xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

"ไอ้ตู่" เจอถอนประกัน-ติดคุก จุดชนวนอุณหภูมิการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จตุพร พรหมพันธุ์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- น่าจะเป็นข่าวดีของประชาชนชาวไทยเกือบทั้งประเทศ แต่เป็นข่าวร้ายสำหรับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำตัวเอ้ของคนเสื้อแดง กรณีที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปยื่นเรื่องต่อศาลอาญาเพื่อให้พิจารณาเพิกถอนประกันตัว ซึ่งอาจจะส่งผลให้นายจตุพรมีสิทธิ์ที่จะกลับเข้าไปนอนในซังเตอีกรอบก็เป็นไปได้ โดยศาลอาญารับเรื่องจากศาลรัฐธรรมนูญเข้าสู่ระบบอย่างสมบูรณ์ และนัดสอบถาม นายจตุพร ในวันที่ 23 ก.ค.ที่จะถึงนี้

ดังนั้นแล้วอย่าได้แปลกใจเป็นอันใด หากนายจตุพรจะมาออกมาฟาดงวงฟาดงาเป็นการใหญ่ ด้วยการออกมาประกาศว่าจะบุกไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสอบถามกรณีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นถอนประกันคดีก่อการร้าย ขณะที่ใจความสำคัญของนายจตุพรในวันที่บุกไปทวงถามศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีอยู่ว่าตนเองนั้นโดนกลั่นแกล้ง และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงการใช้อำนาจในการยื่นคำร้องขอถอนประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าอำนาจดังกล่าวเป็นของอัยการ ในฐานะเป็นโจทก์แห่งคดี

แถมยังทิ้งระเบิดคำถามลูกใหญ่ไปยังศาลด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่า ข้ออ้างในคำร้องขอเพิกถอนปล่อยตัวตนเอง ที่ระบุว่าขึ้นเวทีปราศรัยที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. และ 7 มิ.ย.โดยมีถ้อยคำข่มขู่ ยุยง ปลุกปั่นให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองไปคุกคามการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่าการปราศรัยดังกล่าวไม่มีข้อความใดที่เป็นการคุกคามสิทธิส่วนบุคคลของตุลาการและครอบครัว แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญรับรองและศาลรัฐธรรมนูญสามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ไม่เหมือนศาลยุติธรรมที่มีกฎหมายบัญญัติห้ามละเมิดอำนาจศาล ดังนั้น เจตนาของการไปยื่นถอนประกันตนเองไม่สุจริต อคติ ผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ ต้องบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญ ก็รู้เท่าทันเกมของนายจตุพรไม่น้อยเช่นกันถึงเลือกที่จะไม่ออกมาโต้แย้งให้เป็นประเด็นยืดยาวทางการเมืองให้นายจตุพรนำไปตีกินต่อเนื่อง

แน่นอน สิ่งที่สังคมรับรู้ได้เป็นอย่างดีของนิสัยของนายจตุพร คงจะไม่ต้องมีคำอธิบายสิ่งใดให้มากความว่าเป็นไปอย่างไร ยิ่งเมื่อมาดูรายละเอียดคำร้องของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ยื่นขอเพิกถอนคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวในแต่ละข้อด้วยแล้ว ก็ทำเอานายจตุพรแทบไปไม่เป็นเลยทีเดียว แถมยังเป็นการตอกหน้านายจตุพรแบบเนียนๆ อีกด้วยซ้ำไป

หลักฐานดังกล่าว ระบุว่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2555 นายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยที่ 2 และ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก กับพวก ได้ขึ้นเวทีปราศรัยหน้ารัฐสภา โดยปรากฏตามข่าวหนังสือพิมพ์ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ปราศรัยว่า "การเข้าชื่อถอดถอนตุลาการครั้งนี้ คือ กระบวนการประจานให้คนทั้งแผ่นดินและทั้งโลกรู้พร้อมกันว่าประเทศนี้อยู่กันอย่างไร้ความยุติธรรม ถ้า นปช.ไม่ทำหลังจากนี้จะมีการยุบพรรคเพื่อไทยปล้นสมาชิกพรรคแล้วไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเหมือนเดิม ถ้าคนเสื้อแดงออกมาสู้ก็จะถูกยิงตายอีก การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้สิ่งที่ต้องแก้คือ การยุบศาลรัฐธรรมนูญเพราะสิ่งที่เกิดคือขบวนการตุลาการภิวัฒน์ที่ไม่เคยยึดโยงกับประชาชน ถ้าคนเพียง 7 คนมีอำนาจเหนือคน 64 ล้านคน ประเทศนี้คงไม่ต้องเลือกตั้ง ใครจะเป็นนายกฯ ก็ต้องไปสมัครที่ศาลรัฐธรรมนูญ การชุมนุมครั้งนี้เป็นการวอร์มเท่านั้น หลังจากนี้จะมีการเข้าชื่อแก้รัฐธรรมนูญต่อไปจนกว่าจะครบ 1 ล้านชื่อ"

