อดีตรองนายกฯ เผยไปกองปราบฯ ตามหมายเรียกคดีคนเพื่อไทยกล่าวหาตนหมิ่นประมาทเมื่อ 17 ก.ค. ชี้เป็นไปไม่ได้เพราะติดงานแต่งลูกชาย เตรียมขอเลื่อนเพื่อตรวจสอบ กังขาทนายความส่งหมายทางไปรษณีย์เมื่อ 15-16 แต่ออก “ข่าวสด” สื่อเสื้อแดงล่วงหน้า ซัดพยายามชี้นำสังคมเล่นงานตน-อภิสิทธิ์ ป้ายสีทหาร วอนเปิดใจให้กว้าง ลั่นไม่กล้วถ้าต้องติดคุก
วันนี้ (20 ส.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ตนจะเดินทางไปยังกองปราบปรามตามที่มีการออกหมายเรียกให้ไปมอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา เพราะว่าคนของพรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าตนหมิ่นประมาทใส่ร้ายเมื่อวันที่ 17 ก.ค. ซึ่งตนไปไม่ได้เพราะเป็นวันแต่งงานนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชาย จึงทำหนังสือขอเลื่อนเพื่อจะเข้ามอบตัวในวันนี้ ซึ่งตนก็ยังเห็นสำนวนแล้วไม่มีการแจ้งว่าหมิ่นประมาทอย่างไร คงจะได้ทราบรายละเอียดในวันนี้
โดยเมื่อวานก็เพิ่งได้รับหมายศาลให้ไปเป็นพยานในคดีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ซึ่งเป็น 1 ในจำนวน 13 ศพ แท็กซี่ นปช.ที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียม ใกล้สถานีรถไฟฟ้าราชปรารภเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 53 ที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลว่าอาจเกิดจากกระทำของเจ้าหน้าที่ โดยให้ตนไปเป็นพยานในวันที่ 21 ส.ค.ที่ศาลอาญา
“หนังสือพิมพ์ข่าวสดรู้เรื่องก่อนมานานแล้ว ผมก็นึกว่ายกเมฆเขียนเอา ในที่สุดผมเพิ่งเห็นหมายวันนี้ พอเห็นหมายศาลก็ต้องใช้เวลารี่จะดูข้อมูลข้อเท็จจริงที่จะเรียนกับศาล จึงทำหนังสือเลื่อนไป 15 วัน จะได้เตรียมตัวเพื่อไปให้การต่อหน้าศาล ผมก็คิดว่ามีความกระชั้นชิดในเรื่องการส่งหมายศาล จึงตรวจสอบพบว่า ทนายความของผู้เสียหายเป็นคนส่งหมายเอง โดยเลือกใช้วิธีการส่งทางไปรษณีย์ แต่มีการออกข่าวล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เพิ่งจะส่งไปรษณีย์วันที่ 15-16 นี้เอง ผมก็สงสัยว่าทำไมทนายผู้เสียหายจึงเป็นคนส่งหมายศาล ซึ่งเป็นเพราะว่าหากศาลเป็นคนเรียกเองจะส่งหมายเอง แต่ถ้าเป็นกรณีที่ศาลเรียกไปเป็นพยาน ทนายอาจจะเป็นคนนำส่งหมายให้ได้ เท่ากับตอนนี้ผมเป็นพยานในฝ่ายของโจทก์ในคดีนี้” นายสุเทพกล่าว
นายสุเทพกล่าวว่า แต่ในขณะนี้มีความพยายามที่จะทำให้สังคมเกิดความเข้าใจว่าตนเป็นจำเลยในคดี ไม่ใช่ไปเป็นพยาน เพราะมีสื่อบางแห่งทำให้คนสับสน ทั้งที่ตนไปเป็นพยานของฝ่ายโจทก์ แต่ไม่กังวลและไม่คิดว่าจะมีนัยในเรื่องการส่งหมายอย่างกระชั้นชิด รวมถึงการให้เป็นพยาน ซึ่งเรืองนี้โดนทั้ง 2 คน คือ ตนและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย โดยให้ไปวันเดียวกัน ขณะนี้ก็ทำใจให้เกลี้ยงๆ ไว้ ไม่ว่าจะเรียกไปให้การโดยนัยอะไรก็จะพูดความจริงตามที่รู้และเห็น แม้แต่จะให้ไปเป็นจำเลยเสียเองก็พูดตามข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ในขณะนี้เป็นการไต่สวนฝ่ายเดียวของผู้เสียหาย ก็คงมีการซักไซ้ว่าพวกตนเข้าไปเกี่ยวข้องรู้เห็นสั่งการอย่างไร จึงต้องไปดูว่าผู้เสียหายรายนี้เสียชีวิตเมื่อไหร่ อย่างไร เพราะเหตุการณ์เกิดต่อเนื่องระหว่าง เม.ย.ถึง พ.