xs
xsm
sm
md
lg

แกะรอย “รมต.สุชาติ”ฟันธง รัฐบาลอยู่ลำบากแค่สิ้นปีเพราะ...

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


คนซึ่งกำลังจะหมดอำนาจมักจะพูดความจริง เพราะไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เปรียบไปก็เหมือนคนใกล้เสียชีวิต ที่จะพูดความจริงก่อนจะสิ้นลมหายใจ เพราะตัวเองไม่มีอะไรจะเสียเช่นกัน

ธาตุแท้ของนักการเมือง ก็มักจะได้เห็นกันในช่วงกำลังจะหมดอำนาจ ซึ่งมีให้เห็นนักต่อนัก โดยเฉพาะยามที่ตัวเองกำลังจะถูกถีบหัวส่ง หรือไม่มีใครใช้งานแล้ว ก็มักจะพูดความจริงที่ตัวเองรับรู้ออกมาเช่นกัน

กรณีนี้น่าจะใช้ได้กับสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ หรือ เสมา 1 ที่ตามกระแสข่าวไม่น่าจะรอด มีสิทธิโดนปรับออกจากตำแหน่งค่อนข้างสูง ตามกระแสข่าวการปรับครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ท่ามกลางข่าวว่ามีตัวเต็งรอเสียบหลายคน

ทั้ง พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล-พงษ์เทพ เทพกาญจนา-พ.อ.อภิวันท์วิริยะชัย-จาตุรนต์ ฉายแสง เป็นต้น

เหตุที่ สุชาติ มีข่าวมาตลอดว่าจะโดนปรับ ก็เพราะด้วยบุคลิกการทำงานที่ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของคนในพรรคเพื่อไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นรมช.คลัง-รมว.คลังในสมัยรัฐบาลพลังประชาชน มาจนถึงเป็นรมว.ศึกษาธิการ ที่เป็นกระทรวงใหญ่ มีงบประมาณมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกกระทรวง

ที่สำคัญเป็นกระทรวงการเมืองที่พวกนักการเมือง-ส.ส.จะต้องวิ่งไปขอให้ช่วยเหลือในเรื่องการจัดสรรงบไปลงพื้นที่เพื่อสร้างหรือพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่ส.ส. รวมถึงการวิ่งเต้นเพื่อฝากเด็กเข้าโรงเรียน

ซึ่งปรากฏว่ามีเสียงสะท้อนออกมาจากคนในพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้น ตั้งวงอภิปรายซักฟอก สุชาติ กลางที่ประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยทุกวันอังคาร

จนบางสัปดาห์ มีส.ส.หลายคนเสนอกลางที่ประชุมพรรคมาแล้วว่า ควรมีการปรับนายสุชาติออก เพราะทำงานไม่สนองฝ่ายการเมืองในพรรคเพื่อไทย รวมถึงไม่พอใจบุคลิกการทำงานของตัวนายสุชาติที่ไม่ให้ความสำคัญกับงานการเมืองในพรรค

เช่น ไม่ค่อยมาประชุมส.ส.พรรคตั้งแต่เป็นรัฐมนตรี ทำให้ส.ส.สะท้อนปัญหาในพื้นที่หรือขอความช่วยเหลือใดๆไม่ได้ รวมถึงรุมสับนโยบายการรับเด็กเข้าเรียนในชั้น ม1.และ ม.4 ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมายไม่ใช่แค่กรณีการรับเด็กเข้าศึกษาต่อม.4 ที่โรงเรียนบดินทรเดชา

ที่ผ่านมา ตัวสุชาติ ก็รู้ตัวดี ว่าคนในพรรคเพื่อไทยไม่พอใจจำนวนมาก และมีหลายคนจ้องเลื่อยขาเก้าอี้ตลอดเวลา และเชื่อว่าเจ้าตัวคงทำใจแล้ว กับการเป็น เสมา 1 ในช่วงสั้นๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจและกลายเป็นประเด็นขึ้นมาในช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือการวิเคราะห์อนาคตของรัฐบาลเพื่อไทยต่อสื่อมวลชน ซึ่งถึงกับระบุว่าแค่อยู่ให้ถึงสิ้นปีก็ลำบากแล้ว!

