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึงมากนัก
สื่อเครือข่ายที่ยอมสยบกับระบอบทักษิณ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะนำเสนอการเข่นฆ่าทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ขุดคุยในพฤติกรรมของกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธ แต่มุ่งขายความตายของกลุ่มคนเสื้อแดง
ไม่มีใครเรียกร้องความเป็นธรรมให้ทหารที่ต้องเซ่นสังเวยชีวิตกับการเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายของกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีความพยายามค้นหาความจริงว่า ใครฆ่าทหาร
ไม่มีความพยายามสอบสวนค้นหาความจริงว่า ชายชุดดำติดอาวุธนั้น เป็นคนกลุ่มใด ปฏิบัติการความรุนแรงอย่างไรบ้าง
และมีส่วนหรือไม่ในการสังหารทหาร นักข่าวต่างประเทศ รวมทั้งมวลชนคนเสื้อแดงเอง
คดีวันที่ 19 พ.ค. 53 อาจถูกเขียนบทไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ โดยกำหนดให้แกนนำคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายปลุกระดมยั่วยุจุดชนวนให้เกิดความรุนแรง และกำหนดให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกองทัพต้องเป็นฝ่ายผู้ร้าย ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม
บทที่ถูกกำกับไว้แล้ว ถูกดำเนินมาต่อเนื่องโดยแกนนำคนเสื้อแดงทำหน้าที่โหมประโคมโน้มน้าวให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์และกองทัพเป็นผู้ร้าย และมีสื่อเครือข่ายลูกสมุนของระบอบทักษิณช่วยโหมกระพือข่าว
ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ กลายเป็นตัวประกอบสำคัญที่ถูกใช้ต่อยอด เพื่อให้สำนวนคดีสลายการชุมนุมวันที่ 19 พ.ค. 53 สรุปตามบทที่เขียนไว้
แกนนำคนเสื้อแดงที่ปลุกระดมยั่วยุ จุดชนวนความรุนแรง และเผาบ้านเผาเมืองจะถูกสถาปนาให้เป็นพระเอกจนไม่ต้องรับผิดใดๆ แม้เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญในการก่อกลียุคที่สี่แยกราชประสงค์ และทำให้มวลชนเสื้อแดงต้องตายจำนวนมากก็ตาม
กองทัพยอมรับไม่ได้แน่ ถ้าจะถูกสวมบทให้เป็นผู้ร้าย เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงความผิดไปถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และเพื่อสร้างความชอบธรรมในการล้างมลทินให้แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการนองเลือดและการเผาบ้านเผาเมืองบริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53
เพราะกองทัพเป็นอีกหนึ่งของผู้เสียหาย กองทัพเป็นอีกหนึ่งของผู้ถูกกระทำมากกว่าเป็นผู้กระทำจากเหตุการณ์
และกองทัพก็เป็นอีกหนึ่งของผู้ที่ไม่รับความเป็นธรรมเหมือนกัน
นายทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แทบไม่ถูกพูดถึง และไม่มีความพยายามสอบสวนใดๆ สำหรับกลุ่มผู้ลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยม แม้ภรรยานายทหารที่สูญเสียผู้นำครอบครัวจะออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมโดยตลอดก็ตาม
ดีเอสไอกำลังขะมักเขม้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ในการสอบสวนความจริงว่า ใครฆ่าคนเสื้อแดง ถ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า ใครฆ่าทหาร จะไม่เป็นการรับใช้รัฐบาลที่บงการโดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอย่างออกนอกหน้าเกินไปหรือ
หรือดีเอสไอ “หน้า” ไม่เหลือ “ยาง” ไว้ให้อายแล้วจริงๆ
เพราะประเด็นที่ดีเอสไอชูขึ้นมา คือ สไนเปอร์หรือพลซุ่มยิงซึ่งถือเป็นสำนวนสำคัญในการปิดคดีที่อาจมีการตั้งธงไว้แล้วว่า
กองทัพสังหารคนเสื้อแดง
เหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เพิ่งผ่านพ้นไปเพียง 2 ปีเศษ แต่ความจริงถูกบิดเบือนไปมาก การสอบสวนก็ถูกเลือกเฉพาะด้านเฉพาะประเด็น เพื่อประโยชน์ของการเมืองบางกลุ่มเท่านั้น
คดีสลายการชุมนุมวันที่ 19 พ.ค. 53 มีการเมืองแทรกหรือไม่ คงไม่ต้องตอบ และคงไม่ต้องตอบเหมือนกันว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษทำงานอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีใบสั่งหรือไม่
สถานการณ์ความวุ่นวายในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงวันที่ 19 พ.ค.53 ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ไม่ได้มีเฉพาะคนเสื้อแดงที่ตาย ไม่ได้มีเฉพาะทหารที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง และไม่ได้มีเฉพาะฝ่ายคนเสื้อแดงเท่านั้นที่ถูกกระทำ