ส่วน นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ขึ้นเวทีปราศรัยปรากฏตามรายงานข่าวของสื่อมวลชน พร้อมทั้งนำรายชื่อของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 คน มาอ่านบนเวที โดยนำบ้านเลขที่ ซอย เบอร์โทรศัพท์ ชื่อลูกและภรรยาของศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดมาประกาศให้คนเสื้อแดงให้ทราบ

นอกจากนี้ นายจตุพรยังได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับลงวันที่ 4 มิถุนายน 2555 มีข้อความตอนหนึ่งว่า "คนผ่านการเลือกตั้งจำนวนเท่าใดก็ตาม สุดท้ายต้องมาฟังจากคนเก้าคนที่คณะรัฐประหารเครือข่ายอำมาตย์วางกับดักเอาไว้ ฉะนั้น การถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 คน ยกเว้นคุณชัช ชลวร เป็นแนวทางหนึ่ง แต่เชื่อว่าเป็นไปได้ยาก เพราะกลไกของรัฐสภา ยังเป็นกลไกของเครือข่ายอำมาตย์ที่วางเอาไว้ ซึ่งแปลว่าทั้งหมดเป็นการประจานเพื่อให้คนไทยได้รับรู้ ให้โลกให้นานาชาติได้รับรู้ว่าประเทศนี้ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังนั้น ปัญหาใหญ่คือ หากศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่สวนกลับอำนาจของประชาชน ซึ่งคำว่าตุลาการหมายถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่หมายถึงศาลยุติธรรม จะเจอกับประชาชนภิวัฒน์เพราะเชื่อว่าประชาชนไม่ยอมให้คน 8 คน ที่มีที่มาและพฤติกรรมไม่ชอบคนเหล่านี้กำลังประหัตประหารเหมือนดังที่เคยทำกับพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน"

ต้องถามว่าประโยคเช่นนี้และพฤติกรรมเช่นนี้หรอกหรือที่ไม่ได้หมายถึงการข่มขู่ของ นายจตุพรเรียกว่าชัดเจนไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม ถึงความก้าวร้าว อันธพาล แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ของนายจตุพรซึ่งประชาชนที่ติดตามรับฟังข่าวสารก็น่าจะทราบกำพืดของนายจตุพรเป็นอย่างชินหูชินตาว่าไม่ได้ผิดเพี้ยนกับหลักฐานที่สำนักงานศาลรัฐธรรมรวบรวมเป็นหลักฐานเพื่อยื่นถอดถอดเลยแม้แต่นิดเดียว ยังไม่นับเวทีอื่นๆ อีกมากมาย ที่นายจตุพรและพรรคพวกเสื้อแดง ได้ออกอาการอหังการต่อศาล ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

นอกจากนั้น ประเด็นที่จะต้องพูดถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการให้เหตุผลฝ่ายเดียวแก่สังคมเพื่อเอาดีเข้าดีต่อตัวเองอย่างเดียวของนายจตุพรหรือไม่ในเรื่องอำนาจของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะว่าไปแล้วสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญในฐานะหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ย่อมมีสิทธิที่จะยื่นเรื่องต่อศาลอาญาเมื่อเห็นว่าพฤติกรรมของจตุพรที่เป็นจำเลยคดีอาญาอาจขัดต่อเงื่อนไขสัญญาที่ให้ศาลไว้หรือไม่ เพราะมีการให้สัมภาษณ์พาดพิงและปราศรัยศาลในทางที่ไม่เป็นความจริง ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดถึงกระบวนการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ จึงยื่นเรื่องต่อศาลอาญา