“การปรับเปลี่ยน ครม.ในช่วงนี้คงทำได้ยาก และเป็นเรื่องเล็ก เพราะช่วงนี้รัฐบาลกำลังมีมรสุมเยอะมาก จนต้องคิดว่าจะดำเนินการทั้งระบบเพื่อให้อยู่ต่อได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นกรณีของนายจตุพรโดนสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นถอนประกันคดีก่อการร้าย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปัญหาการแบ่งแยกสีก็ยังไม่จบสิ้นลง และดูเหมือนจะรุนแรงมากขึ้น

เรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลถึงการยุบพรรคบางพรรค การถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมาก และจะส่งผลให้รัฐบาลอยู่พ้นสิ้นปีนี้ก็ทำได้ลำบาก"

เล่นวิเคราะห์ว่า รัฐบาลอาจอายุสั้น อยู่ไม่ครบเทอม ลำพังแค่ส.ส.พรรคฝ่ายค้านวิเคราะห์ พวกรัฐบาลเพื่อไทยก็โต้กันอุตหลุดแล้ว

แล้วนี่เป็นคนในพรรคเพื่อไทย และเป็นถึงระดับรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่เกรดเอ บอกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ อยู่ลำบาก เพราะมีปัจจัยหลายเรื่องรุมเร้าจะทำให้ไปก่อนกำหนด เพื่อไทยจะไม่เต้นได้ยังไงไหว

แม้สุชาติ จะวิ่งเข้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 27 มิ.ย. 55 เพื่อไปเคลียร์เรื่องนี้กับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่ดูแล้ว อนาคตการเมืองในพรรคเพื่อไทยมืดมนแน่นอน

ก็ถึงขนาด หัวหน้าพรรคซึ่งเป็นคนใจดี ไม่ชอบทำร้ายจิตใจใครอย่าง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี-รมว.มหาดไทย เมื่อโดนสื่อถามว่ารมว.ศึกษาธิการบอกว่ารัฐบาลอาจอยู่ไม่แค่สิ้นปี ยงยุทธก็สวนกลับไปว่า

“สำหรับตัวนายสุชาตินั้นไม่แน่ แต่นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลคงจะอยู่สักระยะหนึ่ง คืออีก 8 ปี คงไม่ใช่สิ้นปีอย่างที่นายสุชาติบอก”

แบบนี้สุชาติ และทีมงาน หากได้สัญญาณปรับครม.เมื่อไหร่ สงสัย เตรียมเก็บของไว้ก่อนเลย ไม่ต้องคิดมาก

อย่างไรก็ตาม ที่น่าวิเคราะห์ต่อไปก็คือ ความคิดของสุชาติ ที่บอกว่าปัจจัยที่บอกว่ารัฐบาลอาจอายุสั้น มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ

เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีปัญหาในตอนนี้และอาจนำไปสู่การยุบพรรค ซึ่งก็คงหมายถึงเรื่องที่ศาลรธน.ได้รับคำร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้วินิจฉัย และมีกำหนดนัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 5-6 กรกฏาคมนี้แล้ว -กรณีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อให้เพิกถอนประกันตัวนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำนปช. -ปัญหาการแบ่งแยกของคนในชาติที่แบ่งออกเป็นสีต่างๆ

ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ที่สุชาติอ้างว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม “ทีมข่าวการเมือง”มองแล้วก็เห็นว่าเป็นการวิเคระห์ของสุชาติ ที่ตั้งอยู่บนหลักที่ว่ามีฝ่ายตรงข้ามจ้องจะเล่นงานให้รัฐบาลเพื่อไทยหมดสภาพไปก่อนเวลาอันควร อันเป็นสิ่งที่ พรรคเพื่อไทยและคนในรัฐบาลก็เชื่อมาตลอด

เมื่อพิจารณาจากคำพูดของสุชาติแล้ว ซึ่งเชื่อว่า ฝ่ายที่จะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญรวมถึงอำนาจศาลนั่นเอง

ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว การที่รัฐบาลไม่ว่าชุดไหนจะอยู่ครบเทอมหรือไปก่อนกำหนด หาใช่อยู่ที่ว่าจะมีฝ่ายไหนจ้องจะเล่นงานหรือโค่นล้ม แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ตัวของรัฐบาลเอง ว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำผลงานให้ประชาชนยอมรับ และไม่มีปัญหาข้อด่างพร้อยในเรื่องต่างๆ เช่นปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น -ปัญหาการใช้อำนาจในทางไม่สุจริตและใช้อำนาจเกินขอบเขตเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง

หากไม่มีเรื่องมัวหมองเหล่านี้ รับรองได้ว่าอยู่ครบเทอมแน่นอน

ก็ดูอย่างรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีเสียงส.ส.เกือบ 380 เสียงหลังเลือกตั้งปี 48 แต่รัฐบาลไทยรักไทยก็ไปไม่รอดทั้งที่คุมอำนาจไว้ในกำมือเกือบหมด ทั้งอำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ-องค์กรอิสระ -กองทัพ แต่ก็อยู่ไม่ครบเทอม