ค. 53 ร่วม 2 เดือนติดต่อกัน จึงต้องมีเวลาเตรียมตัว ตนขอย้ำว่าไม่หนักใจและการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดชี้นำในคดี ก็ปล่อยให้พูดไป ตนมีหน้าที่ชี้แจงนำความจริงมานำเสนอ ทั้งต่อพนักงานสอบสวน และศาล รวมถึงประชาชนยืนหยัดที่จะต่อสู้บนพื้นฐานข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะที่คดียังไม่ตัดสินจากศาล แต่มีการนำเสนอข้อมูลที่เป็นเนื้อหาของคดีนอกศาลต่อเนื่องจะเป็นแรงกดดันในการพิจารณาของศาลหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เราต้องเชื่อมั่นในระบบศาลยุติธรรมของไทยว่ามีมาตรฐานเชื่อถือได้ ไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกไปโจมตีนอกประเทศว่าศาลเราเชื่อไม่ได้ โดยศาลจะพิพากษาคดีตามหลักฐานข้อเท็จจริง จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายนำหลักฐานไปเสนอต่อศาล อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการนำเสนอข้อมูลทางคดีที่ยังไม่ได้ข้อยุติจะส่งผลทางจิตวิทยาต่อมวลชน เพราะศาลพิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏต่อหน้าศาล แต่ในส่วนของประชาชนน่าเป็นห่วง เพราะรัฐบาลพูดข้างเดียว ร.ต.อ.เฉลิมพ่นทุกวัน ใส่ร้ายป้ายสีคนไปเรื่อย ในขณะที่ตนนานๆ จะมีโอกาสได้ชี้แจง แต่ในทุกโอกาสจะพยายามเอาข้อเท็จจริงมาชี้แจง อย่าเพิ่งเบื่อตน
ทั้งนี้ ตนไมได้หารือกับใน ศอฉ. เพราะรัฐบาลหรือ ร.ต.อ.เฉลิมมีเป้าหมายที่จะเล่นงานแค่ 2 คน คือตนและนายอภิสิทธิ์ จึงไม่ต้องเป็นห่วงกรรมการ ศอฉ.คนอื่นอย่างนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะย้ายข้างไปแล้ว ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ก็ไม่ได้คุย
“ขอเรียกร้องไปยังประชาชนว่า ควรจะรับฟังโดยเปิดใจให้กว้าง เพราะมีความพยายามใส่ร้ายป้ายสีทหาร เพื่อโยนความผิดมาให้ผมกับนายอภิสิทธิ์ จึงขออย่างกัวลใจ ขอให้เชื่อว่าทหารทุกคนเป็นลูกหลานประชาชน ไม่มีใครคิดฆ่าประชาชน คนที่มาเป็นทหารปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นอาจมีญาติพี่น้องพ่อแม่อยู่ในที่ชุมนุมก็ได้ จึงไม่มีใครมีเจตนาจะไปฆ่าประชาชน สมมติว่าผมเป็นคนสั่งการ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงทั้งผมและนายอภิสิทธิ์ไม่เคยสั่งการให้ทหารไปฆ่าประชาชน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะมีการปะทะกันระหว่างผู้ก่อการร้ายชุดดำที่แฝงอยู่กับผู้ชุมนุมสร้างเหตุการณ์จนเกิดความสูญเสีย” นายสุเทพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้มีคำขู่ว่าจะนำนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์เข้าคุกให้ได้ กังวลหรือไม่ว่าจะเป็นจริงตามคำขู่ เพราะอำนาจเปลี่ยนมือแล้ว นายสุเทพกล่าวว่า ไม่กลัว ถ้าจะต้องติดคุก เพราะตั้งใจดีต่อบ้านเมือง ต้องทำหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองก็ให้รู้ไป พี่น้องประชาชนถ้าไม่ลืมก็ต้องจำได้ว่าบ้านเมืองเหมือนเกิดกลียุค เขาเผายางรถยนต์ เผารถเมล์ ยึดถนนหนทาง แห่ไปตามถนนสายต่างๆ จนคนกรุงเทพฯ ตระหนกตกใจไม่กล้าออกจากบ้าน เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่อง 2 เดือนกว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องเหล่านี้คนคงไม่ลืม แต่เป็นเพราะเรื่องผ่านมานาน คนที่มีศิลปะในการบิดเบือนข้อเท็จจริงก็ทำได้ง่าย ตอนนี้ก็พยายามที่จะไม่ยอมพูดถึงชายชุดดำ แต่เราจะต้องเอาความจริงมาสู้เพื่อบอกกับประชาชน และถ้าตนตระหนักเมื่อไหร่ว่าดีเอสไอจงใจบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อเอาใจ ร.ต.อ.เฉลิม หรือรัฐบาล ตนจะดำเนินคดีต่อดีเอสไอ
เมื่อถามว่าคิดว่ากำลังเข้าสู่ยุคคนชนะจะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า “ทำนองนั้น แต่เชื่อว่าไม่มีใครลบความจริงที่เกิดขึ้นได้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นประชาชนเห็นทั้งประเทศ สื่อมวลชนก็เห็น มีบันทึกทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ และมีข้อเขียนของสื่อมวลชนที่บันทึกเหตุการณ์ เราก็สามารถที่จะนำเสนอได้ โดยมั่นใจว่าจะเอาความจริงไปสู้กับการบิดเบือนสร้างเรื่องเท็จได้”