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงแล้ว แม้ไม่มีใครร้อง แต่หากข้อเท็จจริงของจำเลยหรือผู้ต้องหาไม่ว่าคดีไหนได้ปรากฏต่อศาลว่าขัดเงื่อนไขสัญญาประกันตัว ศาลก็สามารถที่จะเพิกถอนการประกันนั้นได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายื่นคำร้อง เพียงแต่คำร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอมาถ้าศาลเห็นว่าการที่จตุพรไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขประกันตัวและไปแสดงออกซึ่งพฤติกรรมหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ที่มีผลกระทบต่อสังคม ศาลอาญาก็สามารถพิจารณาคำร้องได้

ด้วยเหตุนี้ ถึงศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ยื่นเรื่อง ศาลอาญาก็มีสิทธิเรียกตัวจตุพรมาสอบสวนได้ แต่สุดท้ายถ้าศาลเห็นว่าตัวนายจตุพรไม่มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นเหตุผิดเงื่อนไขสัญญาประกันที่ให้กับศาลอาญาไว้ ศาลก็อาจไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งในเรื่องการประกันตัวนายจตุพรก็ยังไม่ถูกถอนประกัน

อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของบรรดาพรรคเพื่อไทย ตลอดจนคนเสื้อแดง ก็จะเห็นได้ว่าเลือกหันมาเปิดศึกท้าชนกับฝ่ายตุลาการอย่างหนักหน่วงและถี่ขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการที่จะจ้องรื้อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีคดี และสมุนลิ่วล้อ ไม่เคยพึงใจกับการมีอยู่ขององค์กรอิสระ รวมทั้งศาลบางศาล และที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญนั้นเอง เพราะต้องไม่ลืมว่า ศาลรัฐธรรมนูญคือเป็นหนามยอกอกของ นช.ทักษิณและพรรคพวกมากแค่ไหน ในเรื่องคดียุบพรรค

โดยเป้าหมายของ นช.ทักษิณ ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าจะต้องโละทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อไม่นานนี้ก็พูดพล่ามกันชัดเจนว่าหากแก้รัฐธรรมนูญครั้งหน้าก็คงจะไม่เอาองค์อิสระหลายหน่วยงานไว้ให้รกลูกหูลูกตาของเขาแน่นอน

ขณะที่ในสถานการณ์ของนายจตุพรเองก็ยิ่งอยู่ในสภาพหลังพิงฝา เพราะเมื่อไม่ได้เป็น ส.ส. ก็จะต้องหมดเอกสิทธิ์คุ้มครองไปโดยปริยาย ที่ไม่ต้องถูกคุมขังหรือหมายเรียกตัว ส.ส.ไปทำการสอบสวน ในสมัยประชุมสภา จตุพร จึงต้องดิ้นสู้เพื่อไม่ให้ตนเองถูกถอนประกันในคดีก่อการร้ายอย่างเต็มกำลัง ที่ล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญยื่นเรื่องต่อศาลอาญาให้ถอนประกัน แถมยังประกาศส่งสัญญาณสร้างความฮึกเหิมให้กับคนเสื้อแดงอีกครั้งว่า จะอดอาหารตั้งแต่วันแรกหากต้องเข้าคุก ซึ่งก็เชื่อได้ว่าแกนนำคนเสื้อแดงคนอื่นๆ จะออกแรงถล่มศาลรัฐธรรมนูญกันมากกว่าเดิมเข้าไปอีก

แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นสัญญาณและท่าทีของศาลรัฐธรรมนูญ ในครั้งนี้ด้วยแล้วก็ต้องโยงไปถึงความพยายามที่จะแก้ไขกฎหมาย แก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยในชั่วโมงนี้ว่า ไม่ง่ายแน่นอน ฉะนั้นปฏิบัติการโต้กลับจากทางฟากฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรอิสระ ก็มีความชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว

ยิ่งเมื่อดูปมการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยชี้ขาดในวันที่ 7-8 กรกฎาคม ในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลจะติดขัดและเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ด้วยแล้ว ซึ่งจะโยงไปถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในการเปิดสมัยประชุมสภาฯครั้งหน้า ก็คงต้องบอกว่าทิศทางการเมืองไทยในเวลานี้จะเป็นไปในทิศทางใดคงต้องขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
กำลังโหลดความคิดเห็น