จากเหตุสำคัญคือประชาชนเห็นว่า รัฐบาลทักษิณใช้อำนาจในทางไม่ชอบ มีปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ประชาชนจึงออกมารวมตัวขับไล่ ทำให้เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจแต่บริหารไม่ได้

ความเชื่อที่ว่า รัฐบาลเพื่อไทย มีคนกลุ่มหนึ่งจ้องจะล้ม โดยใช้อำนาจองค์กรอิสระและอำนาจศาลมาล้มรัฐบาล เป็นความเชื่อที่คนในรัฐบาลและในพรรคเพื่อไทยเชื่อมาตลอด ไม่ใช่แค่สุชาติ เพียงแต่สิ่งที่สุชาติคิดแล้วพูดออกมา มันดังกว่าคนอื่นเพราะเป็นระดับรัฐมนตรีว่าการฯพูด

ก็เหมือน กับการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 26 มิถุนายน 2555 ที่เบื้องหลังของการที่ครม.มีมติให้ส่งเรื่องกรณีการอนุญาตให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกาหรือ นาซ่า เข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในประเทศไทยไปให้รัฐสภาพิจารณาและอภิปรายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179

เหตุที่ครม.ต้องยอมให้นำเรื่องเข้ารัฐสภา ทั้งที่ก็ยืนกรานมาก่อนหน้านี้ว่าโครงการนี้โปร่งใส ไม่มีอะไรลับลมคมใน ไม่จำเป็นต้องเข้ารัฐสภาเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายแสดงความเห็น

สาเหตุสำคัญ ก็เพราะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหลายคนอาทิ เฉลิม อยู่บำรุง-ชุมพล ศิลปอาชา-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เชื่อว่า มีคนจ้องจะล้มรัฐบาลหากรัฐบาลให้สหรัฐฯใช้อู่ตะเภา ผ่านการยื่นเรื่องให้องค์กรต่างๆ ทำการเช็คบิลรัฐบาล

เช่นคณะกรรมการป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ เหมือนเช่นกรณีที่รัฐบาลพลังประชาชนโดนมาแล้วกับเรื่อง เขาพระวิหาร ซึ่งถูกทั้งศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและมีคำตัดสินว่า ข้อตกลงดังกล่าวที่กระทรวงการต่างประเทศยุค นพดล ปัมทะ เป็นรมว.ต่างประเทศไปทำไว้กับกัมพูชา เข้าข่ายมาตรา 190 จนทำให้รัฐบาลพลังประชาชนอยู่แทบไม่ได้ ถูกตราหน้าว่าเป็นรัฐบาลขายชาติ

ด้วยเหตุนี้ครม.ยิ่งลักษณ์ จึงต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน ด้วยการยอมให้นำเรื่องไปให้รัฐสภาอภิปราย ซึ่งก็ยังไม่มีใครแน่ใจว่าเมื่อรัฐบาลนำเรื่องนี้เข้ารัฐสภาโดยใช้ 179 แล้วเรื่องจะจบจริงหรือไม่ แต่เชื่อว่ารัฐบาลคงหาทางหนีทีไล่ไว้บ้างแล้ว

“ทีมข่าวการเมืองASTVผู้จัดการ”เห็นว่า ทั้งตัวสุชาติ และคนในรัฐบาลเพื่อไทย ไม่ต้องหวาดระแวงหรอกว่า จะมีคนกลุ่มไหน จ้องล้มรัฐบาล ทำให้รัฐบาลอยู่ได้แค่สิ้นปี หากว่ารัฐบาลทำงานอย่างตรงไปตรงมา สร้างผลงานให้คนยอมรับ

เลือกคนมาเป็นรมต.โดยพิจารณาความเหมาะสม ไม่ใช่เอาผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายมาเป็นรมต.บริหารประเทศ แล้วก็ทำงานอย่างเต็มที่ไม่ปล่อยให้มีการทุจริต ไม่ใช่อำนาจทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

หากรัฐบาลทำได้ตามนี้ อย่าว่าแต่อยู่สิ้นปีแบบลำบากเลย ถ้าบริหารประเทศดีจริง ที่ยงยุทธ หน.เพื่อไทยบอกจะอยู่ 8 ปี ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

เลิกเถอะ การปลุกระดมต่อมวลชนฝ่ายตัวเองว่ามีกลุ่มบุคคลโดยเฉพาะ ศาล-องค์กรอิสระ จ้องจะล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มันเพ้อเจ้อจริงๆ




กำลังโหลดความคิดเห็น