การขอคืนพื้นที่จากกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณสี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ปรากฏความเคลื่อนไหวของชายชุดดำติดอาวุธที่ปะปนกับกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว และชายชุดดำติดอาวุธก็มีส่วนสำคัญในการจุดชนวนความรุนแรงบริเวณสี่แยกราชประสงค์
คนกลุ่มแรกที่ต้องเซ่นสังเวยชีวิตในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่เป็นทหารที่ปฏิบัติตามหน้าที่ โดยเข้าขอคืนพื้นที่โดยไม่ได้ติดอาวุธตามคำสั่งของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมที่บริเวณสี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
พ.อ.ร่มเกล้า ธุวกรรม ถูกถล่มด้วยอาวุธสงครามจนเสียชีวิต พล.ต.วลิต โรจนภักดี ได้รับบาดเจ็บสาหัสหวุดหวิดไม่รอดชีวิต พร้อมนายทหารระดับพันโทอีก 1 นาย
นายทหารระดับสูงที่มีเกียรติประวัติในกองทัพ พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายนาย ต้องสังเวยชีวิตกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ความตายของทหารไม่ถูกหยิบยกมาพูดถึงมากนัก
สื่อเครือข่ายที่ยอมสยบกับระบอบทักษิณ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะนำเสนอการเข่นฆ่าทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ขุดคุยในพฤติกรรมของกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธ แต่มุ่งขายความตายของกลุ่มคนเสื้อแดง
ไม่มีใครเรียกร้องความเป็นธรรมให้ทหารที่ต้องเซ่นสังเวยชีวิตกับการเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายของกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีความพยายามค้นหาความจริงว่า ใครฆ่าทหาร
ไม่มีความพยายามสอบสวนค้นหาความจริงว่า ชายชุดดำติดอาวุธนั้น เป็นคนกลุ่มใด ปฏิบัติการความรุนแรงอย่างไรบ้าง
และมีส่วนหรือไม่ในการสังหารทหาร นักข่าวต่างประเทศ รวมทั้งมวลชนคนเสื้อแดงเอง
คดีวันที่ 19 พ.ค. 53 อาจถูกเขียนบทไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ โดยกำหนดให้แกนนำคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายปลุกระดมยั่วยุจุดชนวนให้เกิดความรุนแรง และกำหนดให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกองทัพต้องเป็นฝ่ายผู้ร้าย ต้องตกเป็นจำเลยของสังคม
บทที่ถูกกำกับไว้แล้ว ถูกดำเนินมาต่อเนื่องโดยแกนนำคนเสื้อแดงทำหน้าที่โหมประโคมโน้มน้าวให้เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์และกองทัพเป็นผู้ร้าย และมีสื่อเครือข่ายลูกสมุนของระบอบทักษิณช่วยโหมกระพือข่าว
ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษ กลายเป็นตัวประกอบสำคัญที่ถูกใช้ต่อยอด เพื่อให้สำนวนคดีสลายการชุมนุมวันที่ 19 พ.ค. 53 สรุปตามบทที่เขียนไว้
แกนนำคนเสื้อแดงที่ปลุกระดมยั่วยุ จุดชนวนความรุนแรง และเผาบ้านเผาเมืองจะถูกสถาปนาให้เป็นพระเอกจนไม่ต้องรับผิดใดๆ แม้เป็นกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญในการก่อกลียุคที่สี่แยกราชประสงค์ และทำให้มวลชนเสื้อแดงต้องตายจำนวนมากก็ตาม
กองทัพยอมรับไม่ได้แน่ ถ้าจะถูกสวมบทให้เป็นผู้ร้าย เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงความผิดไปถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และเพื่อสร้างความชอบธรรมในการล้างมลทินให้แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของการนองเลือดและการเผาบ้านเผาเมืองบริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53
เพราะกองทัพเป็นอีกหนึ่งของผู้เสียหาย กองทัพเป็นอีกหนึ่งของผู้ถูกกระทำมากกว่าเป็นผู้กระทำจากเหตุการณ์
และกองทัพก็เป็นอีกหนึ่งของผู้ที่ไม่รับความเป็นธรรมเหมือนกัน
นายทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แทบไม่ถูกพูดถึง และไม่มีความพยายามสอบสวนใดๆ สำหรับกลุ่มผู้ลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยม แม้ภรรยานายทหารที่สูญเสียผู้นำครอบครัวจะออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมโดยตลอดก็ตาม
ดีเอสไอกำลังขะมักเขม้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ในการสอบสวนความจริงว่า ใครฆ่าคนเสื้อแดง ถ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า ใครฆ่าทหาร จะไม่เป็นการรับใช้รัฐบาลที่บงการโดยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอย่างออกนอกหน้าเกินไปหรือ
หรือดีเอสไอ “หน้า” ไม่เหลือ “ยาง” ไว้ให้อายแล้วจริงๆ